ทั้งสองที่นั่งอยู่บนหลังวัวเกล็ดทอง เข้าไปยังป่ามืดเงียบสงัดอันเป็นจุดหมายปลายทางของหลงเฉิน ระหว่างทางลู่ฟางเอ๋อกับหลงเฉินได้คุยกันไม่น้อยเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปของผู้ฝึกสัตว์ จนทำให้หลงเฉินเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันก็เข้าใจลู่ฟางเอ๋อว่าทำไมถึงได้ปล่อยสัตว์มายาสองตัวนั้นไป เพราะแท้ที่จริงแล้วพลังจิตวิญญาณของลู่ฟางเอ๋อมีจำกัด นางสามารถเปิดช่องว่างของจิตวิญญาณได้เพียงสี่ช่องเท่านั้น และควบคุมสัตว์มายาได้สี่ตัวในเวลาเดียวกัน
ถ้าแค่จะเปิดช่องว่างแห่งจิตวิญญาณเพิ่ม ลู่ฟางเอ๋อสามารถเปิดเพิ่มได้อีกมาก แต่ว่าพลังจิตวิญญาณของนางไม่พอที่จะควบคุมสัตว์มายาได้มากขนาดนั้น หากจิตวิญญาณของคนๆหนึ่งมีสิบส่วน นางจำเป็นต้องรักษาพลังจิตวิญญาณอีกเก้าส่วน เอาไว้เพื่อไว้ควบคุมสัตว์มายา
เพราะถ้าพลังจิตวิญญาณไม่พอ รอยประทับสัญญาทาสของสัตว์มายาก็จะคลายลง ไม่มีวิธีที่จะหยุดยั้งสัตว์มายาได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าตอนนั้นสัตว์มายาเกิดก่อกบฏสังหารเจ้าของ มันก็จะได้รับอิสระทันที
หลงเฉินไม่แปลกใจเลยที่สัตว์มายาจะไม่มีความไว้วางใจให้เจ้าของ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรักความผูกพันธ์เลย ผู้ฝึกสัตว์ล้วนทำสิ่งเดียวกันอยู่
หลังจากที่ลู่ฟางเอ๋อเล่ามา หลงเฉินก็เกิดเห็นอกเห็นใจผู้ฝึกสัตว์ขึ้นมา ขณะต่อสู้ก็ต้องป้องกันศัตรู อีกทั้งยังต้องมาป้องกันสัตว์มายาก่อกบฏอีกนั่นคงจะเหนื่อยน่าดู
ดังนั้นระหว่างหลงเฉินกับเสี่ยวเสว่ย ไม่จำเป็นต้องมีสัญญาจิตวิญญาณใดๆ มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกจนก่อให้เกิดการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณระหว่างหลงเฉินกับเสี่ยวเสว่ย เพราะเกิดจากการร่วมเป็นร่วมตาย นี่จึงทำให้ลู่ฟางเอ๋อรู้สึกประทับใจอย่างประหลาด
ความไว้ใจแบบนี้มันยากเกินกว่าจะรับได้ ไม่ว่าคนหรือว่าสัตว์ จะมีใครเต็มใจมอบชีวิตของตัวเองให้กับอีกฝ่ายโดยที่ไม่มีเงื่อนไขกันล่ะ
“หลงเฉิน เสี่ยวเสว่ยไม่ได้ถูกเจ้าตราประทับจิตวิญญาณ พลังรบของมันไม่ได้ถูกผูกมัดถือเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากมีคนคิดจะแย่งเอาเสี่ยวเสว่ยไป เขาจำเป็นจะต้องทำลายตราประทับจิตวิญญาณเดิมก่อน เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์ ฉะนั้นถ้าเจ้าประทับตราจิตวิญญาณลงไป ตราประทับของเจ้าจะถูกทำลายได้ง่าย
ศิษย์พี่ฉีเห็นว่าเจ้าไม่สามารถต้านทานพลังโจมตีจิตวิญญาณได้ เขาจึงรู้ว่าทักษะจิตวิญญาณของเจ้ามันตื้นเขิน จึงเกิดความคิดที่จะทำลายตราประทับจิตวิญญาณ
เมื่อตราประทับจิตวิญญาณของสัตว์มายาถูกทำลาย พลังวิญญาณของสัตว์มายาจะได้รับความเสียหายอย่างมากจนตกอยู่ในอาการสลบไสลและสูญเสียพลังการต่อต้าน”
ลู่ฟางเอ๋อรู้ว่าพลังจิตวิญญาณของหลงเฉินไม่แข็งพอที่จะเปิดช่องว่างของจิตวิญญาณ จึงใช้แต่วิธีงุ่มง่ามและธรรมดา ระหว่างทางนางจึงได้ให้ความรู้ เพื่อให้หลงเฉินไว้ประยุกต์ใช้อย่างมากมาย
หลงเฉินเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวิถีโอสถ พลังจิตวิญญาณจึงเพียงพอที่จะเป็นผู้ฝึกสัตว์ ลู่ฟางเอ๋อยอมขัดคำสั่งของอาจาร์ยแอบถ่ายทอดความลับต่อหลงเฉินเงียบๆ เป็นที่รู้กันว่าหมู่ตึกจิตวายุมีทักษะและวิชาลับเกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่มาก หากเรื่องนี้หลุดออกไปลู่ฟางเอ๋อจะได้รับโทษอย่างร้ายแรง
หลงเฉินกำลังค้นดูภายในแหวนมิติของศิษย์พี่ฉี เขากำลังหาหนังสือทักษะวิญญาณต้นฉบับ แต่กลับไม่พบ ทักษะลับของสำนักคือการถ่ายทอดและสืบสานศิลปะสำนัก แม้ว่าจะเป็นหมู่ตึกพลิกสวรรค์ก็ยังถูกห้ามไม่ให้รู้ความลับนี้ ทักษะความลับของสำนักไม่อาจจะเผยแพร่ออกไป
ศิษย์จิตวายุทั้งหมดฝึกวิถีแห่งจิตวิญญาณ ผู้ปฎิบัติตามวิถีนั้นพบได้น้อยมากและหนังสือขั้นสูงเกี่ยวกับวิถีจิตวิญญาณก็ยิ่งพบได้น้อยยิ่งกว่า หลงเฉินจึงได้รับแต่หนังสือขั้นพื้นฐานทักษะวิญญาณที่หยาบและเรียบง่าย
แม้ว่าลู่ฟางเอ๋อจะพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี อย่างไรก็ตามในดวงตาของนางนั้นกลับมีความเศร้าและความไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
สำหรับการกระทำของลู่ฟางเอ๋อนั้นหลงเฉินซาบซึ้งใจมาก เพราะเขาจำเป็นต้องมีความรู้เหล่านี้ ไม่เช่นนั้นแม้จะมีพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่ง ก็ไม่รู้จะประยุกต์ใช้อย่างไร เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน
จากสิ่งที่ลู่ฟางเอ๋อเล่ามา ผู้อาวุโสจิตวายุที่ดูแลรักษาทักษะวิญญาณนั้นเข้มงวดมาก นางจึงสัมผัสทักษะเหล่านั้นได้ไม่มากนัก ทักษะจิตวิญญาณขั้นสูงอย่างนั้น นางไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ฝึกฝน คนมีพรสวรรค์อย่างม่งฉีและฟ่งเซียวจื่อเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้สัมผัส
ถึงอย่างนั้นก็ช่าง หลงเฉินรู้สึกได้รับประโยชน์มาก เขาประทับใจในวิถีจิตวิญญาณ หลงเฉินคาดไม่ถึงว่าพลังจิตวิญญาณจะมีวิธีใช้งานมากมายถึงเพียงนี้
ลู่ฟางเอ๋อรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นกับความสามารถในการเรียนรู้ของหลงเฉิน เพียงแค่ลู่ฟางเอ๋อบอกวิธีโคจรของพลังจิตวิญญาณ หลงเฉินก็สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่ความคิดเห็นที่หลงเฉินหยิบยกขึ้นมา ก็ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงหลังจากที่หลงเฉินได้เรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ความคิดแรกที่คิดก็คือจะเปลี่ยนการโคจรพลังอย่างไร
ความคิดที่หยิบยกขึ้นมานั้นเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าก็สอดคล้องกับหลักการบางอย่าง แต่นางไม่เคยกล้าที่จะคิดมาก่อนเลย
“หลงเฉินหากไม่รู้จักภูมิหลังของเจ้ามาก่อน ข้าต้องคิดว่าเจ้าเคยเรียนทักษะวิญญาณมาแล้วแน่ และตอนนี้เจ้าก็กำลังล้อข้าเล่นอยู่” ลู่ฟางเอ๋อถอนหายใจ
ครั้งแรกที่หลงเฉินได้สัมผัสทักษะวิญญาณก็รู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมมาก ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวอย่างฉับไว
แต่ไหนแต่ไรมาหลงเฉินก็ไม่เคยประพฤติตัวถูกต้องตามหลักการอยู่แล้ว ในหัวมักจะมีความคิดแปลกๆอยู่เสมอ และเผลอแสดงออกมาให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ
นึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะเดิน ก็คิดที่จะวิ่งแล้ว หรือที่แท้จริงแล้วประเมินค่าของตัวเองไว้สูง ฮาฮาฮา “ข้าก็ชอบจิตนาการไปเรื่อย เจ้าอย่าได้ถือสาเลย”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้โกรธ เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับทักษะวิญญาณได้รวดเร็วจนน่าตกใจ”
“แม้สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงทักษะขั้นแรกของวิถีจิตวิญญาณ แต่ความเร็วของเจ้าช่างน่ากลัวเหลือเกิน” ลู่ฟางเอ๋อยิ้มแบบขมขื่น
เพราะเพียงทักษะวิญญาณขั้นแรกเหล่านี้ ก็ทำให้ลู่ฟางเอ๋อใช้เวลากว่าครึ่งปีในการควบคุมเรียนรู้
แต่ไหนแต่ไรแม้ว่าลู่ฟางเอ๋อจะไม่เคยคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ แต่พรสวรรค์ของนางก็ถือว่าเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของหมู่ตึกจิตวายุ ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงไม่สามารถเข้าขอบเขตแดนลับนพเก้าได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าของหลงเฉิน นางเหมือนกับถูกตบหน้าอย่างแรง แม้จะรู้ว่าหลงเฉินนั้นอยู่ในวิถีโอสถและยังขาดทักษะด้านจิตวิญญาณอยู่ ทว่าเพียงแค่นางถ่ายทอดทักษะให้แค่ขั้นพื้นฐาน เขาก็แทบจะแซงหน้านางไปแล้ว นี้ไม่ได้เรียกว่าอัจฉริยะในตำนานหรอกหรือ ?
“เบื้องหน้ามีคน”
หลงเฉินกำลังคิดหาทางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอยู่พอดี ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่มีกลุ่มคนมาปรากฎตรงหน้าพวกเขาพอดี
เบื้องหน้าปรากฏเงาร่าง มีทั้งหมดสี่คนหนึ่งในนั้นคือศิษย์สายตรง แต่อีกสามมีพลังลมปราณระดับผู้อยู่เหนือขอบเขต
ตรงหน้าของทั้งสี่คนมีสัตว์มายาระดับสี่ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่ หลงเฉินมองดูสี่คนข้างหน้าและอาวุธในมือก็เห็นได้ชัดว่าจะสังหารสัตว์มายาตัวนั้น
“อย่าได้ประหลาดใจไป เม่นฟันดำตัวนั้นเป็นสัตว์มายาระดับสี่ ถ้าจะถูกสี่คนนั้นสังหารก็เป็นเรื่องปกติ” หลงเฉินมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่ฟางเอ๋ออธิบาย
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกสัตว์นี่เป็นบทเรียนแรก ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์มายาที่หาได้ยาก พวกเขาก็สามารถจดจำลักษณะของพวกมันได้อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่รู้ชื่อของพวกมันเท่านั้น พวกเขายังรู้ความสามารถการต่อสู้และจุดอ่อนอย่างชัดเจนนี้คือสิ่งสำคัญที่ผู้ฝึกสัตว์ต้องรู้
หลงเฉินไม่รู้จักสัตว์มายาตัวนั้น แต่ลู่ฟางเอ๋อกลับมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าสัตว์มายาตัวนั้นอยู่ในระดับสี่ อย่าได้พูดเปรียบเทียบกับสิงโตเพลิงสีแดง หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่อยู่ในมือของนางทั้งสองตัว เจ้าเม่นตัวนั้นก็เทียบไม่ได้
ทั้งสี่คนนั้นสามารถสังหารมันได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ความแข็งแกร่งย่อมไม่ควรจะมองข้ามแต่ก็อย่าตกใจกลัวเกินเหตุไป
หลังจากที่สี่คนนั้นสังหารสัตว์มายาตัวนั้นไป ก็ตัดหัวมันและนำโอสถภายในออกมาเพียงแค่คิดจะเอาออก ทันใดนั้นก็พบเห็นหลงเฉินและลู่ฟางเอ๋อ
เมื่อมีหลงเฉินอยู่ลู่ฟางเอ๋อก็ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัย และทั้งสองก็ยังขี่วัวเกล็ดทองตัวนี้อยู่ด้วย
สัตว์มายาระดับต่ำกว่าวัวเกล็ดทองทั้งหมดนั้นจะกลัวและไม่กล้าที่จะสู้กับมัน
“เจ้าเด็กนั่น ดูเหมือนจะเป็นคนที่อยู่ในหยกบันทึกภาพนะ” เมื่อทั้งสี่คนเห็นหลงเฉินและวัวเกล็ดทอง คนหนึ่งในนั้นก็พยายามมองให้ชัดขึ้น
“ไม่ผิดแน่ เป็นเขา เจ้าเด็กนี้รูปงามกว่าที่คิด อีกทั้งยังมีแม่นางที่งดงามผู้นั้นอีก” ผู้อยู่เหนือขอบเขตเมื่อมองหน้าลู่ฟางเอ๋อก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน และรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า พวกเขาค่อยๆเดินเข้ามา
เห็นหลงเฉินคือตัวอะไรกัน? เมื่อเห็นสายตาของคนเหล่านี้แล้ว หลงเฉินก็ทราบทันทีว่าพวกโง่งมกลุ่มนี้กำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อมองดูการแต่งกายของสี่คนนี้แล้ว น่าจะมาจากสำนักเดียวกัน มีป้ายปักหน้าอกที่หลงเฉินไม่รู้จัก เมื่อเห็นสี่คนนั้นกำลังเดินมาหาลู่ฟางเอ๋อก็สั่งให้สัตว์มายาหยุดเดินและมองดูสี่คนนั้นอย่างระมัดระวัง
“ท่านทั้งสี่คือศิษย์แห่งหมู่ตึกเมฆาหวนคืน ข้าทั้งสองบังเอิญผ่านมาทางนี้ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด”
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ต้องกลัว พวกเรานั้นต่างก็เป็นฝ่ายธรรมะเหมือนกัน พวกเดียวกันย่อมไม่ทำร้ายกัน เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของเจ้าโจรราคะเอง” หนึ่งในผู้อยู่เหนือขอบเขตกล่าวขึ้น
“พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าและสหายข้าหลงเฉินมาผจญภัยด้วยกัน พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอันใดกัน?” ลู่ฟางเอ๋อถามขึ้น
หลงเฉินนั่งยิ้่มอยู่บนหลังวัวเกล็ดทองโดยไม่ได้กล่าวอะไร เขาแค่มองดูกลุ่มคนที่กำลังล้อมพวกเขาอยู่
“ศิษย์น้องจากหมู่ตึกจิตวายุ เจ้าไม่ต้องกลัวจาก ถึงหลงเฉินผู้นี้จะมีนิสัยต่ำทรามและเลือดเย็น แต่พวกเราจะไม่ยอมให้เขาแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายผม”
ผู้นำของผู้อยู่เหนือขอบเขตชี้ไปทางหลงเฉินและตะโกนขึ้น “หลงเฉิน เจ้ากล้าดียังไงมาข่มเหงรังแกสตรี ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังได้ทำการสังหารศิษย์ฝ่ายธรรมะไปหลายคน วันนี้พวกเราทั้งสี่จะทำหน้าที่แทนสวรรค์เพื่อลงโทษเจ้าเอง”
“อย่าคิดว่าพวกเราไม่เห็นที่เจ้าโอบนางและเจ้ายังบังคับให้นางพูดแก้ตัวแทน ถ้าเจ้าฉลาด ก็จงรีบปล่อยศิษย์น้องผู้นี้ซะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะสับเจ้าให้เป็นพันๆชิ้น จนกว่ากระดูกก็กลายเป็นขี้เถ้า”
ใบหน้าลู่ฟางเอ๋อเปลี่ยนไป นางพูดอย่างไม่ไยดี “พวกเจ้าจงใจยั่วยุพวกเราใช่หรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน ทำไมพวกเจ้ายังเอาแต่พูดถึงเรื่องจะช่วยข้า?”
“ศิษย์น้องเจ้าไม่ต้องกลัว พวกเราจะไม่ปล่อยให้เจ้าโจรราคะผู้นี้ทำให้เจ้าตกต่ำไปมากกว่านี้” ผู้อยู่เหนือขอบเขตกล่าวขึ้นมา
ขณะที่พูดพวกเขาทั้งสี่ก็เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากวัวเกล็ดทองสิบจั้ง ทันใดนั้นหนึ่งในพวกเขาก็ตะโกนขึ้นมา
“ลงมือ!”
ทันใดนั้นก็มีคนดีดยาเม็ดตรงไปที่หัวของวัวเกล็ดทอง เมื่อมันเข้าไปใกล้ มันก็ระเบิดออกพร้อมกับปล่อยผงสีเหลืองที่มีกลิ่นจางๆลอยฟุ้งไปทั่ว
.
.