เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 349 หานเทียนเฟิงกระอักโลหิต

 

หานเทียนเฟิงที่ได้ซ่อนตัวอย่างมิดชิด แรงสั่นสะเทือนรอบตัวทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาทราบดีว่าเจ้าสัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์นั่นกำลังไล่ล่าอะไรอยู่ และมันก็กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

 

ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่กล้าทำแบบนี้

 

เขาสัมผัสได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากทางอีกฟากหนึ่งของหุบเขา ขณะที่กำลังไตร่ตรองว่าจะข้ามไปดูที่ภูเขานั้นดีหรือไม่

 

“ตู้มมมม”

 

ในทันใดนั้นภูเขาที่อยู่ด้านหลังก็ได้พังทลายลงมา โดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเลยทีเดียว ภูเขาหินปราณวายุลูกนั้นระเบิดกระจายถล่มลงมาทับร่างของเขาเอาไว้จนถึงกับกระอักโลหิตออกมาในทันที

 

“น่าเสียดาย พลาดไปนิดเดียว”

 

หลงเฉินที่ได้มองเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด หากแรงจู่โจมนั้นต่ำลงมาอีกสักยี่สิบเซี๊ยะ เจ้าเด็กน้อยนั่นจะต้องตายอย่างแน่นอน

 

เมื่อด้านหน้าหุบเขาพังทลายลงมา หลงเฉินจึงไม่รีรอ รีบพุ่งทะยานออกไปทันที

 

เมื่อได้มาอยู่เหนือตำแหน่งที่หานเทียนเฟิงอยู่ เขาจึงได้เข้ากระทืบซ้ำอีกครั้ง แล้วกระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“พรวด”

 

ร่างของหานเทียนเฟิงที่ยังถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ว่ามีแรงกระแทกบางอย่างกระหน่ำซ้ำลงมาอีก โลหิตถึงกับพวยพุ่งออกจากปากทันที

 

พลังจากการโจมตีของสัตว์ร้ายแห่งวายุก่อนหน้า ที่ถึงแม้จะจู่โจมพลาดไปนิด แต่พลังของเจ้าสัตว์ร้ายแห่งวายุนั้น มันช่างน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้จู่โจมโดยตรงยังสามารถถึงกับทำให้อวัยวะภายในฉีกขาดได้

 

หลงที่เฉินจงใจกระทืบซ้ำด้วยพลังอันมหาศาล หวังจะซ้ำไปที่บาดแผลเดิม จนต้องกระอักโลหิตออกมาอีกครั้งหนึ่ง

 

แต่ทว่าหานเทียนเฟิงที่เป็นผู้เป็นถึงสุดยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งระดับไร้ผู้ต้าน ที่ไม่เคยมีใครโค่นลงได้ง่ายๆ แม้จะถูกฝังร่างอยู่ใต้พื้นดิน แต่ยังคงหมายที่จะหยุดหลงเฉิน

 

แม้จะเห็นไม่ชัดว่าเป็นหลงเฉิน แต่เขาก็จดจำเงาร่างนั้นได้ และนั่นก็เป็นการคาดเดาที่แม่นยำ เขากำลังถูกก่อกวนเป็นแน่

 

“หาที่ตายแล้ว”

 

ความโกรธแค้นของหานเทียนเฟิงพวยพุ่งขึ้นมา เขาที่เป็นถึงระดับสุดยอดฝีมือ กลายเป็นตัวโง่งมตั้งแต่เมื่อไรกัน แรงกระทืบของหลงเฉินนั้นเป็นความจงใจอย่างแน่นอน แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน

 

ภายใต้โทสะที่เพิ่มขึ้นมา เขาจึงพาร่างตนเองโผล่ขึ้นมาจากกองหิน แต่เงาหลังของคนผู้นั้นกลับหายไปต่อหน้าในทันที

 

“เป็นอาภรณ์ของศิษย์จากหมู่ตึก”

 

หานเทียนเฟิงกัดฟันขึ้นมาด้วยโทสะ เขาจำเครื่องแต่งกายของคนผู้นั้นได้ แต่น่าเสียดายที่สัญสักษณ์ของสำนักที่อยู่บนหน้าอกนั้น เขากลับมองเห็นไม่ชัดว่ามาจากหมู่ตึกใด

 

เมื่อถูกศิษย์ในสำนักหวังจะปลิดชีพ เขาจึงคลุ้มคลั่งด้วยเพลิงโทสะ ที่ศิษย์ของหมู่ตึกนั้นถึงกับมีคนคิดจะกำจัดเขา

 

ทันใดนั้นหานเทียนเฟิงที่กำลังมีโทสะจนอกแทบระเบิด จู่ๆ ก็ได้มีอุ้งเท้าขนาดใหญ่ตบลงมาที่เขาในทันที

“ตู้มมม”

 

พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือนขึ้นมา หานเทียนเฟิงรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ถูกภูเขาทั้งลูกกดทับร่างไว้ ก็ได้กระอักโลหิตออกมาอีกครั้งหนึ่ง

 

ขณะที่หานเทียนเฟิงกำลังนำร่างออกมาจากกองหินอีกครั้ง ด้วยสภาพที่งุนงง ก็ได้รู้สึกว่าร่างตนเองหนักอึ้งทั้งกระดูกยังแทบแหลกจนเขาถึงกับตกใจ เงาของเจ้าสัตว์ร้ายแห่งวายุเลื่อนผ่านเบื้องหน้าแล้วหายวับไป

 

“อ่ะ……ลองดีกันเกินไปแล้ว”

 

หานเทียนเฟิงกล่าวออกมาด้วยโทสะ ก่อนหน้านี้ได้ถูกหลงเฉินกระทืบมาหนึ่งหน ต่อมาถูกยังถูกเจ้าตัวประหลาดนี่กระทืบซ้ำอีก

 

หากไม่ใช่เพราะเขารู้ว่า สัตว์ร้ายแห่งวายุที่โตเต็มที่นั้นจะไม่มีผู้ใดบังคับควบคุมได้แล้ว หานเทียนเฟิงคงคิดว่า เจ้าสองสิ่งนี้เจตนาร่วมมือสร้างความอับอายให้กับเขา

 

“สารเลว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด หากข้ามิได้บดสับร่างของเจ้าเป็นชิ้นๆ ก็อย่ามาเรียกข้าว่า หานเทียนเฟิง” เขาทอสีหน้าดุดันขึ้นมา

 

หานเทียนเฟิงตามร่องรอยของหลงเฉินไปจนเกือบร้อยลี้ ก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนจากที่ห่างไกล กำลังใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็ว

 

“ในที่สุดก็มาจนได้” ฮืมมม เจ้าเป็นใครกันแน่? “

 

หานเทียนเฟิงมองไปรอบๆ เห็นด้านหลังของกองหินมีที่แห่งหนึ่งที่เหมาะสำหรับการซ่อนตัว จึงรีบเข้าไปหลบอยู่ในที่แห่งนั้น รอคอยอย่างสงบ

 

ที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ถึงแม้ว่าจุดที่คนผู้นั้นเคลื่อนตัวผ่านไปจะอยู่ไม่ไกลจากเขานัก แต่มันก็อยู่ห่างในระยะที่ต้องข้ามหุบเขาถึงสองลูก เขาเองก็ไม่อาจจะข้ามไปดูได้

 

หากปรากฏกายไป ก็ต้องเป็นการไปกระตุ้นสัตว์ร้ายแห่งวายุนั้น ขณะที่เขากำลังคิดจะเปลี่ยนที่อำพรางตัว พื้นดินก็ได้สะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง ครั้งนี้ดูจะใกล้กว่าเดิมมาก

 

ในที่สุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว อีกนิดเดียว

 

“ตู้มมมมม”

 

ภูเขาลูกที่อยู่ด้านข้างของหานเทียนเฟิงระเบิดกระจุย หานเทียนเฟิงที่ไม่ทันเตรียมการใด จึงถูกฝังร่างลงไปใต้กองหินอีกครั้ง แต่ด้วยพลังการระเบิดที่รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า จนต้องกระอักโลหิตออกมาถึงสามครั้ง

 

“ปัง”

 

หลังจากหานเทียนเฟิงกระอักโลหิตออกมา เขาก็รู้สึกได้ว่ากองหินโดยรอบกำลังทับมาที่ตัวเขาอย่างบ้าคลั่งเข้ามาเรื่อยๆ

 

“พรวด”

 

หานเทียนเฟิงกระอักโลหิตอีกครั้ง โดยไม่ทันได้ตั้งตัวแรงกดทับที่หนักกว่าเดิมก็ตามมาติดๆ จนเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังถูกบดจนละเอียด

 

ขณะที่เขาเร่งรวบรวมพลังปราณเพื่อต้านทานแรงบีบอัดหานเทียนเฟิงก็แทบคลั่ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหนนี้ถึงแม้จะคล้ายกับก่อนหน้า แต่ที่แตกต่างคือครั้งนี้มันรุนแรงจนเขาบาดเจ็บอย่างสาหัส

 

ขณะที่คลานออกมาจากกองดินโคลน ก็เห็นว่าคนผู้นั้นกำลังห่างไกลออกไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น

 

“ไอ้สารเลวที่ฟ้าควรพิฆาต รออีกหน่อยเถอะ”

 

หานเทียนเฟิงโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ เขายังคงต้องควบคุมสติ และยังไม่มีพละกำลังที่จะไล่ตาม

 

“ไอ้สารเลว นี่มันจงใจแน่ๆ“

 

หานเทียนเฟิงพยายามระงับโทสะเอาไว้ เขารู้สึกว่าเรื่องมันจะต้องไม่ปกติ

 

เรื่องประหลาดเช่นนี้ต้องอะไรแฝงอยู่เป็นแน่ มีบางอย่างที่ข้าไม่รู้ มันรู้ที่หลบซ่อนของข้าได้อย่างไร คงปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องไปดูผลึกหินปราณวายุเสียก่อน

 

หานเทียนเฟิงไม่อยากจะเชื่อว่า พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินจะมากมายมหาศาลจนสามารถครอบคลุมไปไกลถึงใจกลางหุบเขาได้

 

เขายิ่งไม่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พลังแห่งจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งจะแข็งแกร่งพอที่จะเล็ดรอดการตรวจจับของเขาได้

 

ดังนั้นเขาจึงทราบในทันทีว่า ในตัวของหลงเฉินต้องมีของมีค่าบางอย่าง ที่ช่วยให้สามารถเห็นความเคลื่อนไหวในสภาวะรอบตัวได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเข้ามาถึงใจกลางหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยเมฆหมอกเป็นแน่

 

หลังจากทราบถึงข้อนี้แล้ว หานเทียนเฟิงรีบสงบจิตใจทันที ไม่คิดหาบทสรุปแล้วว่าเขาคือใคร หากคนผู้นี้ยังไม่ตายยังไงก็ต้องปรากฏกายอีกแน่ เขาต้องการไปดูเหตุการณ์ในผลึกปราณวายุ จึงรีบกลืนโอสถรักษาบาดแผลแล้วมุ่งหน้าสู่ใจกลางหุบเขา

 

หลงเฉินพาสัตว์แห่งวายุเข้าจู่โจมหานเทียนเฟิงติดต่อกันถึงสองครั้ง แต่ก็ยังพลาดทั้งสองครั้ง จึงทำให้หลงเฉินนึกเสียดายยิ่งนัก

 

ขณะเดียวกันก็ได้ตำหนิสัตว์ร้ายแห่งวายุว่าไม่มีความแม่นยำ แต่ยังไงเสีย อันที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้อยู่ดี

 

ที่จริงความไวของสัตว์วายุ มีความเร็วกว่าหลงเฉินเสียอีก แต่เพราะหุบเขาที่สลับซับซ้อนดั่งเขาวงกต มันจึงไม่สามรถปลดปล่อยความเร็วได้ ทำให้ตามจับหลงเฉินไม่ทัน ทำได้เพียงโมโหส่งเสียงคำราม และไม่หยุดที่จะเข้าโจมตี

 

“อืมม? กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะมา ในเมื่อเจ้าเด็กน้อยนั่นไปที่ใจกลางหุบเขาแล้ว เจ้าจะอยู่เฉยๆไม่ได้ ของของข้า ไม่ใช่เอามาได้ง่ายๆ ต้องไปช่วยกันทำงาน”

 

หลงเฉินมุ่งหน้าสู่ใจกลางหุบเขา ครั้งนี้หลงเฉินพุ่งเข้าสู่ใจกลางหุบเขาโดยตรง เพราะบริเวณรอบๆหุบเขา ได้ถูกสัตว์แห่งวายุพังราบจนหมดแล้ว

 

เขาต้องเคลี่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพราะสัตว์แห่งวายุที่ตามมาความเร็วก็ยิ่งกว่า เงาของทั้งสองรวดเร็วราวสายฟ้าที่ฟาดฟันไปทางใจกลางหุบเขา

 

ที่ใจกลางหุบเขา หานเทียนเฟิงมองดูภูเขาขนาดย่อมที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เขาทั้งตกตะลึงทั้งโกรธแค้น จนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำขึ้นมา

 

แม้จะคาดเอาไว้ก่อนหน้า แต่เมื่อเห็นกับตาว่าสิ่งล้ำค่าสูญหายไป เขาก็ไม่อาจจะระงับความโกรธแค้นไว้ได้

 

“รอดูเถอะ เอาสมบัติล้ำค่าของข้าไป เจ้าต้องคายมันออกมา” หานเทียนเฟิงกัดฟันและริมฝีปากจนแน่น ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

 

แม้ว่าผลึกปราณวายุก้อนนั้น เขาอาจยังไม่ได้ครอบครอง แต่กองหินปรานวายุเท่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้าก็ถือเป็นสมบัติกองโต หากรวบรวมหินปรานวายุทั้งหมดนี้มารวมกัน เขาก็จะกลายเป็นผู้มั่งคั่งที่สุดในบรรดาศิษย์ในสำนัก และจะไม่มีใครพูดอะไรได้

 

หินปราณวายุเหล่านี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นแต้มคะแนนสะสม แน่นอนว่าต้องมีมูลค่ามากกว่าผู้อื่นในสำนักที่สะสมมาเป็นหมื่นปี

 

เพราะหินปราณวายุเหล่านี้ มีค่ามากกว่าหินปราณทั่วไปที่ใช้สำหรับการฝึกยุทธ์ มูลค่าการแลกเปลี่ยนคือสามต่อหนึ่ง หินปราณสามก้อนแลกหินปราณวายุได้หนึ่งก้อน ขนาดที่โลกภายนอกยังไม่อาจตีราคาได้

 

ภูเขาหินปราณวายุที่อยู่ตรงหน้า แม้จะถูกขุดออกไปส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่เหลืออยู่ หากรวบรวมเข้าด้วยกัน ก็มีมากเป็นพันหมื่น ถึงวันที่กลายเป็นผู้มั่งคั่งใครจะเทียบเขาได้

 

ขอเพียงเก็บรวบรวมเขาเล็กๆลูกนี้ เขาก็จะมีสุดยอดฝีมือ มีม้า และรวบรวมผู้คน เข้าต่อสู้กับพี่ชายของเขา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องถูกพี่ชายกดขี่อีกต่อไปแล้ว

 

หานเทียนเฟิงจ้องมองภูเขาลูกเล็กที่เกิดจากหินปราณวายุ เขากำลังคิดว่าจะเก็บเข้าไปในพื้นที่ว่างของแหวนมิติได้อย่างไร ทันใดนั้นผืนดินก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง พายุส่งเสียงคำรามอย่างน่าหวาดกลัวกำลังใกล้เข้ามา

 

หานเทียนเฟิงหันไปมอง ก็พบคนผู้หนึ่งมีลักษณะคล้ายดั่งลูกธนูที่พุ่งเข้ามาจากระยะไกลหลายสิบจั้ง เข้ามาอยู่เบื้องหน้าเขาในชั่วพริบตา

 

“สารเลว เจ้ากำลังหลอกข้า ไปตายซะ”

 

สิ่งที่ทำให้หานเทียนเฟิงทั้งตกใจทั้งโมโหก็คือ คนที่อยู่ตรงหน้า ไม่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์สำนักไหนซึ่งอาจถูกดึงออกไป

 

หากดูที่เครื่องแต่งกายธรรมดาจะไม่สามารถดูออกว่าเป็นศิษย์จากสำนักไหน ที่น่าโมโหกว่านั้นคือเจ้านั่นกลัวคนอื่นจะดูออก จึงสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าอีกด้วย หากเพียงสวมหน้ากากธรรมดา หานเทียนเฟิงคงไม่หงุดหงิดในใจนัก แต่เจ้านี่ถึงกับใส่หน้ากากทารกหัวโตอีกด้วย

 

รอยยิ้มบนหน้ากากทารกหัวโต เหมือนเป็นการเย้ยหยันเขา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หานเทียนเฟิงโกรธจนเส้นผมตั้งตรง แล้วหอกสีเหลืองที่ปรากฏขึ้นมาในมือ ก็พุ่งแทงไปที่ตำแหน่งของหัวใจหลงเฉิน

 

หอกเล่มนี้เต็มไปด้วยสภาวะอันแน่วแน่ ราวกับว่ามีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งบางอย่างให้กับหอกเล่มนี้ของเขา จนทำให้แผ่นดินโดยรอบ ต้านทานพลังของหอกไม่ไหว จนต้องถล่มครืนลงมา

 

เมื่อต้องเผชิญกับหอกตรงหน้า ในมือของหลงเฉินก็ปรากฏค้อนขนาดใหญ่ขึ้นมา ขนาดของหัวค้อนใหญ่เท่ากับขนาดของถังน้ำ เข้ารับมือกับหอกของหานเทียนเฟิงที่กำลังพุ่งเข้ามา

 

“ตู้มมม”

 

เสียงระเบิดดังขึ้นจนผืนดินแยกสะเทือน ค้อนใหญ่ในมือหลงเฉินลอยปลิวไปในทันที พลังอันมหาศาลนั้นทำให้ค้อนใหญ่หายไปภายในพริบตา

 

การโจมตีของหานเทียนเฟิงที่ทำให้ค้อนยักษ์ของหลงเฉินลอยหายไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ขณะที่มองไปยังใบหน้ารอยยิ้มของหน้ากากตุ๊กตาทารกนั่น สีหน้าจึงเปลี่ยนสีทันที

 

“แย่แล้ว”

 

ในที่สุดเขาก็ทราบว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ เมื่ออาวุธทั้งสองปะทะกัน ไม่ใช่ว่าเขามีพลังที่แข็งแกร่ง แต่เป็นการจงใจของอีกฝ่าย ค้อนยักษ์ดึงพลังของเขาไปแล้ว และตัวเขาเองก็ถูกเหวี่ยงไปด้านหน้า ในมือของหลงเฉินก็มีลูกบอลกลมสีม่วงปรากฏขึ้น

 

เมื่อลูกบอลกลมสีม่วงปรากฏขึ้น บรรยากาศโดยรอบก็เกิดสั่นไหวในทันใด ความกดดันอันน่ากลัวแผ่คลุมทั่วทั้งแปดทิศ ทำให้หานเทียนเฟิงขนลุกไปทั้งตัว

 

“ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า อย่าได้เกรงใจ”

 

หลงเฉินผลักลูกบอลไปเบื้องหน้า ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องด้วยพลังอันน่ากลัวก็ระเบิดขึ้น จนทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน ภายในระยะหลายร้อยจั้งก็ได้ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด

 

“ตู้มมม”

 

หานเทียนเฟิงใช้หอกสกัดกั้นไว้ ด้วยสัญชาตญาณที่น่าตกใจ แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ก็ยังสามารถต้านลูกบอลสายฟ้าลูกนั้นไว้ได้

 

เมื่อต้านลูกบอลสายฟ้าไว้ได้แล้ว วูบหนึ่งเขาก็รู้สึกชาไปทั้งร่างกาย อีกทั้งยังถูกพลังแสงที่น่าสะพรึงกลัวกระแทกเข้าไปในดวงตา จนทำให้มองเห็นสิ่งตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนไปชั่วครู่

 

หลังจากหานเทียนเฟิงปรับการมองเห็นได้ อุ้งเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่าบ้านถึงห้าเท่า ก็ได้กระทืบมาที่เขาอย่างโหดเหี้ยม

 

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset