นั่นไม่ใช่ภูเขาขนาดเล็ก แต่เป็นศีรษะที่มีขนาดใหญ่มาก ที่มีความสูงมากถึงสามสิบจั้ง และมีประกายอ่อนๆของแสงสีเหลืองทอออกมา ทำให้เมื่อมองในจุดที่อยู่ห่างออกไป จึงดูคล้ายกับเป็นภูเขาหินขนาดเล็กก็มิปาน
ศรีษะนั้น เป็นของสัตว์มายาขนาดยักษ์ ที่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น ในเวลานี้ลงเฉินกำลังมองดูมันจากทางด้านหลัง ตลอดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์ตัวนี้มีความยาวที่มากถึงสามร้อยกว่าจั้ง ลำตัวที่ใหญ่โตก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเคล็ดมากมาย
เกล็ดทุกเกล็ดนั้นต่างก็มีขนาดใหญ่พอๆกับโต๊ะตัวหนึ่ง ที่ด้านบนเกล็ดเหล่านั้นยังได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยพลังอักขระสีครามอยู่เต็มไปหมด ซึ่งหลงเฉินสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลของสายลมที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งพวยพุ่งออกมาจากเกล็ดเหล่านั้น
“มีลำตัวดุจกิ้งก่า มีเกล็ดดั่งอสรพิษ มีข้าทั้งสี่คล้ายเสาใหญ่ ที่มีเล็บถึงหกนิ้ว หรือนี่จะเป็นสัตว์ร้ายแห่งวายุในตำนานอย่างนั้นหรือ ?”
หลงเฉินลอบตื่นตกใจขึ้นมา ด้วยสัตว์มายาเช่นนี้ มีปรากฏให้เห็นได้เฉพาะในสมุดภาพเท่านั้น เนื่องจากว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปจากโลกภายนอกเนิ่นนานแล้ว การที่เขาได้พบเจอสัตว์ในตำนานครั้งนี้จึงทำให้รู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งแตกตื่นอยู่ไม่น้อย
กล่าวกันว่าสัตว์ร้ายแห่งวายุถือได้ว่าเป็นดั่งสัตว์ธาตุวายุที่หาได้ยากยิ่งนัก ทั้งยังครอบครองพลังแห่งวายุที่แข็งกล้า ถือได้ว่าเป็นราชันในหมู่สัตว์มายาเลยทีเดียว ทั้งยังเป็นการคงอยู่ในระดับที่ไร้ผู้ต้านอีกด้วย
“ยังไม่ถึงกับมีอักขระสวรรค์ปรากฏ เช่นนั้นก็ยังมิได้เข้าถึงขอบเขตขั้นก่อฟ้า น่าจะยังอยู่ในระดับสัตว์มายาขั้นที่ห้า”
สัตว์มายาที่ได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้า ต่างก็มักจะอยู่ในระดับขั้นที่หกกันไปแล้ว อีกทั้งที่หน้าผากก็จะมีการปรากฏขึ้นของร่องรอยอักขระชุดหนึ่งอย่างชัดเจน อักขระนั้นเรียกกันว่าอักขระสวรรค์ และเป็นที่จดจำได้ง่ายอย่างยิ่ง
สัตว์ร้ายแห่งวายุที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงกับเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้า แต่ว่าเมื่อดูจากร่างกายที่น่าเกรงขาม ก็ทราบได้ว่าจะต้องเป็นสัตว์มายาขั้นห้าตนหนึ่งอย่างแน่นอน และนั่นถือได้ว่าจัดอยู่ในระดับเดียวกันกับยอดฝีมือขอบเขตเชื่อมชีพจรเช่นเดียวกันกับถู่ฟางเลยทีเดียว
อีกทั้งสัตว์มายาตนนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าหากว่าต้องพบเจอก็ยังต้องรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา แทบจะมิใช่สิ่งที่ชนชั้นผักปลาอย่างหลงเฉินจะสามารถต่อกรได้เลย
ถึงแม้หลงเฉินจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในพลังฝีมือของตนเองมาโดยตลอด ทว่าต่อให้มีความเชื่อมั่นมากกว่านี้ เขาก็ยังไม่อาจหาญพอที่จะท้าทายสัตว์ร้ายแห่งวายุขั้นที่ห้านี้แม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ
สัตว์ร้ายแห่งวายุตนนี้นอนนิ่งไม่ไหวติง ไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังหลับลึกอยู่ในห้วงของการจำศีล
“หรือที่แท้ มันกำลังกักเก็บพลังอันมหาศาลธาตุวายุอยู่ อา ใช่แล้ว สัตว์มายาตนนี้กำลังฝึกปรืออยู่”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาในทันที แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เขาต้องทอดถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง การที่มีสัตว์มายาธาตุวายุที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันหินปราณวายุก้อนนั้นเอาไว้ เขาย่อมไม่มีความหวังอยู่แล้ว ถ้าหากไม่อยากทิ้งชีวิตไว้ ก็มีแต่ต้องปล่อยไปแล้วเท่านั้น
เพื่อที่จะไม่ไปรบกวนสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้น หลงเฉินจึงค่อยๆถอยออกไปช้าๆ เขาเข้าไปหลบหลังภูเขาขนาดเล็ก และเมื่อแน่ใจแล้วว่าตนเองอยู่ในมุมที่ภูเขาลูกนั้นจะสามารถบดบังสายตาจากสัตว์ร้ายแห่งวายุได้แล้ว ก็ผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“*จิตคนไม่รู้จักพอเหมือนงูกลืนช้าง ได้หินปราณวายุมาตั้งมากมายถึงเพียงนั้น สมควรที่จะพอได้แล้วล่ะ” หลงเฉินก็ได้กล่าวปลอบโยนตนเอง แล้วมองเหม่อไปยังหินปราณวายุขนาดใหญ่ก้อนนั้น
T/L : *จิตคนไม่รู้จักพอเหมือนงูกลืนช้าง เป็น สำนวณโบราณ ที่ใช้เปรียบเปรยใจคนเรามีความโลภที่ไม่สิ้นสุด
“แต่ว่า พอใจที่จะให้เป็นเช่นนี้แล้วจริงๆงั้นหรือ ?” เมื่อเหม่อมองไปยังหินปราณวายุขนาดใหญ่ก้อนนั้นอยู่ชั่วครู่ ลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามตนเองขึ้นครั้ง
“ให้ตายเถอะ อย่ามากระตุ้นข้าเลยนะ ข้าจะไม่มองดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว” หลงเฉินทำการหลับตาลงในบัดดล หากไม่พบเห็นเสียจิตใจก็คงจะไม่วุ่นวาย
แต่ว่าเมื่อได้หลับตาลงไปแล้ว ภายในจิตใต้สำนึกของเขากลับยังคงใฝ่หาหินปราณวายุก้อนนั้นอยู่ ด้วยว่าต้องใช้พลังจิตวิญญาณในการตรวจสอบ กลับกลายเป็นว่ายิ่งกระจ่างชัดเสียยิ่งกว่าใช้สายตามองดูเสียอีก ภายในหินปราณวายุขนาดใหญ่ก้อนนั้น ถึงกลับแฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายล้างแห่งสวรรค์เอาไว้เลยทีเดียว
“อา……ข้าจะเป็นบ้าแล้ว หลงเฉิน เจ้ามันตัวโง่เง่า หากไปกระตุ้นหนวดของสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้น จะต้องมีแต่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ไม่อาจจะกระทำเรื่องที่โง่งมเช่นนั้นได้”
ภายในสมองของหลงเฉิน ก้องไปด้วยเสียงตะโกนห้ามปรามตนเองอย่างเกรี้ยวกราด แล้วเขาก็ใช้ความมุ่งมั่นสูงสุด ข่มจิตใจ มุ่งหน้าวิ่งออกไปตามเส้นทางเดิมให้เร็วที่สุด
หลังจากที่วิ่งตะบึงออกมาได้หลายสิบลี้ ก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งขอเพียงเขาเปลี่ยนทิศทาง ก็จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นหินปราณวายุขนาดใหญ่ก้อนนั้นได้แล้ว
แต่ทว่าหลงเฉินนั้น คล้ายยังคงเกิดจิตมารอยู่ จนกลายเป็นพลังอันมหาศาลที่ไม่อาจที่จะปฏิเสธหรือต้านทานได้ ในที่สุดก็อดไม่ไหว ต้องหันกลับไปมองคราหนึ่ง
“ความโลภนั้นถือเป็นบาป ความโลภนั้นถือเป็นบาป ความโลภนั้นถือเป็นบาป เรื่องที่สำคัญต้องพูดถึงสามรอบ”
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง แล้วกระตุ้นความมุ่งมั่นอันหนักแน่นขึ้นมา มุ่งหน้าเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของหุบเขา ถึงแม้ว่าจะไม่อาจที่จะชิงหินปราณวายุขนาดใหญ่ก้อนนั้นมาได้ แต่ก็ยังสามารถทำการค้นหาสถานที่บางแห่ง ที่สามารถเก็บรวบรวมหินปราณวายุขนาดเล็กเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดอยู่
สวรรค์คล้ายกับได้ยินเสียงพร่ำบ่นของหลงเฉินก็มิปาน หรือไม่ก็คงจะเป็นเพราะไม่มีมนุษย์เข้ามายังสถานที่แห่งนี้มาเนิ่นนาน จึงทำให้หลงเฉิน ที่เดินทางไปได้ไม่ถึงร้อยลี้ ก็เก็บรวบรวมหินปราณวายุมาได้กว่าหมื่นก้อนแล้ว นี่ได้ทำให้จิตใจที่ร้อนรนของหลงเฉิน ได้รับการปลอบประโลมขึ้นมาบ้าง
“หือ ? ที่ด้านหน้ามีคนอยู่”
หลงเฉินมุ่งหน้าเดินไปยังหุบเขาที่ตั้งตระหง่าน อยู่ทางด้านหน้าทั้งสองลูก ทันใดนั้นก็ได้พบเห็นความประหลาดขึ้นมา ถึงแม้ว่าด้วยดวงตาของเขาจะมองได้ไกลเพียงร้อยจั้งเท่านั้น แต่ว่าพลังจิตวิญญาณกลับสามารถที่จะปกคลุมไปยังรอบอณาบริเวณไปได้ไกลกว่านั้นมาก และชัดเจนยิ่งกว่า เขาใช้พลังจิตวิญญาณค่อยๆเพ่งมองไปยังเงาร่างที่อยู่ทางด้านหน้าทั้งสาม
“เป็นจ้าวหมิงซาน” ทันใดนั้น บนใบหน้าของหลงเฉินก็ได้ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมา
ในสามคนนั้น มีคนหนึ่งคือจ้าวหมิงซาน ส่วนอีกคนหนึ่ง ก็คือคนที่อยู่ภายในห้องเก็บโรงศพ สุดยอดฝีมือที่ทำการรุมโจมตีหลงเฉินผู้นั้นนั้นเอง
และอีกคนหนึ่ง ที่มีร่างกายสูงใหญ่ ผิวพรรณขาวผ่อง สวมด้วยอาภรณ์สีขาว ดูไปแล้วมีความห้าวหาญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถือเป็นบุรุษที่เยาว์วัยเป็นอย่างยิ่งผู้หนึ่ง
เมื่อได้มองดูชายหนุ่มผู้นั้น หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะต้องตกใจขึ้นมา เพราะร่างกายของคนผู้นี้มีพลังสภาวะที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับมีพลังในการฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่เก้าไปแล้ว ไม่ว่าจะยกมือวางเท้า ต่างก็แฝงเอาไว้ด้วยท่วงท่าของยอดฝีมือที่ห้าวหาญ
“เป็นเด็กน้อยที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”
ในขณะที่กำลังจับจ้องอยู่ที่คนผู้นั้น หลงเฉินก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกเสียจากหยินหลอแล้ว ถือได้ว่าน้อยนักที่จะได้พบพานกับสถานการณ์เฉกเช่นนี้จากสุดยอดฝีมือคนใด เช่นนี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของเด็กน้อยผู้นี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว
ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร หลงเฉินรูสึกว่าคุ้นเคยกับคนผู้นี้อยู่บ้าง แต่ก็เหมือนกับไม่เคยได้พบเห็นคนผู้นี้มาก่อน เช่นกัน
ในเวลานี้สามคนนั้น ต่างก็ได้มุ่งหน้าเดินทางกันต่อไปอย่างระมัดระวัง ทั้งยังทำการค้นหาวัตถุดิบไม่หยุด ซึ่งหลงเฉินก็ได้พบว่าคนทั้งสามนั้น มองไม่เห็นหินปราณวายุก้อนหนึ่งที่อยู่ภายในโพรงหญ้า ทั้งยังทำราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา จนหลงเฉินอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะอย่างเย็นเยียบขึ้นในใจ ช่างสมกับเป็นตัวโง่งมกลุ่มหนึ่งเลยทีเดียว
“พี่เทียนเฟิง ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเราสอง ต่อให้ถูกทุบตีจนตายก็ไม่หาญกล้าพอที่จะเข้ามายังภายในหุบเขาเมฆหมอกแห่งนี้” จ้าวหมิงซานทอสีหน้าตื้นตันใจแล้วกล่าวกับยอดฝีมือที่อยู่อีกทางด้านหนึ่ง ลักษณะท่าทางฉายแววแห่งการประจบประเจงกันขึ้นมา
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าและหมู่ตึกที่หนึ่งขอข้า ต่างก็มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใยจำต้องกล่าววาจาเกรงใจไป” ชายหนุ่มที่มีใบหน้าห้าวหาญผู้นั้นก็ได้กล่าวขึ้นมาเสียงแผ่วเบา
“พี่เทียนเฟิง ช่างเป็นคนที่ใจกว้างยิ่งนัก เพียงแค่น้ำใจเช่นนี้ ก็กินใจพวกข้ามากเหลือเกิน ท่านช่างสมกับเป็นความภาคภูมิใจของฝ่ายธรรมะเราจริงๆ ! ” จ้าวหมิงซานทอใบหน้าประจบสอพอแล้วกล่าวขึ้นมา
หลงเฉินได้ฟังก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา ให้ตายเถอะ ยังไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้มาก่อนเลยจริงๆ ถึงกับทำให้ขนที่ปั้นท้ายต้องลุกชันขึ้นมาเลยทีเดียว
ในขณะที่ฟังนั้น หลงเฉินก็ยิ่งกระจ่างแจ้งถึงสถานะของชายหนุ่มผู้นั้น เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง คนผู้นี้ถึงกับสังกัดกับหมู่ตึกที่หนึ่ง หมู่ตึกที่หนึ่งนี้ ยังไงก็ถือว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
เมื่อได้ใช้จิตสมาธิทำการสำรวจดูชายหนุ่มผู้นั้นมากขึ้นอีก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา ทันใดนั้นหลงเฉินก็นึกออก ตบเข้าไปที่ต้นขาฉาดใหญ่ ในที่สุดก็เข้าใจได้แล้วว่าเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยนัก เพราะว่าเขากับยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ หานเทียนหวู่ มีส่วนที่คล้ายคลึงกันถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียว
“ตระกูลหานนั้นมีพี่น้องคู่หนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ไม่ทราบว่าถือเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลมากถึงเพียงใด ความจริงแล้วคุณสมบัติในระดับพี่เทียนเฟิงและพี่ชายท่านหานเทียนหวู่ ยังกรุณามาเข้าร่วมกับหมู่ตึกพวกเรา ก็นับได้ว่าเป็นบุญวาสนาของทางหมู่ตึกเราแล้ว” สุดยอดฝีมืออีกคนหนึ่ง ทอใบหน้านับถือแล้วกล่าวขึ้นมา
ที่แท้เด็กน้อยนี้ก็คือน้องชายของหานเทียนหวู่ ไม่แปลกใจเลยที่มีหน้าตาท่าทางที่คล้ายกัน ทั้งยังเป็นถึงสุดยอดสองพี่น้อง แน่นอนว่าย่อมรู้สึกภาคภูมิกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มผู้นั้นย่อมมิใช่ใครอื่น แท้จริงแล้วก็คือน้องชายแท้ๆของหานเทียนหวู่ หานเทียนเฟิงนั้นเอง ซึ่งอ่อนกว่าหานเทียนหวู่เพียงหนึ่งขวบปี ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่แตกต่างไปจากพี่ชายเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และก็เป็นผู้ที่มีนามกระเดืองไปทั่วทั้งหมู่ตึกที่หนึ่ง เช่นเดียวกัน
“ที่น่าลำบากใจที่สุดก็คงจะเป็น พี่เทียนเฟิง ที่มีความสามารถที่จะเข้าออกหุบเขาเมฆหมอกได้ ช่วยนำพาพวกเราสองเข้ามาทั้งๆที่เป็นได้แต่เพียงแค่ตัวถ่วง โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเรารู้สึกตื้นตันใจอย่างถึงที่สุด
ครั้งนี้เมื่อออกจากหุบเขาเมฆหมอกไปแล้ว ยาล้ำค่าที่ข้าได้มาจากภายในหุบเขา จะขอมอบให้แก่ท่านครึ่งหนึ่ง พี่เทียนเฟิงได้โปรดรับไว้ด้วยเถิด ขออย่าได้ปฏิเสธเลย” จ้าวหมิงซานกล่าวขึ้นมาอย่างนอบน้อม
ที่แท้หานเทียนเฟิงก่อนหน้าที่จะเข้าสู่แดนลับ ได้พบกับสมบัติชิ้นหนึ่งเข้าโดยที่ไม่ตั้งใจ สิ่งของนั้นเป็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับกระดานหมากรุกชิ้นหนึ่ง
มันกลับสามารถที่จะจดจำเส้นทางที่เจ้าของเคยผ่านมาได้ ทั้งยังเป็นเครื่องมือที่เปี่ยมไปด้วยพลังโบราณอันมหาศาล จนอาจเรียกได้ว่ามีเพียงชิ้นเดียวในโลกแล้วก็เป็นได้
เมื่อได้รับสมบัติชิ้นนั้นมา หานเทียนเฟิงก็นึกถึงหุบเขาเมฆหมอกขึ้น ดังนั้นหลังจากเข้าสู่ขอบเขตแดนลับเขาจึงมุ่งตรงมายังหุบเขาเมฆหมอก เพื่อทำการค้นหาสมบัติ
เพียงแต่ว่า ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามายังภายในหุบเขา กลับเกิดล่าช้าขึ้นมาเล็กน้อย และในยามที่เร่งมาจนถึงหุบเขาเมฆหมอก ก็ประจวบกับได้พบเจอคนทั้งสองเข้าพอดี
สุดยอดฝีมืออีกผู้หนึ่ง ก็กล่าวคำยกยอปอปั้นหานเทียนเฟิงออกมาอย่างรีบร้อนเช่นกัน จึงได้ทำให้ภายในดวงตาของหานเทียนเฟิงนั้นปรากฏแววชมชอบขึ้นมา ทว่าบนใบหน้กลับยังคงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วกล่าว : “หากพวกเจ้าทำเช่นนั้นมิใช่เป็นการดูแคลนข้าหานเทียนเฟิงหรอกหรือ ที่ข้าพาพวกเจ้าเข้ามาด้วย เนื่องจากเห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นผู้กล้า จึงเหมาะที่จะคบเป็นสหายด้วย หาใช่เพราะเกิดความละโมบต่อสมบัติของพวกเจ้า”
“พวกข้าเองก็ทราบ พี่เทียนเฟิงท่านถือเป็นชนชั้นวีรชนผู้กล้า ของตอบแทนเหล่านี้ ท่านคงจะไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างแน่นอน
แต่ว่าหากว่าท่านไม่รับเอาไว้ ข้าคงไม่อาจจะสงบใจได้ ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ความสบายใจของผู้น้อง ท่านก็โปรดรับเอาไว้ด้วยเถอะ” จ้าวหมิงซานกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่จริงใจ
หานเทียนเฟิงได้ฟังดังนั้น จึงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว : “หากว่าพวกท่านลำบากใจ เช่นนั้นข้าก็จะขอรับเอาไว้อย่างไม่เกรงใจ ทว่าข้าจะขอรับเอาไว้ในจำนวนที่จำกัดก็แล้วกัน อย่างมากก็ครึ่งเดียว ถ้าหากพวกท่านมอบให้มากกว่านี้ เกรงว่าข้าคงจะต้องกลับคำแล้ว”
“มิได้มิได้ เราไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน พี่เทียนเฟิงช่างมีคุณธรรมอย่างแท้จริง ช่างทำให้พวกข้านับถืออย่างหมดใจเลยจริงๆ” จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมืออีกคนแย่งกันกล่าวออกมา
พวกเขากับหมู่ตึกที่หนึ่งนับได้ว่าเป็นพันธมิตรกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรในทางลับ ทว่าก่อนหน้าที่จะเข้าสู่แดนลับ เหล่าผู้อาวุโสได้มอบหมายเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ต่างก็ต้องสร้างสัมพันธ์พันธมิตรเอาไว้ให้ได้ก่อนเป็นอย่างแรก แน่นอนว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจที่จะล่วงเกินหมู่ตึกที่หนึ่งอยู่แล้ว
จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้น ต่างก็ถือได้ว่าเป็นชนชั้นผู้นำที่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง การที่จะต้องแบ่งสมบัติไปให้ผู้อื่นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ว่าในเมื่อคนผู้นี้นำพาพวกเขาเข้ามา พวกเขาที่ตามปกติคงไม่สามารถเข้ามาได้ หรือมากไปกว่านั้นก็อาจจะตายตั้งแต่แรกเริ่ม ขณะนี้เมื่อได้รับยาล้ำค่า ต่อให้ต้องถูกแบ่งไปครึ่งหนึ่ง ก็ยังได้มาอีกครึ่งหนึ่งอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาไม่แต่เพียงได้รับยาล้ำค่า ทั้งยังสามารถที่จะสานสัมพันธ์ไมตรีอีกด้วย เมื่อยามที่ได้กลับไปที่หมู่ตึก แน่นอนว่าย่อมต้องได้รับรางวัลอย่างแน่นอน เมื่อบวกกับยาล่ำค่าที่อยู่ในมือ อย่างไรสเสียครั้งนี้ก็แน่นอนว่าย่อมต้องได้รับผลพลอยได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
หานเทียนเฟิงถึงอย่างไรก็คงจะไม่หน้าด้านร้องขอสินน้ำใจจากพวกเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าหากว่าพวกเขาไม่มีสินน้ำใจให้แก่หานเทียนเฟิงบ้าง เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากการล่วงเกินหานเทียนเฟิงจนแทบตายแล้ว หลังจากที่ได้กลับไปยังหมู่ตึก เกรงว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับการดูแลจากหมู่ตึกที่หนึ่ง แต่คงจะต้องถูกพวกเขาข่มเหงอีกด้วย แน่นอนว่าย่อมมิใช่วิธีการของคนฉลาดอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินวาจาของทั้งสามคน หลงเฉินก็เกิดความสะอิดสะเอียนจนแทบอาเจียนออกมา ความสามารถในการเสแสร้งประจบสอพอเช่นนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของฝ่ายธรรมะ มีแต่ฝ่ายธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้เกิดบรรยากาศเช่นนี้ได้ นี่แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการมีเนื้อเน่าเปื่อยจนสามารถที่จะหลุดลอกจากกระดูกได้แล้ว
ผู้มีพรสวรรค์อย่างไรเสียก็ไม่ทำการขุดฝังพรสวรรค์ของตนเองอย่างแน่นอน ในทางกลับกันในทุกๆวันกลับเอาแต่ฝึกปรือ คิดที่จะวางแผนวางกลอุบายในเรื่องเหล่านี้อยู่ร่ำไปเท่านั้น
ไม่แปลกใจเลย ว่าเหตุใดฝ่ายธรรมะถึงได้มีผู้ที่มีมากความสามารถมากมาย อีกทั้งยังมีจำนวนคนที่มากกว่าฝ่ายอธรรมอยู่หลายเท่าตัว แต่ทว่าในหลายปีที่ผ่านมานี้ กลับยังคงเป็นฝ่ายที่ถูกฝ่ายอธรรมกดขี่จนแทบเป็นแทบตายกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะกลุ่มตาแก่โง่งมกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นคนนำพากลุ่มตัวโง่งมน้อย และปลูกฝังความคิดเช่นนั้นเอาไว้กับพวกเขา จนในที่สุดก็กลายเป็นส่งผลกระทบที่รุนแรงให้แก่ตนเอง
มีพรสวรรค์แต่กลับไม่อาจที่จะควบคุมพรสวรรค์เอาไว้ได้ และเหล่าตัวโง่งมที่ไม่มีแม้แต่จิตใจที่จะฝักใฝ่ในการฝึกยุทธ์ เห็นแก่ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์เป็นสำคัญเท่านั้น ทุกวันคิดแต่จะวางแผนการจัดการต่อผู้คนเช่นไร ไม่ได้ทุ่มเทเพื่อขัดเกลาวิทยายุทธ์แม้แต่น้อย ตนเองเมื่อใช้วิทยายุทธ์ไม่เป็น ก็ยังทำให้ผู้คนใช้ไม่เป็นอีก
ดังนั้นศิษย์เบื้องหน้าสายตาเหล่านี้ พึ่งจะเข้าสู่เส้นทางวิทยายุทธ์ ก็ได้ถูกย้อมเอาไว้ด้วยความเน่าเฟะเช่นนั้นไปนับตั้งแต่ต้นเสียแล้ว
หลงเฉินแม้ว่าจะชิงชังฝ่ายธรรมะ แต่เมื่อเทียบกับฝ่ายอธรรมแล้ว ฝ่ายอธรรมที่เข่นฆ่าคนของฝ่ายธรรมะไปมากมาย แต่ว่าก็ยังกลับถูกฝ่ายธรรมะลอบฆ่าจนตายไปกันเองอยู่เต็มไปหมด เกรงว่าคงจะมากกว่าฝ่ายอธรรมอยู่หลายเท่า ในกลุ่มคนมากมายเหล่านี้ ก็คงจะมีผู้มีพรสวรรค์มากความสามารถรวมอยู่ด้วย
“พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าหลงเฉินได้ตายไปแล้วจริงๆ ?”
หลังจากที่ได้หารือเรื่องเลวร้ายเสร็จ หานเทียนเฟิงก็กล่าวขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้หลงเฉินหูผึงขึ้นมา