ลู่ฟางเอ๋อคาดไม่ถึงว่าศิษย์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเมฆาหวนคืนจะฉวยโอกาสโจมตีอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีการวางแผนการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และดูท่าว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้มุ่งโจมตีไปที่หลงเฉินเท่านั้น แต่เป็นพุ่งเป้ามาที่พวกเขาทั้งสองคน
วัวเกล็ดทองที่พวกเขาขี่ ทันทีที่ถูกผงสีเหลืองร่างกายก็ทรุดลงกับพื้น
บทสนทนาก่อนหน้านี้ ยังไม่ทันที่ลู่ฟางเอ๋อจะโต้ตอบกลับไป คนทั้งสี่ก็ชิงลงมืออย่างรวดเร็ว โดยที่แทบจะไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็น อาวุธของคนพวกนั้นมุ่งมายังจุดสำคัญบนร่างกายของพวกเขาทั้งสองแล้ว
หลังจากเริ่มตั้งสติได้ ลู่ฟางเอ๋อก็เข้าใจแล้วว่า ทั้งสี่คนนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ผู้ผดุงความยุติธรรม แต่เป็นโจรชั่วที่ฆ่าคนเพื่อชิงสมบัติเท่านั้น
ทั้งสี่ลงมืออย่างรวดเร็ว ด้วยกระบวนท่าร้ายกาจ และร่วมมือกันเป็นอย่างดี ในเวลาไม่นานก็เข้าล้อมหลงเฉินและลู่ฟางเอ๋อเอาไว้ได้ ปิดผนึกทางหลบหนีของพวกเขาไป ด้วยการลงมือที่ฉับไวนั้น จึงทำให้ลู่ฟางเอ๋อไม่ได้มีเวลาเพียงพอสำหรับเตรียมการป้องกันแม้แต่น้อย
“ฟรึบ”
ทันใดนั้นลู่ฟางเอ๋อก็รู้สึกแน่นที่ช่วงเอว แขนอันทรงพลังข้างหนึ่งโอบรอบเอวของนางเอาไว้ พลันร่างของนางก็ถูกดึงให้ลอยขึ้นกลางอากาศ พุ่งทะยานออกไป
ทั้งสี่คนที่กำลังจะลงมือสังหารหลงเฉินและลู่ฟางเอ๋อ เพียงชั่วพริบตาก็พบว่าทั้งสองคนที่อยู่บนหลังวัวเกล็ดทองได้หายไปแล้ว
“ผงเหลืองวิเศษ?”
แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้นี่เอง! หลงเฉินค่อยๆลงมาสู่พื้น ลู่ฟางเอ๋อขยับตัวออกไปแล้ว บนใบหน้าเขาปรากฏแววเยาะหยั่น
ไม่แปลกที่คนพวกสามารถฆ่าสัตว์มายาระดับสี่ได้ง่ายดาย เพราะนั่นไม่ได้เกิดจากพลังฝีมือของพวกเขา แต่เป็นผลมาจากยาสีเหลืองเม็ดนั้น ไม่ผิดแน่ —– หญ้าวิญญาณสีเหลือง สิ่งล้ำค่าหายากยิ่ง คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหาพบได้ เพราะโอกาสที่จะพบเจอมีน้อยยิ่งนัก
“เห็นพวกเจ้าลงมืออย่างชำนาญเช่นนี้ ดูท่าพวกเจ้าคงจะร่วมกันสังหารผู้คนมากมาย และน่าจะฆ่าเพื่อชิงสมบัติไปมิใช่น้อยแล้ว” หลงเฉินจ้องมองใบหน้าของโจรทั้งสี่ที่กำลังตกตะลึง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใย
สีหน้าของทั้งสี่เปลี่ยนไป ผู้อยู่เหนือขอบเขตหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้น รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง เหตุบังเอิญเรื่องแรกคือเขาได้รับหญ้าวิญญาณสีเหลืองมาจากโลกภายนอก ซึ่งเป็นวัตถุดิบของยาที่หาได้ยาก แทบจะสูญพันธ์จากโลกภายนอกไปแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เสาะหาผู้ที่จะสกัดหญ้าวิญญาณสีเหลืองให้กลายเป็นผง
ตัวยานี้มีอำนาจมหาศาล แม้แต่สัตว์มายาระดับสี่ เมื่อได้สูดผงหญ้าวิญญาณสีเหลืองเข้าไป เพียงไม่กี่ลมหายใจก็สลบไสลไปแล้ว นั่นเองทำให้โจรสี่คนนั้นสามารถฆ่าสัตว์มายาระดับสี่ได้อย่างง่ายดาย
สัตว์มายาไม่สามารถทนต่อยาได้ ผู้ฝึกยุทธ์ก็ยากที่จะป้องกันการรุกรานเช่นกัน แต่พวกเขามองหลงเฉินเป็นเพียงพวกไก่อ่อนขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ้นระยะต้นเท่านั้น ดังนั้นจึงลงมือกับสัตว์มายาจนหมดสติก่อน แล้วค่อยเลือกที่จะสังหารทั้งสองคน ทว่าหลงเฉินนั้น มองกลอุบายเล็กๆของพวกนั้นออก เขาคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ได้ตั้งแต่ต้นแล้ว
“ผลัวะ”
โจรทั้งสี่เห็นท่าว่าจะโจมตีไม่สำเร็จ และเสี่ยงที่จะเพี้ยงพล้ำได้ จึงหมุนตัวหลบหนีไป
พวกเขานั้นเป็นเพียงผู้อยู่เหนือขอบเขตธรรมดา ไม่มีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเพียงพอ ตรงกันข้ามกับผู้ฝึกสัตว์ หากถูกพลังโจมตีทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งโจมตีเข้าใส่ พวกเขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่แม้แต่จะทักทาย ไม่ไร้มารยาทเกินไปหรอกหรือ?”
หลงเฉินหัวเราะเย้ย พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเงาร่างเลือนลางสายหนึ่ง แค่ชั่วอึดใจก็ดูราวกับว่ามีมากกว่าสามคน
ซัดกำปั้นออกไปที่ฝ่ายตรงข้ามผู้หนึ่งด้วยความเร็วที่สูงยิ่ง และด้วยความว่องไวจนแทบมองไม่ทันของหลงเฉิน ก็ทำให้คนผู้นั้นที่ยังไม่ทันที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกหมัดอัดกระแทกเข้าที่ทรวงอกอย่างรุนแรง
“ตู้ม”
พลังหมัดของหลงเฉิน หนักแน่นดั่งภูเขา เมื่ออัดกระแทกเข้าใส่ทรวงอกผู่อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น ก็ทำให้เขากระอักเลือดออกมามากมาย
คนอื่นๆที่เหลืออีกสามคนนั้น ในแววตาเต็มไปด้วยหวาดผวา พวกเขารีบหยิบจับ และชักนำอาวุธออกมาเตรียมต่อสู้
“ปึก ปึก”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตสองคนหยิบดาบขึ้นมา ทว่า เมื่อแสงสะท้อนของดาบนั้นปรากฏได้เพียงวูบเดียว พวกเขาก็ถูกฟันออกเป็นสี่ท่อนในทันที เสียงกรีดร้องดังออกไปไกลหลายร้อยลี้
สามคนนั้นตายตกไปในชั่วพริบตา เหลือเพียงแต่ผู้เป็นหัวหน้า ใบหน้าของเขาซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ในมือที่ถือดาบสั่นไม่หยุด คิดจะโจมตี ก็ไม่กล้า คิดจะหนี ก็เกรงกลัว
“ตุบ”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเทา “ศิษย์พี่ท่านนี้ พวกข้านั้นตามืดบอด ไม่ควรหยาบคายต่อท่าน โปรดให้อภัย ไว้ชีวิตคนต่ำทรามด้วยเถิด ข้าจะยกของล้ำค่าทั้งหมดให้ท่าน เพียงแค่ท่านยกโทษให้ ข้าจะให้ทุกอย่างที่ข้าได้มา”
เมื่อชายผู้นี้กล่าวจบเขาก็ล้วงเอาแหวนมิติสิบกว่าวงที่ปล้นได้ออกมา ประคองไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วมอบให้หลงเฉิน
หลงเฉินยื่นมือออกไปใช้พลังจิตวิญญาณรวบรวมแหวนมิติเหล่านั้นไว้ในมือ และพินิจดูรูปแบบของแหวนมิติเหล่านั้น บนใบหน้านั้นดูยั่วเย้าและเหน็บแนม “พวกเจ้าช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว เจ้าของแหวนมิติทั้งสิบกว่าวงนั้น แท้จริงแล้ว ล้วนแต่เป็นศิษย์ฝ่ายธรรมะที่มีอนาคตทั้งสิ้น”
ถึงแม้ว่าการครอบครองแหวนมิติ จะไม่สามารถแยกแยะฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรมได้ แต่หากพิจารณาถึงรูปแบบและรอยสลักของแหวนมิติ ก็จะสามารถดูออกว่าเจ้าของนั้นเป็นฝ่ายธรรมมะหรืออธรรมได้
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากฆ่าคนนัก แต่เจ้านั้นมันพวกเศษสวะ ปล่อยไปก็ไม่รู้ว่าจะไปฆ่าใครอีกเท่าไร” หลงเฉินกล่าววาจาน้ำเสียงดุดัน
“ศิษย์พี่อภัยให้ข้าเถิด ข้าไม่ใช่คนชั่ว ข้าฆ่าคนพวกนั้น เพราะพวกนั้นชั่ว” ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นอ้อนวอน
“เจ้าเป็นคนชั่วหรือไม่ นั้นเป็นเรื่องของยมบาลจะเป็นคนตัดสิน สิ่งที่ข้าต้องทำตอนนี้คือนำตัวเจ้าส่งให้ยมฑูตเท่านั้น”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็ยื่นมือใหญ่ทั้งสองข้างออกมา แล้วบีบเค้นไปที่ลำคอของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาเพียงชั่วพริบตา จนทำให้ร่ายกายของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ใบหน้ามีแต่ความกลัว
“มาสำนึกผิดเอาในวันนี้ แล้วเหตุใดต้องทำเยี่ยงนี้ตั้งแต่แรก ตอนที่พวกเจ้ากระทำการชั่วช้าเคยสงสารคนเหล่านั้นหรือไม่? ”
ต่อให้ทำหน้าอ้อนวอนเพียงใด หลงเฉินก็ไม่หวั่นไหว เขาค่อยๆหลับตาลงช้าๆและเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ระลอกคลื่นขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
“เยี่ยมเยือนจิตวิญญาณ?”
ดวงตาของลู่ฟางอ๋อร์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมองมาจากระยะไกล ระลอกคลื่นที่ปรากฏในดวงตาของหลงเฉินนั้นคือพลังจิตวิญญาณที่สมาธิรวมอยู่ที่ดวงตาเป็นจุดเดียว ซึ่งจะทำให้สามารถเยี่ยมชมความทรงจำทั้งหมดของศัตรูได้
ถึงแม้นี่จะเป็นทักษะขั้นพื้นฐาน และลู่ฟางเอ๋อร์เองก็เคยบอกหลงเฉินเรื่องหลักการทั่วไปของทักษะทางจิตวิญญาณนี้ แต่ตัวนางเองกลับไม่เคยได้ใช้มันเลย
เหตุผลหนึ่งนั้น เป็นเพราะพลังจิตวิญญาณของนางไม่แกร่งกล้ามากพอ ไม่สามารถสร้างจิตวิญญาณที่มีอนุภาพแข็งแกร่ง จึงไม่สามารถดูความทรงจำของผู้อื่นได้
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ทักษะทางจิตวิญญาณนี้อันตรายอย่างยิ่ง จำเป็นต้องมีพลังจิตวิญญาณมากกว่าผู้ฝึกสัตว์โดยทั่วไปถึงสิบเท่า มิเช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามจะสามารถโจมตีจิตวิญญาณของผู้ใช้ทักษะนี้ได้ง่าย และจะทำให้วิญญาณของผู้ควบคุมได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ลู่ฟางเอ๋อเคยบอกเล่าหลักการเหล่านี้ให้หลงเฉินฟังและบอกข้อห้ามบางอย่าง ในตอนแรกนางคิดว่าหลงเฉินเพียงแต่ฟังและปล่อยผ่านไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงกับสามารถเอาออกมาใช้เพียงชั่วพริบตาเดียวได้เช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นระลอกคลื่นในดวงตาของหลงเฉินก็แจ่มชัดยิ่งนัก อีกทั้งยังหมุนวนอย่างมั่นคง และนั่นเป็นจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งในระดับนึง ถึงสะท้อนออกมาให้เห็น
หาไม่ทราบว่าหลงเฉินโกหกไม่เป็น นางคงคิดจริงๆว่า แท้จริงแล้วหลงเฉินคือผู้ฝึกสัตว์ที่แข็งแกร่ง แต่ทำเป็นไก่อ่อนหลอกลวงนาง
ด้วยระลอกคลื่นที่หมุนวนในดวงตาของหลงเฉิน ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น แสดงท่าทางราวกับคนโง่เขลา หยุดนิ่ง ไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหว
“ช่างน่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว เพิ่งเคยใช้เป็นครั้งแรก แต่ทว่ากลับสามารถใช้มันได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ หลงเฉิน อย่าได้ทำร้ายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายเลยนะ” ลู่ฟางเอ๋อร์ได้เพียงแต่กล่าวพึมพำ
การเยี่ยมชมจิตวิญญาณนั้น เป็นทักษะทางจิตวิญญาณที่ไร้อารยธรรม การใช้อำนาจบีบบังคับดูความทรงจำผู้อื่น สามารถก่อให้เกิดพลังสะท้อนจากความต้านทานที่รุนแรงกลับมา
เห็นได้ชัดว่าพลังจิตวิญญาณของหลงเฉินนั้น ระงับพลังจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้ การที่จะตรวจดูความทรงจำได้ โดยไม่ทำลายจิตวิญญาณของอีกฝ่าย จำเป็นต้องใช้ฝีมือเป็นอย่างมาก ผู้ที่ทำได้ก็นับได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือแล้ว
“ข้าเห็นใบหน้ามากมายที่ต้องตาย ร้องไห้วิงวอน มองเห็นความปรารถณาของชีวิตไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าจบชีวิตพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม เจ้าพูดมาสิ ข้าจะปล่อยเจ้าได้อย่างไรกัน” หลงเฉินส่งเสียงหึในลำคอ ถอนหายใจแรงครั้งหนึ่งอย่างชิงชัง
หลงเฉินต้องการฆ่าคนผู้นี้ให้ตายนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ในสัญชาตญาณของเขาบ่งบอกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนดีมาตั้งแต่ต้น
แต่จะอย่างไร ก่อนตายโจรชั่วช้าผู้นี้ ก็ควรจะได้ทำคุณประโยชน์เอาไว้เสียบ้าง เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าในตัวเขาเล็กน้อย หลงเฉินจึงใช้เขาเป็นตัวทดลอง เพื่อทดสอบดูว่าทักษะทางจิตวิญญาณนั้นมหัศจรรย์จริงหรือไม่
แม้ว่าลู่ฟางเอ๋อจะเคยสอนหลงเฉินไปแล้ว แต่จะอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงวิธีคร่าวๆเท่านั้น ต่างจากการได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริงยิ่งนัก ในขณะที่หลงเฉินสอดส่องจิตวิญญาณของคนผู้นี้ เขาได้เห็นภาพจำนวนมาก
ภาพเหล่านั้น ต่างก็เป็นภาพที่ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นี้ประทับใจมากที่สุด ซึ่งมันทำให้หลงเฉินเห็นสิ่งที่สยดสยองอย่างยิ่ง
“ข้า..ข้า….”
อยู่เหนือขอบเขตผู้น้ันถูกหลงเฉินบีบคอราวกับเป็นเพียงซากสุนัขที่ตายไปแล้ว ขาทั้งสองข้างลอยสูงจากพื้น แม้ประโยคเดียวก็ไม่อาจกล่าวออกมาจนครบ
“อย่า..ข้า.แค่ก..เจ้า..สงบใจลงก่อน..ชีวิต..ชีวิตต่อไปนี้… ข้าจะไม่เลวเยี่ยงนี้อีกแล้ว”
“เจ้าไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้อื่น ผู้อื่นก็ไม่เห็นคุณค่าของเจ้าเช่นกัน ”
“กร๊อบ”
มืออันแข็งแกร่งของหลงเฉิน เพียงแค่ออกแรงเค้นลำคอของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น และใช้เพียงแค่พลังจิตวิญญาณก็จบชีวิตของเขาได้
“ตุบ”
ร่างกายของผู้อยู่เหนือขอบเขตร่วงหล่นลงกับพื้น แววตาทั้งสองข้างยังคงเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว
“หลงเฉินเจ้าคนโอหัง เจ้าลงมือฆ่าผู้บริสุทธิ์อีกแล้ว”
หลงเฉินพึ่งจะปล่อยผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นลง ทันใดนั้นก็มีเสียงตำหนิด้วยความโกรธดังขึ้น หลงเฉินหันกลับไปมองทางต้นเสียง ก็พบกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เดินรายล้อมสาวงามนางหนึ่ง ที่กำลังเดินมุ่งตรงเข้ามา
หญิงสาวผู้นั้น รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงามดั่งภาพวาด ผิวขาวดั่งหิมะ เคลื่อนไหวเบาราวดอกบัวด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งเกินกว่าจะบรรยายได้
ทว่ามุมปากที่เชิดรั้นและท่าทีที่นางแสดงออกมานั้น ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในสายตาทำลายความสุนทรีของนางไปจนสิ้น ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่ควรค่าจะอยู่ในสายตาของนางเลยแม้แต่น้อย
“หมู่ตึกที่หนึ่ง”
หลงเฉินย่นคิ้ว คนเหล่านี้สวมเครื่องแต่งกายของหมู่ตึกที่หนึ่ง ศิษย์สิบกว่าคนส่วนใหญ่ที่รายล้อมหญิงสาวผู้นั้น ต่างก็เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขต
หญิงสาวผู้นั้นถึงแม้ว่า ไม่ได้ระเบิดพลังสภาวะออกมา แต่ว่าตัวของนางนั้นมีความแน่วแน่ที่แข็งแกร่งและมั่นคงอย่างยิ่งยวด เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ
ลู่ฟางเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไปหาหลงเฉิน ในขณะเดียวกันวัวเกล็ดทองก็ฟื้นขึ้นมา มันลุกยืนอย่างระมัดระวังที่ด้านข้างของหลงเฉิน
ลู่ฟางเอ๋อรู้สึกว่าสตรีนางนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ระยะไกลถึงเพียงนี้ ลู่ฟางเอ๋อร์ยังรู้สึกได้ถึงพลังความกดดันสูงยิ่งที่ถูกส่งออกมา จนทำให้นางสูดลมหายใจได้ลำบากยิ่งนัก
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฆ่าเขา และยังล่อลวงสตรีมาอีกด้วย สมชื่อเสียงโจรราคะเสียจริง”
หญิงสาวผู้นั้นเมื่อได้เห็นลู่ฟางเอ๋อและหลงเฉินยืนอยู่ด้วยกันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยเยาะ
หลงเฉินคิ้วขมวดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า
“ที่แท้เจ้าก็คือตัวโง่งมยินหวูซวงงั้นหรือ”
“เจ้าโง่!”
“ไม่อยากมีชีวิตอยู่รึ!”
“เจ้าอยากตายก็พูดออกมาซะ!”
ยินหวูซวงผู้นั้นไม่เอ่ยวาจาออกมาแม้แต่คำเดียว มีแต่เพียงเหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านหลังตะโกนใส่หลงเฉินด้วยความเกรี้ยวกราด
หลงเฉินกวาดสายตามองผู้คนเหล่านั้นอย่างเย็นชา แล้วหยุดสายตาที่ยินหวูซวง พยักหน้าไปมา แล้วกล่าว
“ข้ากับเจ้าไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นกัน แต่เจ้ากลับให้ร้ายข้า ข้าอยากรู้นักว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
ยินหวูซวงสีหน้าเปลี่ยนไป ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงชั่วพริบตาความไม่แยแสของเธอก็กลับคืนมา ยิ้มเยือกเย็นแล้วกล่าว
“เจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะใส่ร้ายข้ายินหวูซวง น่าหัวเราะยิ่งนัก เจ้าเข้าใจว่าตัวเองนั้นสูงส่งมากนักงั้นหรือ สำหรับโจรราคะชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร”
“เจ้าพึ่งพาตัวเองเถอะ ทำเป็นพูดดีไป แล้วก็อย่าได้มาเสียใจเมื่อเวลานั้นมาถึง”
หลงเฉินคร้านจะต่อปากต่อคำกับสตรี หญิงสาวผู้นี้แข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังมีผู้อยู่เหนือขอบเขตกว่าสิบคนนั้นอีก หากเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา เขายากที่จะดูแลลู่ฟางเอ๋อได้ จึงต้องกันนางออกไปให้ไกล
“ไปซะ เจ้าพันธุ์ผสม คุณหนูของข้าให้เจ้าไปได้แล้ว” ในหมู่ศิษย์ที่อยู่ด้านหลังของยินหวูซวง มีชายผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลงเฉินนั้นเดิมทีกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำ หน้าตาท่าทางเขาเปลี่ยนไป ดูดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบ