ผิวน้ำโดยรอบของทะเลสาบที่มีอาณาบริเวณกว้างไกลนับพันลี้นี้ มีสภาพที่สงบราบเรียบดุจพื้นผิวกระจก ทันทีที่มองเห็นทะเลสาบนั้น หลงเฉินก็รู้สึกยินดีขึ้นมายกใหญ่ แล้วก็บังคับควบคุมเสี่ยวเสว่ยให้วิ่งตะบึงไปยังทะเลสาบนั้นในทันที
เสี่ยวเสว่ยนั้นมีความรวดเร็วที่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง จากระยะห่างหลายพันลี้ เพียงแค่อึดใจเดียว ก็ได้วิ่งตะบึงเข้ามาถึงด้านข้างทะเลสาบแล้ว
“เสี่ยวเสว่ย เข้าไปหลบอยู่ในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณก่อน พวกเรามีทางรอดแล้ว”
หลงเฉินเบิกพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้น แล้วทำการเก็บเสี่ยวเสว่ยเข้าไปภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ แล้วก็หันกลับไปมองดูสัตว์ร้ายแห่งสายวายุที่ไล่ตามมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับยกยิ้มขึ้น
“ร่วมทางกันมาพันลี้ ก็ยังคงต้องจากลากัน ข้าจะขอจดจำเจ้าเอาไว้ หากมีโอกาสค่อยพบกันใหม่”
หลงเฉินผสานกำปั้น จากนั้นก็กระโดดลงไปในทะเลสาบ เขาแหวกว่ายลงไปใต้ทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ทะเลสาบแห่งนี้มีความลึกเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินมุ่งหน้าแหวกว่ายออกไปหลายสิบจั้ง แล้วก็ดำดิ่งลึกลงไปข้างใต้ทะเลสาบอีกนับร้อยจั้ง
“ตู้ม”
ทันใดนั้นผิวน้ำก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง หลงเฉินรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจับตามองเขาอยู่ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สิ่งนั้นก็ได้ปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมาด้วย จนเขาต้องมุ่งหน้าว่ายให้ไกลออกไปอีกอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ยังคงได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวตามมา นั่นเองทำให้หลงเฉินทราบว่า สัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นจะต้องโจมตีเข้าใส่ผิวทะเลสาบแห่งนี้อย่างแน่นอน
หลงเฉินเองจึงแหวกว่ายลึกลงไปยังใจกลางของทะเลสาบแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ที่ด้านหลังก็ยังคงเกิดคลื่นใต้น้ำตามมาไม่หยุด จนน้ำในทะเลสาบเกิดความเคลื่อนไหวที่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องคิดสักนิด นี่จะต้องเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสัตว์ร้ายแห่งวายุที่โจมตีใส่ทะเลสาบนั่นเอง
ทว่าจู่ๆสัตว์ร้ายแห่งวายุก็หยุดโจมตีใส่ทะเลสาบ กระนั้นการโจมตีนับตั้งแต่แรก ที่เกิดขึ้นอยู่หลายครานั้น นอกเหนือจากการทำให้หลงเฉินเกิดความลำบากลำบนแล้ว ในระหว่างที่หลงเฉินมุ่งหน้าแหวกว่ายลึกเข้าไป การโจมตีเหล่านั้น ก็แทบจะไม่ส่งผลให้เขาได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แล้วสตว์ร้ายแห่งวายุก็ได้เริ่มจู่โจมทะเลสาบอีกครั้ง
เมื่อหลงเฉินแหวกว่ายจนมาถึงใจกลางของทะเลสาบ ผิวทะเลสาบก็ได้เกิดคลื่นระลอกใหญ่ที่สูงนับพันจั้งมาจากข้างใต้ทะเลสาบ แรงกดอากาศที่อยู่ข้างใต้ก็ยังทวีคูณมากขึ้น ทว่าหากมองในมุมมองของหลงเฉิน กลับไม่ได้คุกคามเขาแต่อย่างใด
จากนั้นหลงเฉินก็ได้ซ่อนตัวอยู่ตรงช่องว่างข้างใต้โขดหินบริเวณใจกลางทะเลสาบ และเฝ้าดูอยู่เช่นนั้น เขารวบรวมสมาธิ ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณทำการสำรวจความเคลื่อนไหวของผิวน้ำ แล้วก็ได้พบว่าทะเลสาบเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้เหล่ามัจฉาต้องล้มตายอยู่นับไม่ถ้วน ลอยเกยตามคลื่นขึ้นมาตามผิวน้ำ
ทว่าสิ่งนี้แต่เดิมก็ไม่ได้คุกคามเขาอยู่แล้ว แรงระเบิดยังคงดำเนินต่อไปกว่าหนึ่งชั่วยาม จึงค่อยกลับสู่ความสงบ หรืออาจจะเป็นเพราะสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นได้ล่าถอยจากไปแล้วก็เป็นได้
ทว่าหลงเฉินกลับยังคงทนลำบากลำบนอยู่ข้างใต้ทะเลสาบอยู่อีกหนึ่งวันเต็ม แล้วจึงค่อยแหวกว่ายออกมา ในเวลาที่ใกล้จะถึงผิวน้ำ ก็พบว่าปลาและสัตว์น้ำตายกันเกลื่อนกลาย สัตว์น้ำเหล่านั้นมีอยู่มากมายหลายชนิดที่แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ
บาปกรรมหนอบาปกรรม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่มันก็น่าละอายใจเกินไปแล้ว หากว่าอาหมานอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย
หลงเฉินค่อยๆว่ายเข้าหากลุ่มมัจฉาที่ตายกันเกลื่อน แล้วจึงค่อยโผล่หน้าขึ้นไปมองทั้งสี่ทิศแปดด้าน ทันใดนั้นก็ได้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมากลางอากาศ
“แย่แล้ว”
หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดังก้อง เขาเร่งรีบที่จะมุ่งหน้าหนีออกไปยังอีกด้านของผิวน้ำให้เร็วขึ้น
“ตูม”
คมวายุขนาดใหญ่สายหนึ่ง ระเบิดขึ้นเหนือผิวน้ำ แม้ว่าหลงเฉินจะมีปฏิกิริยาตอบรับมาตั้งแต่แรก แต่ก็ยังคงถูกแรงกดทับดันลงไปอย่างแรงอยู่ดี
ในระหว่างที่ถูกแรงกดทับดันลงไปใต้น้ำลึกลงไปประมาณสิบกว่าจั้ง พร้อมกันนั้นหลงเฉินก็ถูกพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวขุมหนึ่งซัดเข้าใส่ ตลอดทั่วทั้งร่างราวกับถูกค้อนใหญ่ทุบลงมา จนต้องกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันมีพลังสภาวะประหลาดขุมหนึ่งเกิดขึ้นโดยรอบ แล้วพุ่งกระแทกเข้าใส่ศีรษะของหลงเฉิน จนทำให้เขารู้สึกว่าตนเองสลบไสลไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว จนเกือบจะเรียกได้ว่าตายไปได้เลยก็ว่าได้
หลงเฉินแตกตื่นตกใจอย่างรุนแรง กระนั้นก็พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวด กระเสือกกระสน แหวกว่ายลึกลงไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ตู้มตู้ม……”
แรงระเบิดปะทุขึ้นมาติดต่อกัน เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ภายในห้วงสมองของหลงเฉิน จนทำให้ในหูของเขาเกิดเสียงดังหึ่งหึ่งขึ้นมา รู้สึกราวกับหัวสมองกำลังแตกแยกออกจากกันก็มิปาน
“ให้ตายเถอะ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดมัจฉาเหล่านั้นถึงได้ตายเกลื่อนเพียงนั้น นี้มันแย่เกินไปแล้ว”
หลงเฉินดำดิ่งลงไปใต้น้ำอีกครั้ง รู้สึกราวกับวว่าในสมองกำลังจะแยกออกจากเป็นสองส่วน ครั้งนี้ก็ช่างอันตรายมากเกินไปแล้ว ถ้าหากหลงเฉินถูกกระแทกจนสลบไสลไป เกรงว่าคงจะไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงจะย่ำแย่อย่างแน่นอน สัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นคิดจะจัดการข้าให้ได้จริงๆสินะ ถึงกับเฝ้าจับตาดูอยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างไรก็คงไม่ยอมปล่อยให้เขาจากไป หลงเฉินไม่อาจที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีจากไปให้เร็วที่สุด
หลงเฉินมุ่งหน้าดำดิ่งลึกลงไปใต้น้ำ เปลี่ยนทิศทาง แล้วมุ่งหน้าแหวกว่ายไปยังพื้นที่ใกล้กับชายฝั่ง แล้วก็ว่ายเลียบชายฝั่ง เพื่อเลือกชายฝั่งที่ปลอดภัยสำหรับขึ้นฝั่งได้ แล้วดำลงไปยังส่วนที่ลึกลงไปอีกในจุดใกล้ชายฝั่งนั้น ขอเพียงหลงเฉินไม่ขึ้นฝั่งก็จะไม่ปรากฏตัวออกไปให้สัตว์ร้ายแห่งวายุนั้นพบเจอ
หลงเฉินยังไม่กล้าขึ้นฝั่ง เนื่องจาก ถึงแม้ชายฝั่งของทะเลสาบนั้นจะกว้างใหญ่ ยาวไกลนับพันลี้ แต่ว่าในมุมมองของสัตว์ร้ายแห่งวายุ ก็แทบจะเล็กมากไปเลยก็ว่าได้
ด้วยระดับความเร็วที่น่าหวาดกลัวของมัน กับพลังแห่งวายุที่มันครอบครอง ย่อมสามารถที่จะล่องอยู่บนผิวน้ำได้อย่างง่ายดาย ด้วยระยะห่างนับพันลี้ แทบจะไม่ถือเป็นอย่างไรเลยก็ว่าได้
ได้ เช่นนั้นก็คงจะได้แต่ใช้วิธีที่โง่เขลาต่อไปแล้ว !
หลงเฉินแผ่กระจายพลังแห่งจิตวิญญาณออกมา จากนั้นก็ได้มีบันทึกแผ่นทองแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ควบคุมบันทึกแผ่นทองนั้นด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ ให้ตัดแบ่งหินศิลาใต้น้ำ เขาหมายที่จะสร้างถ้ำศิลาขึ้นมาแห่งหนึ่ง เพื่อจะใช้หลบภัยจากสายตาของสัตว์ร้ายแห่งวายุ และหมายจะขุดลึกลงไปให้โผ่ลขึ้นที่ใดที่หนึ่งเพื่อหลบลี้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้
แม้นี่จะเป็นวิธีที่โง่เขลา ทว่าหลงเฉินกลับนึกวิธีที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่อาจที่จะมัวเสียเวลาติดพันกับสตว์วายุตัวนี้ไปได้อีก
สัตว์มายานั้นถือได้ว่ามีชีวิตที่ยาวนานจนน่าตกใจ เวลาในหนึ่งปี ในมุมมองของพวกมัน แทบจะไม่ถือได้ว่าเป็นอย่างไรเลย แต่ว่าหลงเฉินกลับต้องถูกกักตัวเอาไว้อยู่เช่นนี้ก็สูญเสียเวลาไปอย่างยิ่งแล้ว
ตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะไปประลองความอดทนกับมันอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังคงต้องออกไปค้นหาสมบัติและวาสนาอื่น ๆต่อไปอีก เขารู้สึกได้ว่า พลังลี้ลับที่คอยชักนำเขาอยู่ขุมนั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น นั่นก็น่าจะเป็นวาสนาที่เขาสมควรจะไปเสาะหาอย่างแท้จริง
ที่ทำให้หลงเฉินโล่งใจได้ก็คือ บันทึกแผ่นทองเร้นลับเล่มนี้ ไม่ทราบว่าถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุใด แต่ถึงแม้ว่าจะสร้างขึ้นมาจากกระดาษ แต่ก็สามารถที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าควบคุม จนสามารถตัดก้อนดินไปจึงถึงเหล้กกล้าได้ เรียกได้ว่ามีพลังที่คมกล้าจนเป็นที่น่าหวาดกลัว
การใช้บันทึกแผ่นทองในการตัดหินศิลาเหล่านั้นทำได้ง่ายดาย จนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการตัดเต้าหู้ก็มิปาน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ หินศิลาที่มีลักษณะเทียบเท่าภูผา ก็ได้ถูกตัดออกจนกลายเป็นช่องที่มีขนาดพอดีกับคนคนหนึ่งสามารถลอดเข้าไปได้
หลงเฉินนั้น ทางหนึ่งขุดอุโมงค์ ทางหนึ่งก็ทำการขุดหินจากภายใน จนค่อยค่อยลอดออกไปได้
เพราะไม่กล้าที่จะสร้างความเคลื่อนไหวที่มากจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่อาจทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนปรากฎขึ้นบนผิวน้ำได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าทำให้สัตว์ร้ายแห่งวายุรู้ตัวได้
ทว่าที่ทำให้หลงเฉินต้องตกใจระคนยินดีก็คือ เมื่อเขาขุดต่อไปอีกไม่ถึงร้อยจั้ง ก็ขุดพบโครงข่ายของถ้ำสายหนึ่งซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอุโมงค์ของเขาได้
ที่ทำให้หลงเฉินต้องตกใจระคนดีใจมากยิ่งขึ้นก็คือ ภายในถ้ำแห่งนั้นมีอากาศให้สามารถหายใจได้ และถึงกับมีสายลมอ่อนๆพัดผ่านมา เช่นนี้ก็หมายความว่า ภายในถ้ำแห่งนี้ จะต้องมีพื้นที่ที่สามารถออกไปได้นั้นเอง
หลงเฉินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางของสายลม พื้นที่ใต้ดินถือได้ว่ามีความเย็นกว่าสภาพพื้นดินตามปกติ ดังนั้นสายลมโดยส่วนมากแล้วต่างก็เป็นสายลมที่พัดลู่ลงมาด้านล่างนั้นเอง
ท้ายที่สุดเมื่อเดินล่องอยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้กว่าสามชั่วยาม หลงเฉินก็เห็นแสงสว่างอยู่ด้านหน้า เขาเกิดความโล่งใจขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ
เมื่อค่อยๆเดินออกจากถ้ำอย่างระมัดระวัง ก็ได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบข้างอยู่รอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของทะเลสาบแล้ว หลงเฉินจึงกล้าเดินออกไป
หลงเฉินพบว่า ในขณะนี้เขากำลังอยู่บริเวณสันเขาแห่งหนึ่ง วูบหนึ่งก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า จะทำการซ่อนเร้นพลังสภาวะเอาไว้ แล้วซ่อนตัวอยู่บนเขาลูกนี้
ที่แท้แล้ว หลงเฉินไม่ได้เดินจากมาได้ไกลแต่อย่างใด
หลงเฉินที่อยู่บนยอดเขา ก็ยังสามารถมองเห็นทะเลสาบที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าเจ็ดกว่าร้อยลี้ได้ ในเวลาเดียวกันก็ได้พบเห็นบางอย่างกำลังเฝ้าอยู่ที่ด้านข้างทะเลสาบแห่งนั้น และนั่นก็คือสัตว์ร้ายแห่งวายุที่ไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง
หลงเฉินจึงค่อยได้ยกยิ้มออกมา เจ้าหนู เจ้าก็เฝ้าต่อไปเถอะ พี่ชายไปก่อนนะ
ถึงแม้จะทราบว่าในที่แห่งนี้แทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังถึงเพียงนั้น แต่ว่าครั้งนี้หลงเฉินเรียกได้ว่าหวั่นเกรงต่อการไล่ล่าของสัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นไปแล้ว จึงได้ค่อยๆลงจากเขาไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ได้มุ่งหน้าผ่านหุบเขาไปอีกสองลูก แต่เดิมจิตใจที่วิตกกังวลของหลงเฉิน ในที่สุดก็เบาใจขึ้นมาได้แล้ว
หลายวันมานี้ต้องถูกสัตว์ร้ายแห่งวายุไล่ล่า หลงเฉินในตอนนี้จึงรู้สึกปลอดโปร่งเป็นอย่างยิ่ง ตลอดมาจำเป็นที่จะต้องใช้สมาธิและความแน่วแน่มาโดยตลอด กระนั้นแล้วในตอนนี้ถึงแม้จะสามารถหลุดพ้นจากสัตว์ร้ายแห่งวายุมาได้ แต่ก็ยังคงรู้สึกคล้ายกับว่ามีปากขนาดใหญ่คอยไล่ตามอยู่ทางด้านหลังอยู่ และพร้อมที่จะกัดเข้ามาได้ทุกขณะ
การที่ต้องมาถูกสัตว์มายาระดับห้าที่น่าหวาดกลัวไล่ล่านั้น นี้แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรจากฝันร้ายของหลงเฉินเลย ทว่านี่ก็เป็นเพราะหลงเฉินเป็นผู้ที่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น การที่ต้องมาถูกไล่ล่ายาวนานถึงเพียงนี้ ต่อให้ท้ายที่สุดสามารถมีชีวิตรอดมาได้ แต่ก็คงจะไม่อาจต้องพ้นไปจากการที่พลังแห่งจิตวิญญาณต้องแตกซ่านไปได้
หลังจากที่ผ่านหุบเขาไปได้สองลูก หลงเฉินจึงค่อยกล้าที่จะรวบรวมพลังเพื่อวิ่งตะบึงออกไป มุ่งหน้าออกไปห่างไกลหลายหมื่นลี้ ในที่สุดก็วางใจขึ้นมาได้ จนสามารถที่จะเสาะหาสถานที่อำพรางตัวเพื่อพักผ่อน
ภายใต้แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกทั้งร่างกายที่ต้องแบกรับความเหนื่อยล้าที่ยาวนาน หลงเฉินจึงได้เลือกพักผ่อนในถ้ำหุบเขาแห่งหนึ่ง แล้วก็ปล่อยเสี่ยวเส่วยออกมา เพื่อให้มันช่วยคุ้มกันเขา แล้วเอนกายพักพิงบนร่างของเสี่ยวเสว่ยแล้วหลับไป
ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องพักพื้นผ่านการหลับใหล หลงเฉินถึงกับหลับไปถึงสามวันเต็มๆ ในยามที่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณได้ฟื้นกลับคืนมาแล้ว
“เสี่ยวเสว่ย เจ้าเข้ามาภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ แล้วมาช่วยทำการเปลี่ยนแปลงช่องว่างแห่งจิตวิญญาณกับข้าหน่อย”
หลงเฉินจำเป็นต้องทำให้ช่องว่างแห่งจิตวิญญาณเกิดการขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นไปอีก เดิมทีช่องว่างแห่งจิตวิญญาณของเขาที่มีความกว้างพันจั้งนั้น เพียงพอที่จะมีไว้ให้เสี่ยวเสว่ยอยู่แล้ว
แต่ทว่าขณะนี้หลังจากที่ได้เก็บผลึกปราณวายุนั้นเข้ามา ผลึกปราณวายุก็ได้แผ่กระจายพลังวายุที่แข็งแกร่งออกมาภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉิน จนทำให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาไม่หยุด ถึงแม้ชั่วขณะนั้นจะไม้ได้มีอันตรายใด ๆ ทว่าก็ใช่ว่าจะเป็นเฉกเช่นนี้ไปได้ตลอด
ขณะนี้เมื่อได้หลุดรอดออกจากการตามล่าของสัตว์ร้ายแห่งวายุ หลงเฉินจึงหมายที่จะสะสางเรื่องนี้เป็นอย่างแรก ไม่เช่นนั้นก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอยู่ตลอดอย่างแน่นอน
หลังจากที่ได้ให้เสี่ยวเสว่ยกลับคืนสู่ช่องว่างแห่งจิตวิญญาณไปแล้ว หลงเฉินก็ได้เค้นพลังแห่งจิตวิญญาณออกมา แล้วกล่าวต่อเสี่ยวเสว่ยขึ้นมาว่า :
“ตอนนี้ข้าจะทำให้ช่องว่างแห่งจิตวิญญาณขนาดใหญ่ขึ้น โดยข้าก็จะหยิบยืมพลังอันมหาศาลจากผลึกปราณวายุ แล้วทำให้ช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ เกิดการขยายตัวมากขึ้น เสี่ยวเสว่ยเจ้าเองก็ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณช่วยสนับสนุนจากภายในด้วย จะได้ทำให้พลังแห่งวายุทั้งหมดจากผลึกปราณวายุ ถูกกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม”
“โบร๋วโบร๋ว”
หลงเฉินพยักหน้าอย่างดีใจ เสี่ยวเสว่ยยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นแล้ว นี่เป็นสิ่งที่มีแต่เพียงแค่มนุษย์ จึงพอจะสามารถทำความเข้าใจถึงหลักเหตุผลเช่นนี้ได้ ทว่าเสี่ยวเสว่ยก็ยังถึงกับเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที
“เช่นนั้นข้าก็จะเริ่มแล้วนะ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ยังมีข้าอยู่ด้วยทั้งคน”
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง ภายใต้ห้วงความคิดอันกว้างใหญ่ พลังแห่งจิตวิญญาณก็ได้ถูกไหลเวียนขึ้นมา
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังเข้าสู่ห้วงความคิดที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็ได้มีลูกลมขนาดเล็กดั่งฟองอากาศปกคลุมอยู่ไปลูกหนึ่ง ลูกลมนั้นก็คือส่วนช่องว่างแห่งจิตวิญญาณที่เสี่ยวเสว่ยได้อาศัยอยู่นั่นเอง
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์โดยทั่วไป การที่จะทำการขยายช่องว่างแห่งจิตวิญญาณถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ตามปกติแล้วจำเป็นที่จะต้องทำให้ช่องว่างแห่งจิตวิญญาณที่มีอยู่แต่เดิมสลายหายไปก่อน จึงพอที่จะสามารถสร้างช่องว่างแห่งจิตวิญญาณใหม่ขึ้นมาอีกแห่งได้
ทว่าแม้พลังแห่งจิตวิญญาณจะมีความแข็งแกร่งที่มากพอ แต่การที่จะสร้างช่องว่างแห่งจิตวิญญาณออกมา ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องใช้เวลาเนิ่นนาน แต่ทว่าหากต้องการให้เกิดการขยายตัวขึ้น กลับเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาที่เนิ่นนานยิ่งกว่าเป็นเท่าทวี แต่ทว่าหลงเฉินกลับหาได้มีเวลาที่มากพอเพียงนั้นไม่
ดังนั้นสิ่งที่หลงเฉินต้องกระทำก็คือ ค่อยๆทำการขยายช่องว่างแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้การป้องกันเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แล้วหยิบยืมพลังอันมหาศาลจากผลึกปราณวายุ มาใช้คล้ายกับการเป่าฟองอากาศ ทำให้ช่องว่างแห่งจิตวิญญาณที่มีอยู่แต่เดิมเกิดการขยายตัวขึ้น
ทว่าการทำเช่นนี้ ยังมีข้อควรระวังอยู่สองอย่าง ข้อแรกนั้นก็คือจำเป็นที่จะต้องมีพลังที่สม่ำเสมอที่จะเป่าเข้าไปในฟองอากาศช่องว่างแห่งจิตวิญญาณนั้น ในส่วนอีกข้อก็คือ ผู้ที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณกระทำการเช่นนั้นได้จะต้องมีพลังในขั้นสุดยอด ไม่เช่นนั้นก็คงจะต้องพบกับแรงระเบิดที่สะท้อนกลับมา ทว่านี่หากมองในมุมมองของหลงเฉินและเสี่ยวเสว่ยแล้ว ต่างก็ถือได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากแต่อย่างใด
สามวันให้หลัง หลงเฉินก็พบว่าเขากำลังมองเข้าไปที่ภายในห้วงจิตสำนึก ที่ในตอนนี้มีความกว้างของช่องว่างแห่งจิตวิญญาณเกือบหมื่นจั้งแล้ว และหากมองในมุมของเสี่ยวเสว่ยกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก การควบคุมของเสี่ยวเสว่ย เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่ต้องหวาดหวั่นต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นในการขยายช่องว่างแห่งจิตวิญญาณนั้นเลยอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้ทำการตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ถอดหน้ากากแป๊ะยิ้มออก เผยให้เห็นใบหน้าของตนเองขึ้น เนื่องจากขณะนี้เขาจำเป็นที่จะต้องใช้สายตาที่แท้จริงแล้ว
ถึงแม้การกระทำเช่นนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องที่จะต้องถูกผู้คนนับไม่ถ้วนคอยตามล่า ทว่าเขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หลังจากนี้จะไม่ให้เกิดเรื่องเฉกเช่นนี้ขึ้นมาอีก หากคิดที่จะฆ่าข้าหลงเฉิน ก็ดาหน้ากันเข้ามาเถอะ เขาพร้อมที่จะรับมืออยู่เสมอ
เมื่อได้เปิดแผนที่ออกดู หลงเฉินก็พบว่า ในที่ที่ไม่ห่างไกลออกไปจากที่แห่งนี้ เป็นป่าพงไพรผืนใหญ่ ที่เหนือป่าพงไพรนั้น มีเครื่องหมายสีแดงสดซึ่งเป็นเครื่องหมายแจ้งเตือนแจ้งเขียนเอาไว้ว่า
“พงไพรแห่งความมืด”
บนใบหน้าหลงเฉินก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น เมื่อมีสถานที่ที่เป็นป่าอยู่ ย่อมต้องมีวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ นานา อย่างแน่นอน สถานที่เช่นนี้อย่างไรก็ย่อมไม่อาจที่จะปล่อยไปได้
หลงเฉินมุ่งหน้าเดินไปในทิศทางที่นำไปสู่พงไพรแห่งความมืด หลังจากเดินออกมาไกลหลายร้อยลี้ พื้นที่ข้างทางบริเวณโดยรอบ และทางด้านหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนไป ปรากฏเป็นพืชพันธุ์นานาชนิดงอกเงยขึ้นมา
ทันใดนั้น หลงเฉินก็ได้ตั้งสมาธิกระตุ้นพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้น พื้นที่ว่างทางด้านหน้าก็ปรากฎเป็นเงาร่างสามสาย บนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏอาการตกใจระคนดีใจขึ้นมา
“ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน แต่ยามได้มากลับง่ายดายเพียงชั่วลมหายใจ เหอะเหอะ ! ”
.
.