“สงครามสะเทือนพิภพ?” หลงเฉินถึงกับสนใจขึ้นมา
ลู่ฟางเอ๋อพยักหน้า “จริงๆแล้วเป็นเรื่องของเมื่อสามวันก่อน ที่ป่าดิบทึบนอกหุบเขา ยอดฝีมือหานเทียนหวู่แห่งสำนักพลิกสวรรค์ของพวกเจ้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ในสมรภูมิรบครั้งนั้นถึงกับสะเทือนฟ้าดิน”
แม้จะผ่านไปแล้วสามวัน แต่เมื่อลู่ฟางเอ๋อได้เอ่ยถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด ก็ได้แสดงสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“หานเทียนหวู่ต่อกรกับใคร? ใช่หยินหลอหรือไม่? “ หลงเฉินประหลาดใจ
ลู่ฟังเอ๋อส่ายหน้า “คนผู้นั้นไม่ใช่หยินหลอ แต่เป็นชายใส่เสื้อคลุม หน้าตาหล่อเหลา คางกลมเล็กน้อย รู้สึกจะชื่อว่า…..”
“ม่อเนี่ยนหรือ” หลงเฉินโพล่งออกมา
“ใช่ๆ เขาเรียกตัวเองว่าม่อเนี่ยน เป็นชื่อที่ประหลาดมาก เอ… เจ้ารู้ หรือว่าเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย?” ลู่ฟางเอ๋อสงสัย
“ข้าไม่ได้อยู่หรอก เจ้าบอกลักษณะการแต่งกาย และคนที่สามารถต่อสู้กับหานเทียนหวู่ได้ คงจะมีแต่เจ้าหนุ่มนั่นเท่านั้น” หลงเฉินกล่าว
แต่หลงเฉินก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แม้ว่าม่อเนี่ยนจะชอบการประลองฝีมือ แต่ทำไมจึงมาต่อสู้กับหานเทียนหวู่ในดินแดนลัพนพเก้าที่มีอันตรายรอบด้าน
“พวกเขาต่อสู้กันได้อย่างไร?” หลงเฉินถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ แต่ว่าเจ้าม่อเนี่ยนนั่น เอาแต่สบถด่าหานเทียนหวู่ว่างี่เง่า บอกว่าเขาไม่เคยใส่หน้ากาก และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องใส่หน้ากาก น่าขายหน้าที่มองเล่ห์กลของคนที่จะมาทำร้ายน้องชายไม่เอาไหนของเขาไม่ออก ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่” ลู่ฟางเอ๋อเล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ในสายตาของนาง คนประเภทหานเทียนหวู่ที่ทำตัวดูสูงส่ง มองตัวเองอยู่ในระดับดีเลิศ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ว่าคนระดับนั้นที่เย่อหยิ่งเทียมฟ้า เมื่อถูกสบถด่าจนต้องสูญเสียตัวตน คงทำให้เขารู้สึกแปลกพิลึก
“หน้ากากหรือ” หลงเฉินยังคงงงงวย ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้
คงจะไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นนะหลงเฉินคำนวณเวลา ในหุบเขาเมฆหมอก เขาได้สวมหน้ากากเด็กหัวโต และยังเกือบจะทำให้หานเทียนเฟิงตายอีกด้วย
จนในที่สุดในวินาทีวิกฤติ เขาก็ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายเอาชีวิตรอดไปได้ หลังจากวันนั้นหลงเฉินก็ไม่เคยใช้ใบหน้าที่แท้จริงพบปะผู้คน และยังใส่หน้ากากมาโดยตลอด
ในระหว่างทางที่เขาหนีเอาตัวรอดจากสัตว์วายุ เขาจำได้ว่าต่อหน้ายอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้หนึ่ง เขาได้เอ่ยชื่อม่อเนี่ยนขึ้นมา จนมาถึงตอนนี้เมื่อได้ยินลู่ฟางเอ๋อพูดเรื่องนี้ จึงเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวขึ้นมาได้ทันที
ต้องมีคนจำเรื่องที่เขาประกาศชื่อของตัวเอง และไม่รู้ว่าหานเทียนเฟิงมีญาณวิเศษอะไรถึงคิดว่าคนที่ใส่หน้ากากก็คือม่อเนี่ยน
คาดว่าคำสั่งจับม่อเนี่ยนได้ถูกถ่ายทอดออกไป จนข่าวนี้ไปเข้าหูของหานเทียนหวู่พอดี ระดับหานเทียนเฟิงย่อมต้องมีความสนใจต่อคนระดับเดียวกันกับตัวเองเป็นอย่างมาก และคงจะเคยได้ยินชื่อม่อเนี่ยนมาก่อนแล้ว
ด้วยลักษณะนิสัยชอบเด่นดังของม่อเนี่ยน ที่ไม่เคยปกปิดเส้นทางการเดินทางของตนเอง และด้วยความที่มีหูตากว้างไกลเป็นที่หนึ่งของสำนัก และวิธีการเสาะหาร่องรอยที่ไม่ธรรมดา การจะหาม่อเนี่ยนให้เจอก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เมื่อนึกถึงตรงนี้หลงเฉินกลับทำสีหน้าประหลาด เขาคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ว่าม่อเนี่ยนกำลังตกเป็นแพะรับบาป
“เจ้ารู้จักกับม่อเนี่ยนรึ?” ลู่ฟางเอ๋อถาม
“ใช่ รู้จัก เรียกว่าเป็นสหายเลยล่ะ” หลงเฉินพยักหน้ากล่าว
ม่อเนี่ยนเคยได้รับของขวัญจากหลงเฉิน น่องชิ้นโตนั้นมันเป็นหนี้น้ำใจที่มากมาย หากในวันหน้าม่อเนี่ยนรู้เข้า คงจะไม่โกรธเขาหรอกนะ?
“หลงเฉินข้าชักจะไม่เข้าใจเจ้าแล้ว ไปคบคนประเภทนั้นเป็นสหายได้อย่างไร” ลู่ฟางเอ๋อถามขึ้นด้วยความชื่นชม
“สิ่งของยังแบ่งหมวดหมู่ คนก็อยู่กันเป็นกลุ่ม ยิ่งถ้าเป็นคนที่ยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ สหายข้างกายก็จะยิ่งน้อยลง เพราะหากต้องการเป็นสหายของพวกเขา ก็จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งที่คู่ควรกับเขา
อาชาไม่วิ่งในลู่เดียวกันกับแพะ หงส์ไม่บินฝูงเดียวกับนกนางแอ่นและนกกระจอก คนที่อยู่คนละระดับกันจึงไม่อาจเป็นสหายกันได้”
เมื่อหลงเฉินกล่าวเช่นนี้นางก็ประจักษ์แล้วว่า ม่อเนี่ยนได้เห็นความสำคัญบางอย่างในตัวหลงเฉิน ถึงแม้หลงเฉินจะเทียบกับม่อเนี่ยนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก
“จริงสิ ผลลัพธ์เป็นเช่นไร? ใครชนะ?” หลงเฉินสนใจผลการต่อสู้
หลังจากการประลองฝีมือระหว่างม่อเนี่ยนกับหยินหลอเมื่อคราวก่อน จนบัดนี้ไม่รู้ว่าฝีมือของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ทั้งสองคนต่อสู้กัน พลังสะท้านฟ้าในรัศมีไกลร้อยลี้ ผืนพิภพพังทลาย ขุนเขาสูงใหญ่ราบเป็นหน้ากอง เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุด”
“แต่ว่าทั้งสองคนก็ไม่ได้สู้กันอย่างสุดกำลัง ข้าเดาว่าพวกเขาแค่ลองเชิงกันและกัน หานเทียนหวู่น่าจะจงใจหาข้ออ้างเพื่อหยั่งเชิงดูวิทยายุทธของม่อเนี่ยน”
หลังจากทั้งสองประลองกันได้สักครึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีใครแพ้ใคร ต่างก็มีความเกรงไม่อยากต่อสู้ด้วยพลังที่แท้จริง
หานเทียนหวู่ยังกล่าวว่าจะกลับมาคิดบัญชีกับม่อเนี่ยนอีกครั้ง ม่อเนี่ยนก็โกรธด่าทอหานเทียนหวู่ว่าอุตส่าไว้หน้าแล้วยังไม่ยอมเลิกรา พูดแล้วไม่ยอมก็ต้องเจอของจริง
หานเทียนหวู่ที่ถูกยั่วยุจนไฟโทสะลุกโชนขึ้น แต่ก็ยังคงข่มใจเอาไว้ ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดโอ้อวดอีกไม่กี่คำก็จากไป
หลังจากหานเทียนหวู่จากไป ม่อเนี่ยนก็ด่าพึมพำแล้วจากไปเช่นกัน โดยกล่าวว่าซวยอะไรเช่นนี้ที่ต้องมาเจอเจ้าโรคจิต จนรู้สึกน่าขัน !
ลู่ฟางเอ๋อยิ้มและยกมือปิดปากของนางเบาๆ คนเย่อหยิ่งและสง่างามเช่นนี้ มาสบถด่าผู้อื่นช่างน่าขันจริงๆ
แต่หลงเฉินกลับยิ้มไม่ออก หากม่อเนี่ยนรู้ว่าตนแอบพูดอะไรไว้ หลงเฉินก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะโกรธจนถึงขั้นแตกคอกันหรือไม่
หลงเฉินเองก็ไม่ได้กลัวเขา หากจะแตกคอกันจริง ก็ให้เขาเอาน่องคืนมา กลืนของข้าไปแล้วก็ย่อมต้องคายออกมา
“เอาล่ะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อได้พบเจ้าแล้วงั้นเรามารวมกลุ่มกัน เจ้าต้องปกป้องข้าตอนนี้ข้าสบายใจขึ้นเยอะเลย” ลู่ฟางเอ๋อพูดไปก็ดึงแขนหลงเฉินอย่างสนิทสนม และหัวเราะไปพลาง
หลงเฉินทำสีหน้าไม่ถูก ลู่ฟางเอ๋อถือเป็นสาวงามที่ยากจะได้พบเจอ แต่ว่านางนั้นอยู่ข้างกายม่งฉี จึงทำให้ดูเศร้าไร้ความผ่องใส แต่ก็ไม่ได้ลดทอนงดงามที่เห็นได้ระยะไกลหมื่นลี้ของนางได้เลย
เมื่อถูกสตรีงดงามเช่นนี้เดินควงแขน ก็ทำให้หลงเฉินไม่เพียงหัวใจเต้นแรงเท่านั้น ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นอีกด้วย
ลู่ฟางเอ๋อสังเกตุเห็นหน้าตาของหลงเฉินผิดปกติไป จึงแสดงการหยอกเย้าหัวเราะและกล่าว
“เจ้าแสดงสีหน้าแบบนี้มันดีมากรู้มั้ย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนเลว ถ้าเจ้ามีสีหน้าปกติข้าคงต้องซักไซ้อย่างละเอียดเลยล่ะ”
หลงเฉินไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ในวันหน้าคงต้องระมัดระวังหน่อยแล้ว
“ฮ่าฮ่า เจ้าต้องทำใจให้ชินนะข้ากับม่งฉีเป็นพี่น้องที่ดีที่สุด เราสาบานไว้ว่าจะไม่แยกจากกันตลอดไป หากเจ้าจะแต่งงานกับม่งฉีก็ต้องแต่งข้าเข้าบ้านด้วย” แม้ลู่ฟางเอ๋อจะทำหน้าตากระเซ้า ทำเป็นไม่ได้คิดอะไร แต่ในส่วนลึกของแววตาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความตื่นเต้น
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ได้กำไรสินะ” หลงเฉินหัวเราะเสียงดัง
หลงเฉินสังเกตุว่า ในแววตาส่วนลึกที่แฝงด้วยความตื่นเต้นของลู่ฟางเอ๋อลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดูไปแล้วลู่ฟางเอ๋อไม่ได้คิดเหมือนกับสีหน้าที่แสดงออกมา
ในใจของหลงเฉินลู่ฟางเอ๋อคือน้องสาวที่รู้ใจ นางมีจิตใจดีงามทั้งยังมีความซุกซนเล็กๆ
“มา เราไปที่ป่าดิบทึบกัน มีเจ้าไปเป็นเพื่อนข้ารู้สึกปลอดภัยมาก ลู่ฟางเอ๋อกล่าว แล้วดึงหลงเฉินกระโดดขึ้นหลังของวัวเกล็ดทอง
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะซ่อนเสี่ยวเสว่ยไว้ในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ เพราะมันคงได้กลิ่นว่าเสี่ยวเสว่ยอยู่ที่นี่ สัตว์มายาของลู่ฟางเอ๋อมีประสาทสัมผัสที่ไวจนน่ากลัว
เมื่อกระโดดขึ้นหลังวัวเกล็ดทองแล้ว ทางด้านหน้าก็ยังมีสัตว์มายาระดับสามนำทางอยู่ถึงสองตัว ทางด้านหลังก็ยังมีแมวหางปราณคู่คอยคุ้มครอง เมื่อเดินทางผ่านไปจึงพบแหวนมิติวงหนึ่งจึงดีใจเป็นที่สุด
พลังการโจมตีของเสี่ยวเสว่ยมีความแข็งแกร่งมาก ปรกติจะทำให้แหวนมิติพังทลายได้โดยง่ายดาย ทว่าแหวนมิติวงนี้ยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ดี ก็แสดงว่าคุณภาพของแหวนใช้ได้เลยทีเดียว จึงนำแหวนมิติเก็บติดตัวไว้ แล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่ป่าดิบทึบกับลู่ฟางเอ๋อต่อไป
การอยู่ในป่าดิบทึบของผู้ฝึกสัตว์มายามีข้อดีอยู่ คือมีสัตว์มายาคอยคุ้มกัน ด้วยแรงกดดันบนร่างกายของพวกมัน จะช่วยสร้างความหวาดกลัวให้กับแมลงมีพิษบางพวกให้รีบเผ่นหนีไป
หากเป็นมนุษย์ที่เดินทางอยู่ในป่าดิบทึบ ไม่ว่าจะเก่งกล้าแค่ไหน ก็ไม่สามารถขับไล่สัตว์มีพิษเหล่านั้นได้เลย และยังจะถูกโจมตีเอาได้ง่ายๆ ลู่ฟางเอ๋อกล่าวขณะนั่งอยู่บนหลังวัวเกล็ดทอง
พวกแมลงมีพิษเหล่านั้น ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าเกรงขามในตัวมนุษย์ แต่ประสาทสัมผัสจะไวต่อพลังจากสัตว์มายาเป็นอย่างมาก
เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว หลงเฉินจึงด่าทอตัวเองว่าโง่เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่ทราบกัน ถ้าหากรู้ก่อนหน้าคงเรียกเสี่ยวเสว่ยออกมา ไม่ต้องระมัดระวังตัวแจขนาดนี้ และคงจะเดินทางได้เร็วกว่านี้อีกมาก
“รอเดี๋ยว นั่นเถาวัลย์หยกขาว” หลงเฉินบอกให้ลู่ฟางเอ๋อหยุดทันที แล้วมุ่งหน้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ด้านข้างต้นไม่ต้นนั้น มีเถาวัลย์ยาวชนิดหนึ่ง สีขาวดุจหิมะและแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
“เถาวัลย์ชนิดนี้มีประโยชน์งั้นหรือ? ข้าเคยเห็นมาก่อนเมื่อตัดขาดแล้วข้างในก็จะเป็นน้ำใสๆ คุณสมบัติที่เป็นยาในน้ำใสๆดุจน้ำเปล่านั้นก็มีอยู่ไม่มาก“ ลู่ฟางเอ๋อกล่าวด้วยความสงสัย แม้นางจะไม่รู้จักชื่อของเถาวัลย์เถานี้ แต่นางก็มั่นใจว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไร
“เถาวัลย์หยกขาวไม่ได้มีคุณค่าอะไร แต่สถานที่ที่มันเกิดขึ้นมา น่าจะมีของดีบางอย่างอยู่ตรงนั้น เอ้ มีจริงๆด้วย”
หลงเฉินแววตาเป็นประกาย ไม่ห่างจากจุดที่เถาวัลย์ผุดขึ้นมา มีพืชชนิดหนึ่งอยู่ มองดูแล้วมีขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนบนเป็นดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆไม่สะดุดตา
“นี่เรียกว่าหญ้าวิญญาณปาฏิหาริย์ คือสมุนไพรที่ใช้หล่อเลี้ยงวิญญาณซึ่งพบเห็นได้น้อยมาก ใช้สำหรับปรุงโอสถบำรุงวิญญาณ แม้ประสิทธิภาพจะสู้โอสถบำรุงวิญาณที่ให้ม่งฉีไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เลวเลยนะ กลับไปข้าจะหลอมโอสถบำรุงวิญาณให้เจ้า” หลงเฉินยิ้ม
“นี่มัน….มีค่าเกินไปหรือไม่” ลู่ฟางเอ๋อพูดอย่างเกรงใจ นางรู้ว่าโอสถบำรุงวิญญาณเป็นสิ่งมีค่ามาก เพราะสิ่งสำคัญคือตัวสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบนั้นหาได้ยากมาก ปราณวายุในสำนักจิตวายุเป็นวิถีวิญญาณทั้งนั้น มีไม่กี่คนที่จะมีโอกาสได้กินโอสถบำรุงวิญญาณ
นอกจากม่งฉีแล้วก็มีเพียงบุตรชายของจ้าวสำนักที่ได้กิน นั่นเป็นเพราะจ้าวสำนักต้องใช้พลังเก้าวัวสองพยัคฆ์แลกมา
โอสถบำรุงวิญญาณเป็นของที่หายากจริงๆ มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ดังนั้นเมื่อหลงเฉินบอกว่าจะหลอมโอสถบำรุงวิญญาณให้ลู่ฟางเอ๋อ จึงทำให้นางซาบซึ้งเป็นที่สุด
“เจ้าบอกว่าเจ้ากับม่งฉีเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือ เมื่อม่งฉีมี แต่เจ้าไม่มีนั่นไม่เสียเปรียบแย่หรือ?“ หลงเฉินหัวเราะเสียงดัง
ลู่ฟางเอ๋อหน้าแดง และช่วยหลงเฉินขุดหญ้าวิญญาณปาฏิหาริย์ขึ้นมา หลงเฉินเก็บมันไว้เป็นอย่างดีในมุมหนึ่งของแหวนมิติ
สองคนร่วมเดินทางสู่เบื้องหน้า การที่มีสัตว์มายาคอยนำทางทำให้สบายขึ้นมาก หลงเฉินมองสอดส่องไปทั่วเพื่อเสาะหาเงาของสมุนไพรวิเศษชนิดต่างๆ
“เอ๊ะ”
ขณะที่กำลังเดินทาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ทำให้สัตว์มายาของลู่ฟางเอ๋อถึงกับหยุดฝีเท้าทันที
.
.