หลังจากที่ฟ่งเซียวจื่อจากไปแล้ว คนทั้งสี่ก็หันมาสบสายตากันอย่างพร้อมเพรียง และในที่สุด ก็เป็นหลงเฉินก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น สามสาวเองก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“หลงเฉิน เจ้าก็ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว” ลู่ฟางเอ๋ออดไม่ได้ ดุออกไปอย่างไม่จริงจังนัก
ก่อนหน้านี้นางเองก็ไม่เข้าใจในการกระทำของหลงเฉินแม้แต่น้อย หลงเชื่อไปตามงิ้วที่เขาแสดงอยู่นาน เมื่อเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องใช้เวลาขบคิดอยู่อีกเกือบครึ่งก้านธูปจึงพึ่งจะเข้าใจขึ้นมาได้
“แต่ว่าคนเลวร้ายเช่นนั้น ก็สมควรแล้ว ที่จะใช้วิธีนี้จัดการกับเขา” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ เราเลิกกล่าวถึงคนผู้นั้นกันเถอะ” ม่งฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แล้วหันไปเอ่ยวาจากับฉู่เหยา “เหยาเม่ย พวกเราทำเพื่อเจ้านะ เจ้าไปเก็บแกนไม้ของพฤกษาเจ็ดดวงใจต้นนั้นเถอะ”
เมื่อฉู่เหยาได้ฟังก็พยักหน้ารับคำในทันที ก่อนหน้านี้ ที่นางไม่สามารถเก็บแกนต้นไม้ได้นั้น เนื่องจากขั้นตอนการจัดเก็บมีความยุ่งยากซับซ้อน ต้องใช้สมาธิสูง อีกทั้งยังเสียเวลาเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ เมื่อมีหลงเฉินและคนอื่นๆอยู่ด้วยแล้ว ก็ทำให้ฉู่เหยาเบาใจขึ้นมาได้ ในที่สุดก็สามารถเก็บแกนต้นไม้ได้อย่างโล่งใจได้เสียที ฉู่เหยาเดินมาหยุดอยู่หน้าพฤกษาเจ็ดดวงใจ ยื่นมือออกมา พลิกฝ่ามือประทับที่อก ไหลเวียนพลังออกมาจากร่างกาย ฉับพลันนั้นเองก็ปรากฎกิ่งก้านของต้นไม้จำนวนมากผุดขึ้นมาจากพื้น
หลงเฉินและหญิงสาวอีกสองคนไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะจากไปแล้ว แต่ทว่าก็ยังหลงเหลือพวกที่ซ่อนตัวอยู่อีกจำนวนหนึ่ง คนเหล่านี้จะทำทีกลับออกไปอย่างเต็มใจ ทว่าเมื่อลับสายตาแล้วก็รีบหาที่ซ่อน แอบซุ่ม จับตาดูการกระทำของพวกเขาอยู่ห่างๆ และในกลุ่มคนพวกนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยที่ต้องการแย่งชิงสมบัติล้ำค่าอย่างแกนพฤกษาเจ็ดดวงใจ
แต่ทว่า เนื่องจากมีหลงเฉินคอยคุ้มกันอยู่ ทำให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้น ไม่อาจหาญกระทำการลงมือใดใดต่อฉู่เหยาได้ จนท้ายที่สุดก็ยอมล้มเลิกความคิด แล้วทยอยเดินจากไปทีละน้อย
หลงเฉินเองนั้นรู้สึกได้ว่า ในหมู่ผู้ไม่หวังดีนั้นมีผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้หนึ่งแฝงตัวอยู่ด้วย เขาสัมผัสได้ถึงพลังแรงกดดันที่ค่อนข้างหนักหน่วงชนิดหนึ่งถูกส่งออกมา และมันมุ่งหมายมาที่ตัวเขาโดยตรง
ถึงตอนนี้หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ผู้มีพรสวรรค์จำนวนไม่น้อยเข้ามายังเขตแดนลับนพเก้าแห่งนี้ และทุกคนต่างล้วนต้องการเก็บเกี่ยวสมบัติล้ำค่ากลับไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้นสำหรับผู้ครอบครองสมบัติล้ำค่า การถูกดักซุ่มโจมตีหรือลอบสังหารเพื่อแย่งชิงสมบัตินั้น ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นนี้แล้วเขาจึงต้องระแวดระวังภัยตลอดเวลา ไม่สามารถวางใจในสิ่งใดได้ทั้งนั้น
“ตูม”
กิ่งก้านไม้ที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าได้สลายหายไป ในเวลานี้ใบหน้านวลของหญิงสาวประดับด้วยรอยยิ้มหวาน ดวงตาคู่งามเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“ได้แกนต้นไม้มาแล้ว”
ฉู่เหยายื่นมือออกไป บนมือขาวผ่องได้ปรากฎชิ้นไม้เล็กๆขึ้นมา สีของมันขาวราวกับหยก รูปร่างและขนาดคล้ายกับหัวใจของมนุษย์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต
“นี่คือแกนต้นไม้อย่างนั้นหรือ? คล้ายหัวใจของมนุษย์ยิ่งนัก แต่ก็เล็กกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากทีเดียว” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวพร้อมกับมองดูแกนต้นไม้นั้น ใบหน้าทอแววประหลาดใจ
“แท้จริงแล้วแกนต้นไม้ควรจะมีขนาดใหญ่มากกว่านี้ โดยทั่วไปจะมีขนาดเท่าโม่หิน แต่ว่าแกนไม้ชิ้นนี้เป็นแกนต้นไม้ในระดับขั้นสูงสุด ต้นไม้โบราณชนิดอื่น เมื่อล้มตายไปแล้ว พลังชีวิตและพลังวิญญาณทั้งหมดจะถูกรวมเข้าไว้ในแกนไม้ของมัน เพื่อรอเวลาที่จะเกิดใหม่อีกครั้ง แต่จิตวิญญาณของพฤกษาเจ็ดดวงใจ ไม่เหมือนกับต้นไม้อื่นๆ
แกนของมันมีถึงเจ็ดแกน ในขณะที่มันค่อยๆเติบโตขึ้นพลังชีวิตก็จะถูกสะสมเพิ่มมากขึ้น และเมื่อมันเติบโตเต็มที่แกนกลางทั้งเจ็ดก็จะมีพลังที่เต็มเปี่ยม ในตอนนั้นแม้ภายนอกจะดูเหมือนยืนต้นตาย แต่ภายในจะเริ่มเกิดการบ่มเพาะ บีบอัดพลังมหาศาล แกนไม้หกชิ้นที่ไม่สามารถทนทานได้จะสลายหายไป เหลือเพียงแกนสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พลังของแกนที่สลายไปทั้งหกก็ยังคงอยู่และจะถูกบีบอัดลงไปในแกนไม้ที่เหลืออยู่
ทำให้แกนต้นไม้ชิ้นสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความบริสุทธิ์ทั้งหมดของแกนต้นไม้ทั้งเจ็ดแกน และจะผ่านการสะสมบ่มเพาะอีกเป็นเวลายาวนาน หลังจากที่เก็บสะสมพลังอย่างเต็มที่จนถึงจุดอิ่มตัว มันจะเริ่มต้นการเกิดใหม่ ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้ของต้นพฤกษาเจ็ดดวงใจต้นนี้ ในตอนนี้พลังของมันถูกบีบอัดถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นมันจึงมีขนาดเล็กอย่างที่เห็น เช่นนี้” ฉู่เหยาอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยแววแห่งความสุขและตื่นเต้น
“ดีใจกับเม่ยเม่ยด้วยนะ นับว่าเจ้าได้รับสมบัติล้ำค่าแล้ว หลังจากนี้การฝึกยุทธ์ของเจ้าก็จะก้าวหน้าไปได้ไกลพันลี้แล้วล่ะ” ม่งฉีอดไม่ได้ที่ยิ้มตาม แล้วกล่าวกับฉู่เหยาอย่างยินดี
“ขอบใจท่านมาก ม่งฉีเจี่ยเจีย” ฉู่เหยายิ้มรับด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“เหว่ยเหว่ยเหว่ย เป็นข้าต่างหากที่ออกแรงมากที่สุด ฉู่เหยาเจ้านี่ ไม่เห็นความดีความชอบข้าเลยนะ” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เขาแสดงท่าทางราวกับไม่ได้รับความยุติธรรมในครั้งนี้ หญิงสาวทั้งสามเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา แม้จะรู้ว่าหลงเฉินตั้งใจเอ่ยวาจาหยอกล้อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน
“ไปเถอะ พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะ ที่นี่มีคนแอบเฝ้าดูพวกเราอยู่มากมาย ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย” ม่งฉีขมวดคิ้ว
หลงเฉินได้ฟังก็ลอบตื่นตะลึงขึ้นมา เมื่อเขาใช้พลังแห่งจิตวิญญาณสำรวจพื้นที่รอบบริเวณ ก็พบว่ายังคงมีคนกลุ่มหนึ่งแอบเฝ้าดูพวกเขาอยู่ในจุดที่ไกลออกไปเพียงไม่กี่ลี้
ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของม่งฉี ทำให้นางเองรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดนี้และกล่าวออกมา สมกับที่ได้รับการฝึกปรือจากหมู่ตึกจิตรวายุ พลังแห่งจิตวิญญาณช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะม่งฉีเอ่ยเตือนขึ้นมา เขาเองก็คงจะไม่สนใจและลืมเลือนคนพวกนั้นไปแล้ว
“โบร๋วโบร๋ว” ทันใดนั้นเสี่ยวเสว่ยก็เดินเข้ามาหาม่งฉีและส่งเสียงเรียกเบาๆ
“เจ้าบอกว่าเจ้าจำกลิ่นของข้าได้อย่างนั้นหรือ?” ม่งฉีเอ่ยถามเสี่ยวเสว่ยด้วยท่าทีตกใจ
หลงเฉินเองก็ตกใจเช่นกันที่เห็นว่าม่งฉีสามารถอ่านความคิดเสี่ยวเสว่ยได้ นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาได้พบว่านอกจากตัวเขาแล้วยังมีผู้ที่สามารถสื่อสารทางจิตวิญญาณกับเสี่ยวเสว่ยได้
จิตวิญญาณของหลงเฉินและเสี่ยวเสว่ยนั้นเชื่อมต่อกัน มีความผูกพันที่แน่นแฟ้นมากจึงสามารถสื่อสารกันด้วยจิตวิญญาณได้ ทว่าม่งฉีนั้น นางกับเสี่ยวเสว่ยที่พึ่งจะได้พบเจอกัน แต่กลับสามารถสื่อสารทางจิตวิญญาณกับเสี่ยวเสว่ยได้ นี่นับเป็นระดับเทพเซียนเลยก็ว่าได้
“ไอ้หยา เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ หมาป่าหิมะแดงเพลิงที่เจ้ามอบให้หลงเฉินไว้ ตัวนั้นอย่างไรเล่า” ลู่ฟางเอ๋อกล่าว
“เป็นเจ้าหรือ ? ”
ม่งฉีมองเสี่ยวเสว่ยด้วยใบหน้าแปลกใจ พลางจับจ้องไปยังจุดบนหน้าผากเหนือหัวคิ้วของเสี่ยวเสว่ยก็พบขนปุยสีแดงเข้ม ม่งฉีจ้องมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเสี่ยวเสว่ย จึงทำให้เห็นตัวตนของมัน
หลังจากที่เสี่ยวเสว่ยเพิ่มระดับเข้าสู่ขั้นที่สี่แล้ว ร่างกายก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รูปลักษณ์ของมันในตอนนี้แตกต่างไปจากหมาป่าหิมะแดงเพลิงโดยสิ้นเชิง นั่นเองทำให้ในตอนแรกม่งฉีมองไม่ออกว่าเสี่ยวเสว่ยคือหมาป่าหิมะสีแดงเพลิงตัวนั้น ที่เคยมอบให้แก่หลงเฉิน
“เหอะเหอะ เอาล่ะๆ ให้เสี่ยวเสว่ยพาพวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ” หลงเฉินกระโดดขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวเสว่ย แล้วรับตัวหญิงสาวทั้งสามคนขึ้นมา หลังจากนั้นทั้งหมดก็เดินทางออกไปจากที่แห่งนั้น
หลังจากที่หลงเฉินและคนอื่นๆได้ออกไปแล้วนั้น ผู้คนที่ซ่อนตัวแอบมองพวกเขาอยู่ก็ทยอยหายไป และหลังจากนั้นไม่นาน หยกบันทึกภาพการต่อสู้อันดุเดือดของหลงเฉินและยินหวูซวงก็ปรากฎขึ้น ภาพนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากภาพการต่อสู้อันดุเดือดของหลงเฉินที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ถูกเผยแพร่ออกมา ศิษย์ทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมที่ได้เห็นต่างตกตะลึงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของหลงเฉินก็ยิ่งเป็นที่เลื่องลือมากขึ้นไปอีก
ทว่าชื่อเสียงของหลงเฉินในตอนนี้ กลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้ยิ่งนัก การต่อสู้ของหลงเฉินกับยินหวู่ซวงนั้น ในท้ายที่สุดแล้วหากยินหวูซวงไม่ใช้ยันต์เคลื่อนย้าย ก็คงจะถูกหลงเฉินฆ่าตายไปแล้ว
พลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของหลงเฉินนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เรียกวงแหวนแห่งเทพออกมาช่วยเสริม เมื่อเขาได้ปะทะกับยอดฝีมืออย่างยินหวูซวง พลังแรงกดดันที่ส่งออกมา และอานุภาพการปะทะกันก็สามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงได้
ยินหวูซวงนั้น หลังจากที่ได้เห็นภาพที่ถูกเผยแพร่ออกมานั้นจนจบ ในดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความอาฆาต กัดฟันแน่น ในสมองจดบัญชีความแค้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยินหวูซวงมาจากตระกูลโบราณ ที่สำคัญนางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงมาก เมื่อรวมเข้ากับพลังทางสายเลือดของตระกูลและสมบัติล้ำค่าที่นางพกติดตัว คงจะไม่มีใครที่ไม่ตกตะลึงกับความพ่ายแพ้ของนางเป็นแน่
หลังจากได้รับการยืนยันข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนที่ได้รับรู้ก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าแม้ว่าจะถูกพลังสะท้อนจากดาบยาวนั้น อีกทั้งดาบนั้นยังอยู่ในมือของคนที่แข็งแกร่งอย่างยินหวู่ซวง หลงเฉินก็ยังสามารถโจมตีนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังฟาดฟันดาบนั้นจนหักได้อีกด้วย พลังฝีมือเช่นนี้ ก็ช่างน่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มรับรู้ข่าวที่ว่า ก่อนหน้านี้หลงเฉินได้สังหารยอดฝีมืออันดับสองของฝ่ายอธรรมไปแล้ว ข่าวนี้ยิ่งทำให้คนตกตะลึงและหวาดผวาเข้าไปอีก
ในเวลานี้ผู้คนมากมายเปรียบหลงเฉินให้เทียบเท่ากับหานเทียนหวู่ หยินหลอ และม่อเนี่ยน ในเวลานี้ชื่อเสียงเสียหายของหลงเฉินในสายตาผู้คนก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆถูกลบเลือนไป กลายเป็นภาพจำของหลงเฉินที่มีพลังอันแข็งแกร่งในตอนนี้แทน
เดิมทีภาพนั้น ก็ไม่มีที่มาที่ไปและเต็มไปด้วยจุดที่น่าสงสัยอยู่แล้ว และเมื่อภาพของการต่อสู่ระหว่างหลงเฉินกับยินหวูซวงปรากฎขึ้น ซึ่งภาพนั้นก็ไม่ได้รับการปกปิดใดๆ ผู้คนก็ยิ่งมั่นใจว่า ก่อนหน้านี้คงมีผู้ที่ต้องการจะใส่ร้ายหลงเฉินอย่างแน่นอน
ในที่สุดผู้คนก็ค้นพบแล้วว่า แท้จริงแล้วมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง คอยคิดหาทางใส่ร้าย เอาเรื่องเน่าเหม็นมาใส่ความหลงเฉิน และถึงกับมีข่าวลือว่ามีคนฉลาดได้รับเบาะแสว่า ยินหวูซวงนั้นเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นภาพการปะทะกันของหลงเฉินและยินหวูซวงนั้นแล้ว ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าข่าวลือนั้นจะเป็นความจริง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกจากจะไม่ได้ปกปิดแล้วยังมีการนำไปประกาศให้ผู้คนรับรู้จนทั่ว ในฝ่ายธรรมะนั้น เมื่อเรื่องราวอื้อฉาวถูกเปิดเผย เล่าลือออกไป ก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ผู้หนึ่งผู้ใดรู้อีกหลายคนก็จะได้รับรู้ด้วย จนรับรู้กันทั้งหมดในเวลาไม่นาน นี่แทบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของฝ่ายธรรมะไปแล้ว แต่ก็นับเป็นข้อดี ผู้ปล่อยข่าวนั้นหลังจากกระจายข่าวไปแล้ว ก็อยู่เงียบๆอย่าสง่างามราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับรอดูชมความวุ่นวายและความคึกคักรอบนอกที่จะตามมา
การต่อสู้ของหลงเฉินในครั้งนั้น ไม่เพียงแต่เอาชนะยินหวูซวงได้แล้ว ยังทำให้ตัวเขามีชื่อเสียงในทางที่ดีขึ้นมาได้อีกด้วย แต่ทว่าสำหรับผู้ที่เผยแพร่ข่าวนั้น กลับไม่ได้ช่วยเผยแพร่ออกไปเพราะความใจดีเช่นนั้น พวกเขาเผยแพร่ภาพการต่อสู้นั้นเพียงเพราะอยากจะทราบว่าแท้จริงแล้วมีบุคคลใดบ้างที่เป็นฝ่ายที่ต่อต้านหลงเฉิน และอยากทราบว่าผลสุดท้ายพวกเขาจะจบความบาดหมางนี้อย่างไร
ทว่าหลงเฉินนั้นไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของโลกภายนอก หลังจากที่ได้พาหญิงสาวทั้งสามออกมาจากหุบเขาแล้ว ก็เสาะหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักผ่อน พร้อมกับเริ่มต้นบทสนทนาเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของตนเอง
ฉู่เหยาอ้างว่า ตนต้องการจะไปศึกษาแกนต้นไม้ที่ได้รับมาอย่างละเอียด ลู่ฟางเอ๋อเองก็หาเหตุผลออกไปจากวงสนทนานั้นเช่นกัน เหลือไว้แค่หลงเฉินและม่งฉีเพียงสองคน
เมื่ออยู่กันสองต่อสองกับหลงเฉิน ม่งฉีก็อดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้านวลขึ้นสีแดงระเรื่อ คนทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ ต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาออกมา หลงเฉินเองก็เอาแต่นั่งเหม่อมองม่งฉีอย่างเคลิบเคลิ้ม
การกระทำเช่นนั้นของหลงเฉิน ยิ่งทำให้ม่งฉีหน้าแดงมากขึ้นอีก ในที่สุดนางก็เอ่ยวาจาออกมาว่า “เหตุใดต้องจ้องหน้าข้าถึงเพียงนั้น”
“ก็เจ้างดงาม ที่ผ่านมาข้าทำได้แต่เพียงพบเจอเจ้าในความฝัน แต่หลังจากที่ตื่นจากฝันแล้วทุกอย่างก็หายไป ครั้งนี้ข้าได้เจอตัวจริงของเจ้าแล้วกลับรู้สึกเสมือนข้ากำลังฝันไป เอ๊ะ หรือว่าตอนนี้ข้ากำลังฝันไปจริงๆ” หลงเฉินถอนหายใจพร้อมเอ่ยวาจา ในเวลานี้เขาไม่สามารถควบคุมหัวใจที่เต้นตูมตามอย่างบ้าคลั่งของเขาได้เลย
ทว่าเมื่อกล่าวจบแล้ว พลันใบหน้าของหลงเฉินก็ปรากฎแววกังวลขึ้นมา เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า หากเกิดฟ้าผ่าลงมาตอนนี้ ก็จะได้เตรียมตัวรับมือได้ทัน
ครั้งหนึ่ง หลงเฉินเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่กล่าวกันว่า หากว่ากล่าววาจาโป้ปดออกไป จะต้องถูกสวรรค์ส่งอัสนีมาลงทัณฑ์ ดังนั้นเขาจึงกลัวฟ้าจะผ่าลงมา
ผู้ที่สละร่างกายเพื่อการฝึกปรือ แทบไม่มีแม้แต่เวลานอน เช่นนั้นแล้วจะเอาเวลาที่ใดไปฝัน แต่ว่าหลงเฉินนั้นอยากจะแสดงถึงความรู้สึกภายในใจของเขาให้ม่งฉีได้รับรู้ จึงอดไม่ได้ที่จะแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อ สื่อถึงความรู้สึกของเขาให้ม่งฉีได้รับรู้
“ขอบใจมากนะ” ดวงตาคู่งามของม่งฉีในตอนนี้เต็มไปด้วยความเขินอาย นางก้มหน้ามองพื้น แล้วตอบกลับไปเสียงแผ่วเบา
“ข้าสิที่ควรจะขอบคุณเจ้า การปรากฎตัวของเจ้า ทำให้ชีวิตของข้ามองเห็นแสงสว่าง ได้พบเจอกับเส้นทางที่ต้องมุ่งมั่นก้าวเดิน เพราะความสว่างของเจ้านั้น ถึงช่วยให้ข้าเติบโตได้มากถึงเพียงนี้!” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจัง
“เพี๊ยะ”
ทันใดนั้นม่งฉีก็ยื่นมือออกมาตีที่ไหล่ของหลงเฉินอย่างไม่จริงจังนัก พร้อมกับหลุดขำออกมา “เจ้าคนหลอกลวง อะไรจะขนาดนั้นกัน เจ้าเองก็ชอบไปหลอกเหยาเม่ยเช่นนี้ใช่หรือไม่”
‘แย่ล่ะ เผยพิรุธออกไปแล้ว’ หลงเฉินคิดขึ้นมาในใจ
แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นม่งฉี ส่งยิ้มสดใสราวกับดอกไม้ที่ผลิบานกลับมา ก็รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกหลิวเหม่ย รอยยิ้มนั้นทำให้หลงเฉินตกตะลึงอยู่ในห้วงแห่งความงามนั้น จนลืมเลือกเรื่องที่เขาจะกล่าวไปจนหมดสิ้น
เห็นหลงเฉินมองม่งฉีด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มอีกครั้ง จนทำให้นางสะท้านอาย แต่ก็รู้สึกอบอุ่น ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลเข้ามาสู่หัวใจ
แม้ว่าสายตาของหลงเฉินนั้นก็จะเหม่อลอย แต่ว่าภายในแววตากลับเป็นประกายสดใสราวกับหยดน้ำค้าง ต่างจากสายตาของผู้อื่นที่จ้องมองนาง ถูกเขามองเช่นนี้ ไม่ได้ก่อโทสะขึ้นในใจของม่งฉีแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นความรู้สึกยินดีเข้ามาแทนที่
“เจ้าช่างงดงามจริงๆ”
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะละเมอเพ้อพก เอ่ยชมความงามของม่งฉี
ตอนที่มองเห็นรอยยิ้มของหญิงสาว ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าอยู่บนสรวงสวรรค์ แม้แต่จิตวิญญาณก็แทบจะปลิดปลิวออกไปจากร่างกาย ความงามเช่นนี้ถือเป็น ที่สุดของความงดงามเลยก็ว่าได้
“ม่งฉี หลังจากนี้เจ้ายิ้มมากขึ้นอีกได้หรือไม่ เวลาเจ้ายิ้มช่างงดงามเหลือเกิน” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือม่งฉีไว้
มือเรียวของม่งฉีที่ถูกหลงเฉินกุมอยู่นั้น สั่นสะท้านขึ้นมาทั้นที เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหลงเฉินแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากขึ้นอีก จึงส่งเสียมตอบรับอย่างแผ่วเบาออกมา
ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ทำให้ม่งฉีตกใจรีบดึงมือออกจากมือของหลงเฉินทันที
หลงเฉินที่พึ่งได้จับมือของม่งฉี ยังไม่ทันได้รับรู้ถึงความรู้สึกอ่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นของนาง ก็ถูกเสียงฝีเท้านั้นแทรกขึ้นมา เขาอดที่จะรู้สึกเคืองขึ้นมาไม่ได้
ในขณะที่ตั้งใจจะหมุนตัวกลับไปด่าทอคนผู้นั้นด้วยความโกรธเคือง ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป