“เจ้ารู้จักฟ่งเซียวจื่อด้วยอย่างงั้นหรือ ? ” ลู่ฟางเอ๋อตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ใช่แล้ว เพราะได้สืบข่าวมานั้นแหล่ะ” หลงเฉินตอบกลับไป
“ผู้ใดเป็นคนให้ข้อมูลแก่เจ้ากัน ? ”
“ศิษย์พี่ฉี” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว
“เจ้าพบกับเขาอย่างงั้นหรือ ? อา ! ข้าเข้าใจแล้ว คงจะไม่ใช่ว่าเจ้าได้ฆ่าเขาไปแล้วหรอกนะ ? ” ลู่ฟางเอ๋อถามขึ้น
หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าว “ข้าเป็นคนที่มากน้ำใจถึงเพียงนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะฆ่าคนโดยไร้เหตุลผล ไม่ว่าจะอย่างไรเขากับฟางเอ๋อเจี่ยเจียก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน มีหรือที่ข้าจะลงไม้ลงมือหนักได้”
เขาที่ไม่เพียงแต่ไม่ลงมือหนัก ทั้งยังมอบประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนให้อีกด้วย เหอะๆ สองบุรุษที่ต้องเปลือยกายต่อกัน ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ไม่น่าสะทกสะท้านอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หากทั้งสองคนที่ถูกกักตัวอยู่ในช่องที่ปิดอยู่อย่างมิดชิด จะทำให้เกิดบทเพลงเพลิงรักขึ้นมา เช่นนั้นก็คงจะน่าสนใจขึ้นมาไม่น้อย
ทว่าหลงเฉินก็ได้ทำการตัดเอ็นแขนเอ็นขาของพวกเขาไปแล้วเช่นกัน เนื่องจากใช้พลังฝีมือที่พิสดาร จึงยังไม่มียาโอสถใดช่วยเหลือได้ หากพวกเขาคิดจะฟื้นฟูพลังกลับมาก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน
หลงเฉินยังได้ให้พวกเขาทานโอสถพิเศษไป หากเพียงพวกเขาเอ่ยปากกล่าววาจาก็จะทำให้เกิดแรงสั่นไหวของเสียงกระแทกภายในร่างจนทำให้เลือดลมของพวกเขาเกิดความปั่นป่วน และไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็จะต้องระเบิดกลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเหลวทันที
เรียกได้ว่าหลงเฉินเคยรู้จักกับพวกเขามาก่อน พวกเขาที่เป็นถึงยอดฝีมือย่อมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างได้แน่นอน จึงไม่กล้าจะตะโกนเสียงดังเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนที่ผ่านไปผ่านมา ทำได้ก็แค่เพียงอยู่ด้านล่างของหลุมอย่างเงียบๆเท่านั้น
เมื่อหลงเฉินได้สะสางเรื่องทางนี้เสร็จแล้ว ก็จะย้อนกลับไปจัดการกับพวกเขาอีกรอบ เพราะความผิดที่เกิดจากการเอาชีวิตของทั้งสองคนถือได้ว่าน่ากลัวจนเกินไป
“ช่างน่าเสียดายเสียจริง เหตุใดเจ้าถึงไม่สังหารเด็กน้อยที่น่าชิงชังผู้นั้นไปเสีย แค่นึกถึงเขาก็อยากที่จะสำรอกออกมาแล้ว” ลู่ฟางเอ๋อเองกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“เขากับลู่ฟางเจียมีความแค้นกันอย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย
“ยังมิถือว่าเป็นความแค้น ยังไงเสียฟ่งเซียวจื่อก็ถือได้ว่าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์อยู่บ้าง ที่ผ่านมานี้จึงทำได้แต่เพียงคอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของข้ากับม่งฉีเท่านั้น
หลงเฉิน ที่ม่งฉีออกตามหาเจ้าเพื่อถอนหมั้น ความจริงแล้วม่งฉีต้องแสร้งทำเป็นไม่พอใจต่อคำสั่งของบิดามารดามาโดยตลอด นั่นเป็นเพราะนางต้องการที่จะช่วยเหลือตระกูลหลงของเจ้า” ลู่ฟ่งเอ๋อก็ได้ถอนหายใจออกมา
“นับตั้งแต่ที่ม่งฉีได้เข้าสู่หมู่ตึกจิตวายุ ท่านจ้าวหมู่ตึกก็ให้ความสำคัญต่อนางอย่างยิ่ง ทั้งยังรับเป็นศิษย์สายตรงทุ่มเทแรงกายแรงใจเลี้ยงดูมาโดยตลอด
และบุตรชายคนเล็กสุดของท่านจ้าวหมู่ตึก ก็คือฟ่งเซียวจื่อ ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์จนยากที่จะพบเจอ ทั้งยังมีเส้นรากปราณในระดับพสุธา หากเทียบกับม่งฉีก็ถือได้ว่าสูงส่งกว่าถึงเท่าตัว”
หลงเฉินทราบดีเรื่องเส้นรากวิญญาณนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำนักต้องการ หากเป็นไปตามห้วงความทรงจำ เส้นรากวิญญาณระดับพสุธาถือได้ว่าเป็นดั่งพลังวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์สูงเป็นอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนรากฐานที่มั่นคงอีกด้วย
ในขณะที่หลงเฉินอยู่ที่จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์หวินฉีเองก็เคยทำการทดสอบหลงเฉินมาก่อน แม้หลงเฉินจะพยายามซ่อนเร้นเอาไว้ แต่ปรมาจารย์หวินฉีก็ยังสามารถวัดขึ้นมาได้
หากกล่าวกันตามรูปการณ์จิตวิญญาณของหลงเฉินจัดอยู่ในระดับใดนั้น แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังไม่อาจจะทราบได้ อีกทั้งยังมิได้ทำการทดสอบอย่างจริงๆจังๆมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ลู่ฟางเอ๋อกล่าวต่อ “ดังนั้น ฟ่งเซียวจื่อและม่งฉี ถือได้ว่าเป็นดั่งสองสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งหมู่ตึก จนกลายเป็นคู่สร้างคู่สมที่หมู่ตึกจิตวายุทุ่มเททุกอย่างเพื่อบ่มเพาะสร้างขึ้นมานั้นเอง
มีอยู่วันหนึ่งหลังจากท่านจ้าวหมู่ตึกได้ร่ำสุราเสร็จก็กล่าวต่อม่งฉีเอาไว้ว่า เขาคาดหวังเอาไว้ว่าหลังจากที่ม่งฉีก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าไปแล้ว จะจัดงานสมรสกับฟ่งเซียวจื่อในทันที
ในเวลานั้นม่งฉีได้แต่ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา พร้อมกับกล่าวว่าตนเองนั้นหาได้ต้องการคู่ครองไม่ จึงได้ทำให้ท่านจ้าวหมู่ตึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นครั้งแรกที่ม่งฉีปฏิเสธความต้องการของผู้เป็นอาจารย์อีกด้วย
ถึงแม้ท่านจ้าวหมู่ตึกจะมิได้แสดงออกมา ทว่าม่งฉีเองก็พอที่จะรู้สึกขึ้นมาได้ ภายหลังฟ่งเซียวจื่อได้เข้ามาขอพบอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังคงถูกม่งฉีปฏิเสธมาโดยตลอด
เมื่อถูกรุมเร้ามากเข้า ม่งฉีเองจึงกล่าวว่าตนเองนั้นมีคู่หมั่นคู่หมายอยู่แล้ว เพื่อหวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายยอมถอยกลับไปได้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ฟ่งเซียวจื่อจะไม่ยอมถอย ทั้งยังลอบส่งคนไปยังบ้านม่งฉี เพื่อทำการสืบหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ม่งฉีแอบได้ยินมาว่ามีคนมาขอค่าตอบแทนกับฟ่งเซียวจื่อ ที่ได้ทำการติดตามหลงเฉินที่เมืองจักรวรรดิมาโดยตลอด ฟ่งเซียวจื่อถึงกับทำเรื่องเช่นนี้รวมไปจนถึงคิดจะขุดรากถอนโคนตระกูลหลงไปพร้อมกัน เพื่อจะได้ทำให้ม่งฉีไม่อาจปฏิเสธความต้องการของเขาได้อีก”
“ตัวบัดซบ หาที่ตาย”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้หลงเฉินก็แทบอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว แววตาทั้งคู่ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาอย่างรุนแรง จนทำให้บรรยากาศรอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกขึ้นมาราวกับได้เข้าสู่เหมันต์ฤดู
ลู่ฟางเอ๋อถอนหายใจแล้วกล่าว “ในส่วนที่เป็นจุดเริ่มต้นนั้นข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ แต่ภายหลังที่มาถึงยังจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงข้ายังได้รับคำขอร้องจากม่งฉี เพื่อสืบเรื่องราวต้นสายปลายเหตุว่าเป็นอย่างไร
นางกล่าวไว้ว่า นางรู้สึกผิดต่อเจ้าเป็นอย่างยิ่งว่าตัวนางได้ทำร้ายเจ้าอย่างแสนสาหัส แต่นางก็ไม่สามารถที่จะอธิบายความลำบากในใจออกมาได้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการทำร้ายตระกูลหลงของพวกเจ้าทั้งตระกูล
ในครั้งที่เจ้าหยิบหนังสือหมั้นออกมาอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังไม่โทษนาง แต่ในทางกลับกันยังคอยปลอบโยนและเห็นใจ ทำให้หลังจากม่งฉีกลับไปก็ได้แอบร่ำไห้อยู่หลายครั้งหลายคราเลยทีเดียว
ภายหลังที่เจ้าให้ข้านำยาโอสถเม็ดนั้นไปมอบให้แก่ม่งฉี นางไม่เกิดความสงสัยเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังใช้โอสถเม็ดนั้นในทันทีอีกด้วย
ข้าเองก็ถามนางว่าเหตุใดถึงมิทำการตรวจสอบยาโอสถให้แน่ชัดก่อน ใช้ไปในทันทีเช่นนี้ไม่กลัวที่จะเกิดผลเสียขึ้นหรืออย่างไร แล้วนางก็ตอบข้ากลับมาว่า เพราะนางนั้นเชื่อมั่นในตัวเจ้าอยู่แล้ว”
เวลานี้ภายในจิตใจของหลงเฉินได้เกิดความละอายใจขึ้นมา แม้แต่จะฝันเขาก็ยังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ว่าเรื่องที่ม่งฉีขอถอนหมั่นนั้นจะเกี่ยวโยงกับเรื่องที่สลับซับซ้อนได้ถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้เขาได้ตกอยู่ในความหลงใหลในความงามของม่งฉี เปรียบดั่งคะนึงหาและหลงใหลในเทพสวรรค์ก็มิปาน จนก่อเกิดเป็นความรักที่บริสุทธิ์ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่หลงเฉินกลับลืมไปว่า ต่อให้อิสตรีที่งดงามยิ่งกว่านี้ ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการปกป้องอยู่ดี
เมื่อทราบว่าม่งฉีได้ทำสิ่งต่างๆเพื่อเขาอยู่มากมาย จิตใจของหลงเฉินก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเวทนาและความรับผิดชอบขึ้นมา เมื่อเทียบกับม่งฉีแล้ว ตัวเขาเองถือได้ว่าเห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว
“ความจริงที่ข้าเล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะข้าเองทราบดีว่าเจ้าก็ทำเพื่อม่งฉี ทั้งยังสามารถจะมอบทุกสิ่งของตนเองให้นางได้อีกด้วย
ข้าเพียงแค่ต้องการจะบอกเจ้าว่า ความจริงแล้วม่งฉีเป็นคนที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งหมู่ตึกจิตวายุ ไม่มีคนที่นางจะพึ่งพาได้เลยแม้แต่คนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้มาจากความสามารถทั้งสิ้น เรื่องเหล่านี้จึงได้กลายเป็นเรื่องที่น่าอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
มีแต่ข้าเท่านั้นที่ทราบได้ถึงความอึดอัดใจของนางเป็นอย่างดี แต่ข้าเองก็ไม่ได้มีกำลังมากพอที่จะไปช่วยเหลือนางได้ และความจริงแล้วม่งฉีเองก็ได้ตกหลุมรักเจ้าไปแล้วเช่นกัน
ข้าได้ทำการทดสอบอยู่หลายครั้ง ทั้งยังได้เห็นนางแอบเปิดภาพเหมือนในยามที่เจ้าอยู่ที่จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงอยู่หลายครา บางครั้งก็หัวเราะบางครั้งก็ร้องไห้
แม้จะไม่ทราบว่าระหว่างที่พวกเจ้าอยู่ร่วมกันได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าข้าก็ทราบได้ว่าภายในจิตใจของม่งฉีนั้นก็ยังมีภาพของเจ้าอยู่
แต่ว่าภาพนี้กลับมีแต่จะยิ่งสร้างความลำบากให้แก่ม่งฉี ยังทำให้นางเกิดความลังเลและไร้หนทางเยียวยา แม้ว่านางจะชื่นชอบเจ้าแต่ก็ไม่อาจจะเปิดใจรับเจ้าได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่ฟางเอ๋อก็อดไม่ได้ต้องปลดปล่อยความอัดอั้นที่แบกรับเอาไว้จนหลั่งออกมาเป็นน้ำตา
“ขอบใจเจ้ามาก ลู่ฟางเจีย ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ข้าเชื่อว่าข้าจะต้องคลี่คลายสถานการณ์ของม่งฉีได้อย่างแน่นอน ข้าขอสาบานว่าข้าจะทำให้ม่งฉีมีอิสระได้อย่างแน่นอน จะไม่ให้สตรีของข้าต้องมาทนกับการบีบบังคับอีกต่อไปแล้ว” หลงเฉินกล่าวคำสัตย์สาบานออกมาด้วยความเชื่อมั่น
ลู่ฟางเอ๋อก็ได้ปาดน้ำตา พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “เดิมทีแล้วเรื่องเหล่านี้ข้าเองก็หาได้คิดที่จะกล่าวกับเจ้าไม่ แต่ว่าวันนี้เมื่อพบเห็นพลังในตัวของเจ้า กับพัฒนาการที่รวดเร็วของเจ้า จึงทำให้ข้ามองเห็นความหวังบนโลกใบนี้ อาจจะมีแค่เพียงเจ้าเท่านั้นที่เหมาะสมจะให้ม่งฉีฝากชีวิตไว้ได้
หรือไม่นี่ก็คงจะเป็นลิขิตของสวรรค์ ที่ม่งฉีออกตามหาเจ้าเพื่อถอนหมั้น แต่เจ้ากลับไม่จงเกลียดจงชังนางเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปลอบโยนนาง ไม่ว่าจะเป็นไอ้หน้าโง่คนไหนก็คงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ถือว่าข้าเสียเปรียบเองก็แล้วกัน” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความขมขื่น
ลู่ฟางเอ๋อกลับยิ้มแย้มพร้อมกับกล่าว “กลับเป็นเจ้าสิที่ได้กำไร หากมิเช่นนั้นเจ้าจะสามารถกลายเป็นภาพฝังใจในจิตใจของม่งฉีได้อย่างงั้นหรือ ?
ท่ามกลางหมู่ตึกจิตวายุ แม้ว่าม่งฉีจะถูกเรียกขานว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์หญิง แต่ว่าก็ทำให้เกิดเป็นสถานการณ์ด้านลบขึ้นมาภายในจิตใจ มนุษย์ต่างก็มีความเห็นแก่ตัวกัน แต่เจ้าถือได้ว่าเป็นคนแรกที่นางเห็นว่าเป็นคนมากด้วยน้ำใจ หากว่าเป็นข้าก็คงจะต้องตื้นตันในตัวเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน”
แม้ว่าหลงเฉินจะพยายามควบคุมสีหน้าของตนเองอย่างถึงที่สุด แต่ใบหน้าก็ยังร้อนผ่าวขึ้นมาจนรู้สึกได้ว่าสามารถที่จะทอดไข่ให้สุกได้เลย
เห็นๆกันอยู่ว่านางนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่งจนไม่สามารถที่จะหมายปองได้ แต่กลายเป็นว่าตนเองต้องแสร้งแสดงละครที่น่าเจ็บปวดโดยเขาเป็นคนวางเนื้อเรื่องและแสดงออกมา จนทำให้ลู่ฟางเอ๋อตื้นตันขึ้นมา หลงเฉินอดคิดไม่ได้ว่าทำไมจิตใจของเขาจึงช่างสกปรกได้ถึงเพียงนี้กัน
นี่เป็นเชื้อที่ติดมาจากเจ้าหนูกัวเหรินหรืออย่างไร? ทว่าในบางครั้งยังคล้ายว่าไม่รู้จักกัวเหรินดีพอมิใช่หรือ ? แท้จริงแล้วนี่เป็นการติดเชื้อผ่านอากาศด้วยหรืออย่างไร ?
“หลงเฉินข้าทราบว่าเรื่องเช่นนี้จะทำให้เจ้าต้องแบกรับแรงกดดันมาก แต่ว่าม่งฉีเองก็น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยนางได้” ลู่ฟางเอ๋อจับไปที่แขนของหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยออกมา
“ข้าหลงเฉินแม้ชีวิตนี้จะหาไม่ ก็ต้องช่วยม่งฉีให้จงได้ สตรีของข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมารังแกได้โดยเด็ดขาด” หลงเฉินกำหมัดจนแน่นพร้อมกับกล่าวออกมา
แม้ว่าวาจาจะกระด้างอยู่บ้าง ก็ถือได้ว่ามีความนัยซ่อนเอาไว้อยู่ แต่เมื่อเข้าหูลู่ฟางเอ๋อกลับกลายเป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่มีค่าที่สุด ทั้งยังทำให้รู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าหนูฟ่ง(疯)อะไรนั้น แข็งแกร่งมากเลยอย่างงั้นหรือ ? แล้วจะบ้าขึ้นมาหรือเปล่า จะเที่ยวไปกัดชาวบ้านหรือไม่ ? ” หลงเฉินก็ได้ถามขึ้น เขาเองก็อยากทราบว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งในระดับใดเช่นกัน
*ฟ่งในที่นี้หมายถึง บ้า แต่ในชื่อ ฟ่งแต่เดิมนั้นแปลว่า สายลม วายุ
“เจ้าหนูฟ่ง ? ”
เมื่อลู่ฟางเอ๋อได้ยินก็ได้หัวเราะขึ้นมา พร้อมทั้งค้อนหลงเฉิน “เจ้าก็ช่างขยันตั้งชื่อให้จังนะ ถ้าหากเขาได้ยินเข้าจะต้องโกรธจนบ้าขึ้นมาแน่นอน”
หลังจากที่หัวเราะไปแล้ว ลู่ฟางเอ๋อก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความจริงจัง “ฟ่งเซียวจื่อผู้นี้เป็นถึงบุตรชายของท่านจ้าวหมู่ตึก ทั้งยังมีพลังการฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่เก้า อีกทั้งยังมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่กว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร เรียกได้ว่าสามารถเบิกช่องว่างแห่งจิตวิญญาณได้ทุกแห่ง ทั้งยังมีสัตว์มายาระดับสี่ที่แข็งแกร่งถึงหกตนเลยทีเดียว
ในเวลาเดียวกันตัวเขาเองก็กระจ่างแจ้งด้านพลังจิตวิญญาณอยู่แล้ว แม้จะเป็นบุตรชายของจ้าวหมู่ตึก ทว่าในด้านการฝึกปรือของเขา เมื่อเทียบกับบุคคลอื่นก็ถือได้ว่าโดดเด่นกว่าเป็นอย่างมาก ในระดับพลังเดียวกันก็ยังมิเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้มาก่อน
ในเวลาที่ได้เข้าสู่แดนลับช่วงต้น แม้ว่าจะเคยศึกษาพลังฝีมือของหานเทียนเฟิงน้องชายของสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งหมู่ตึกพลิกสวรรค์อย่างหานเทียนหวู่มาก่อน ทว่าทั้งสองคนต่างก็ยังเก็บงำพลังเอาไว้อยู่ ท้ายที่สุดจึงจบลงด้วยการเสมอกัน
กล่าวกันว่า ฟ่งเซียวจื่อในเวลานั้นได้ตกเป็นเบี้ยล่างของหานเทียนเฟิง แต่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของอีกฝ่ายจึงได้ยั้งมือเอาไว้
โดยรวมแม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่ก็ยังมีอีกข้อที่สามารถแน่ใจได้ ฟ่งเซียวจื่อกับหานเทียนเฟิงต่างก็มิได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา แต่นั่นก็ถือเป็นพลังทำลายที่น่าหวาดกลัว ทั้งยังสามารถที่จะทำใหสุดยอดฝีมือมากมายต้องรู้สึกหายใจลำบากเลยทีเดียว
หลงเฉินเจ้าหากคิดที่จะไล่ตามม่งฉี จะต้องมีสักวันที่ต้องปะทะกับฟ่งเซียวจื่ออย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้หลงระเริงไปเป็นอันขาด เขาเป็นคนที่น่ากลัวมากเลยนะ”
หลงเฉินพยักหน้าไปมา การที่มีความสามารถสู้กับหานเทียนเฟิงได้เสมอ ก็บอกได้แล้วว่าเจ้าหนูฟ่งนั้นต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะพลังฝีมือของหานเทียนเฟิงที่ได้ใช้สู้กับสัตว์ร้ายแห่งวายุในวันนั้นทำให้หลงเฉินตกใจไม่น้อย
ขอเพียงมีความคล้ายคลึงกับหานเทียนเฟิงแล้วละก็ หลงเฉินย่อมหาได้เกรงกลัวเขาไม่ ขอเพียงมิใช่ยอดฝีมือระดับเดียวกันกับหานเทียนหวู่หรือว่าหยินหลอ ก็ย่อมไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
เพราะบนร่างกายของหานเทียนเฟิง หลงเฉินมิได้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันดุจดั่งภูผากดทับเข้ามาไม่
ถึงแม้ขณะนี้จะเลื่อนระดับพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้ว หลงเฉินย่อมต้องเป็นหนึ่งในช่วงระดับพลังเดียวกัน ยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของบุคคลระดับหยินหลอและหานเทียนหวู่อยู่ดี
อีกทั้งหยินหลอยังสามารถที่จะใช้พลังแห่งขั้นก่อฟ้าได้อีกด้วย ถือได้ว่าเป็นพลังอันมหาศาลที่มีไว้ทำลายล้างเลยก็ว่าได้ แทบมิใช่สิ่งที่ผู้คนปกติจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้เลย
และหานเทียนหวู่เองที่สามารถมีชื่อเสียงเทียบเคียงกับหยินหลอได้ ย่อมต้องมีพลังฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน แม้จะไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรแต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าหยินหลออย่างแน่นอน
ตอนนี้ที่หลงเฉินหวาดกลัวมากที่สุดก็คือต้องมาเผชิญหน้ากับพลังก่อฟ้าของหยินหลอ นั่นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะต่อกรได้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะหยินหลอมีพลังการฝึกปรือที่ลึกล้ำ ทั้งยังเคยพลาดท่าเสียทีให้กับเขามาก่อนอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ในหมู่ยอดฝีมือที่พบพานมาทั้งหมด นอกจากสองคนนี้แล้ว หลงเฉินต่างก็สามารถจัดการได้มาโดยตลอด
“ใช่แล้ว เมื่อหลายวันก่อน ข้าได้พบเจอกับการต่อสู้ที่น่าตกใจมาด้วย” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน