หลงเฉินรับรู้ได้ว่าพลังลมปราณของผู้ที่มาถึงนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ทว่าไม่นานก็ค่อยๆแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนผิดปกติ ที่น่าตื่นตะลึงก็คือบุคคลผู้นี้คือผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศคนหนึ่ง และที่ทำให้ทั้งหลงเฉินและม่งฉีตื่นตกใจมากขึ้นไปอีกคือคนผู้นี้สวมชุดของศิษย์ฝ่ายธรรมะ ในดวงตาทั้งคู่นั้นไร้ซึ่งวิญญาณไปแล้ว ลมปราณปั่นป่วนและพลังสภาวะของเขานั้นกำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็ว
บนใบหน้าของยอดฝีมือผู้นี้เต็มไปด้วยความสับสนและความหวาดกลัว วิ่งหนีมาอย่างหมดท่า แท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีทิศทางที่จะมุ่งไป เพียงแต่วิ่งสะเปะสะปะมาทางที่หลงเฉินและม่งฉีนั่งอยู่
“ตึง”
ทันใดนั้น ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้นั้นก็ล้มลงกับพื้นในจุดที่ห่างจากหลงเฉินและม่งฉีเพียงสิบกว่าจั่ง คนทั้งสองจึงวิ่งเข้าไปดูอย่างเร่งรีบ
“ข้าเอง”
เมื่อเห็นม่งฉีกำลังยื่นมือออกไป หลงเฉินก็รีบห้ามปราบนางไว้ เขาเข้าไปนั่งอยู่ข้างร่างนั้น สำรวจดูร่างกายนั้นและบริเวณโดยรอบ เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติที่เป็นอันตราย เขาก็รีบพลิกตัวคนผู้นั้นกลับมา
“ตื่นตื่น เกิดอะไรขึ้น”
“อธรรม……ฝ่ายอ….” ยอดฝีมือผู้นั้นเบิกตาขึ้นมา พยายามอ้าปากอย่างยากลำบาก เพื่อตอบคำถามของหลงเฉิน แต่ทว่าในขณะนี้พลังในร่างกายของเขาแทบไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ทันทีที่พลิกตัวคนผู้นั้นกลับมา หลงเฉินก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าทั่วทั้งร่างกายของคนผู้นี้นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยถูกทำร้าย อวัยวะภายในทุกส่วนแหลกละเอียด
กล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บมากถึงเพียงนี้ เขาไม่ควรที่จะมีเรี่ยวแรงวิ่งหนีออกมาได้อีก ไม่ทราบว่า เป็นเพราะเคล็ดวิชาลับใด จึงช่วยให้เขาสามารถหลบหนีออกมาได้ไกลถึงเพียงนี้
“เกิดอะไรขึ้น” หลงเฉินใช้พลังแห่งจิตวิญญาณ แทรกเข้าไปภายในร่างกายของคนผู้นั้น ในที่สุดเขาก็ค้นพบจิตวิญญาณอันริบหรี่ซ่อนตัวอยู่ เขาใช้พลังของตนเขาพยุงจิตวิญญาณนั้นไว้ แล้วรีบถามไถ่
ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้นั้น เมื่อได้พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินช่วยประคับประคอง จึงสามารถฟื้นคืนพลังขึ้นมาได้เล็กน้อย ในที่สุดก็สามารถเอ่ยวาจาออกมาเป็นคำได้ “ฝ่ายอธรรม….หยินหลอ….ฆ่าคน….ชิงสม…….”
“ฆ่าคนที่ใด ?” หลงเฉินรีบถาม
แต่ยังไม่ทันที่คนผู้นั้นจะได้เอ่ยคำใดต่อจากนั้นอีก ร่างกายที่แหลกเละนั้นก็ทรุดลงไป พลังทั้งหมดดับสูญ ยอดฝีมือผู้นั้นหมดลมหายใจไปในทันที
“เส้นลมปราณแหลกทั้งร่างกาย กระดูกเกือบทั้งหมดแตกหัก นี่ดูราวกับว่าถูกกลุ่มคนรุมโจมตีมา” หลงเฉินหน้าเปลี่ยนสี เขากล่าวออกมา
“ผู้ลงมือคงจะแข็งแกร่งมาก ถึงได้ทำให้เกิดผลรุนแรงเช่นนี้ หากมาเป็นกลุ่มก็ไม่น่าแปลกใจคงจะฆ่ายอดฝีมือระดับสูงได้ในพริบตาเดียว แต่หากเป็นฝีมือของคนผู้เดียวก็น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว” ม่งฉีตกตะลึง จากนั้นใบหน้างามก็ค่อยๆซีดลง ผู้ลงมือสังหารยอดฝีมือผู้นี้ นับว่าน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง “เมื่อครู่เขากล่าวถึงหยินหลอ หรือว่าจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรมผู้นั้นน่ะหรือ ?”
หลงเฉินพยักหน้า พร้อมกับวางร่างของคนผู้นั้นลงและกล่าวต่อว่า “ข้าคิดว่าใช่นะ นอกจากพลังแห่งขอบเขตก่อฟ้าของหยินหลอแล้ว ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า จะมีพลังอะไรที่สามารถทำให้ร่างกายของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศระดับสูงแหลกละเอียดได้ถึงถึงเพียงนี้”
เจ้าตัวบัดซบหยินหลอนั่น ดูเหมือนว่าในเวลานี้ พลังแห่งขอบเขตขั้นก่อฟ้าคงจะพัฒนาขึ้นไปอีกระดับนึงแล้ว ผ่านไปไม่นานแต่กลับยิ่งมีพลังการฝึกปรือที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หยินหลอนั่น ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ตอนนี้เขาคงจะใช้พลังจากโลหิตก่อฟ้าได้อย่างชำนาญแล้วเป็นแน่
ในตอนนั้นเองฉู่เหยาและลู่ฟางเอ๋อก็มาถึง พวกนางได้ยินเสียงของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้นั้นเช่นกันจึงรีบเร่งกลับมาหา เมื่อได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น บนใบหน้านวลก็ซีดลงไปหลายส่วน สิ่งที่น่าตื่นตระหนกมากที่สุดก็คือ ในยามนี้หยินหลอสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรมนั้นปรากฎตัวอยู่ไม่ไกล และข้อเท็จจริงอันน่าหวาดหวั่นนี้ก็ทำให้พวกนางเกิดความกดดันหนักหน่วงขึ้นมา ยินหวูซวงเพียงผู้เดียวก็น่าหวาดกลัวเพียงพอแล้ว ยังมียอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรม ที่ชื่อหยินหลอผู้นั้น อีกทั้งหานเทียนหวู่สุดยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งนั่นอีก แทบจะเรียกได้ว่ากำลังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูก็ว่าได้
“พวกเราควรจะทำอย่างไรดี ? หนีออกไปจากที่นี่ดีหรือไม่ ? ” ลู่ฟางเอ๋อเอ่ยถาม ด้วยท่าทีที่เป็นกังวล
“ไม่มีทาง ศิษย์ฝ่ายธรรมะอย่างข้า ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องล้างแค้นคนผู้นั้นให้จงได้” หลงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่น
ม่งฉีและลู่ฟางเอ๋อนิ่งชะงักไป พวกนางไม่คาดคิดว่าหลงเฉินจะเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ ทว่าในที่สุดม่งฉีก็ตัดสินใจ กล่าววาจาโน้มน้าวหลงเฉิน “หลงเฉิน ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่ตายไปแล้วผู้นั้นกับพวกเราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน…….”
“ม่งฉีเจี่ยเจีย ท่านหลงกลแล้วล่ะ หลงเฉินไม่ได้เป็นคนดีถึงเพียงนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะแก้แค้นแทนคนผู้นั้นหรอกนะ เพียงแต่ต้องการจะฆ่าเพื่อชิงสมบัติเท่านั้น ท่านอย่าได้กังวลไปเลย” ฉู่เหยากุมมือม่งฉี กล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“แค่กแค่ก ไม่เห็นต้องพูดตรงถึงเพียงนั้นเลย ไปคิดบัญชีกับเจ้านั่น ก็เหมือนกับเขาให้เบาะแสของสมบัติแก่ข้าเท่านั้นเอง” หลงเฉินพูดด้วยความเคอะเขิน
หลงเฉินอยากจะฆ่าเพื่อชิงสมบัติ แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้น เป็นถึงหยินหลอยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฝ่ายอธรรม การเลือกที่จะกระทำเช่นนี้กับคนระดับนั้นก็นับว่าบ้ามากเกินไปแล้ว
“หลงเฉิน เจ้ามั่นใจจริงๆหรือ ?” ม่งฉีเอ่ยถามออกมา ลู่ฟางเอ๋อเองก็จ้องมองหลงเฉินด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
“เจี่ยเจียทั้งสอง ท่านอาจจะยังไม่รู้ หลงเฉินและหยินหลอเคยพบเจอกันมาก่อน ก่อนที่จะเข้ามายังขอบเขตนพเก้านั้น พวกเขาได้เผชิญหน้ากันในระหว่างศึกครั่งใหญ่ของฝ่ายธรรมะและอธรรม หยินหลอผู้นั้นไม่รู้ว่า เพราะเหตุใดจึงได้ถูกจัดแบ่งออกมาอยู่ในพื้นที่การต่อสู้ของหลงเฉิน ผลในท้ายที่สุด ก็คือเขาถูกหลงเฉินตัดขาไปข้างหนึ่ง” ฉู่เหยาบอกพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือ ? ” ม่งฉีและลู่ฟางเอ๋อเอ่ยถามออกมาพร้อมกัน บนใบหน้าแสดงอาการตกตะลึง เรื่องเช่นนี้ ช่างยากยิ่งนักที่จะเชื่อถือ
ฉู่เหยาเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มต้นให้หญิงสาวทั้งสองฟัง เมื่อได้ทั้งหมดฟังจนจบแล้วก็ต้องตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก คาดคิดไม่ถึงเลยว่า หลงเฉินที่พวกนางรู้จักจะกลายเป็นบุคคลที่น่าหวาดกลัวได้มากมายเช่นนี้ ในคราแรกที่ได้พบเจอหลงเฉิน เขาเป็นเพียงเด็กน้อยในขอบเขตก่อรวมระดับสามเท่านั้น ทว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ปีกว่าเท่านั้น หลงเฉินกลับสามารถผสานพลังกับยอดฝีมือระดับสูงอย่างม่อเนี่ยน ในการต่อกรกับหยินหลอสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งนั่นได้แล้ว
“เรื่องครั้งนั้น ข้าไม่นับหรอกนะ ในตอนนั้นมีฉู่เหยาและม่อเนี่ยนคอยช่วยอยู่ หากเป็นข้าคนเดียวก็คงจะถูกหยินหลอฆ่าตายด้วยมือเปล่าไปแล้ว แม้มีพันชีวิตก็คงไม่พอ” หลงเฉินเอ่ยพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ตัวเขาเองกลับไม่คิดว่าการสู้ในครั้งนั้นยอดเยี่ยมแต่อย่างใด ชัยชนะนั่นเป็นเพราะมีทุกคนคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ ไม่ได้เกิดพลังฝีมือทั้งหมดของเขา
ม่งฉีส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม “ไม่ต่างกันหรอกนะ ในตอนนั้นเจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตก่อโลหิตระดับตอนปลาย แต่หยินหลอเป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว พวกเจ้าทั้งสองมีระดับต่างกันมาก แต่เจ้าก็เอาชนะเขาได้ หลงเฉินเจ้าน่ะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะ” แม้ว่าจะเคยได้รับคำชื่นชมมาจากผู้คนมากมาย แต่หลงเฉินก็ไม่เคยรู้สึกดีใจกับคำสรรเสิญเยินยอของผู้ใดมาก่อน แต่กับม่งฉีแล้ว เพียงได้ยินนางเอ่ยชื่นชมเช่นนั้น เขากลับรู้สึกเกิดความภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมากขึ้นมาทันที
ทว่าหลงเฉินก็ยังคงส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “หยินหลอ มีพลังที่แข็งแกร่งมาก ตอนที่พึ่งจะเข้ามายังขอบเขตแดนลับ ข้าถูกเขาไล่ฆ่าอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นข้าเองก็เกือบจะตายอยู่ในเงื้อมมือของเจ้านั่นแล้ว”
หลงเฉินเล่าเรื่องที่ตนเองถูกหยินหลอไล่ล่าตามฆ่า ให้หญิงสาวทั้งสามนางฟัง เมื่อเล่าจบเขาก็กล่าวออกมาว่า “หยินหลอในตอนนั้น มีพลังแห่งขอบเขตก่อฟ้า และในตอนนี้พลังของหยินหลอคงจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
ส่วนที่หยินหยอเปลี่ยนแปลงไป และทำให้เขากลายเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวได้มากที่สุดก็คือ ในเวลานี้เขาได้หลอมเข้ากับโลหิตบริสุทธ์ก่อฟ้าแล้ว และก็มีความสามารถในการเรียกใช้ และไหลเวียนพลังก่อฟ้า แห่งขอบเขตขั้นก่อฟ้าแล้วด้วย
พลังก่อฟ้า เป็นพลังอันแสนบริสุทธิ์จากฟ้าดิน จะต้องเป็นยอดฝีมือในขอบเขตก่อฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถใช้พลังนี้ได้ ทว่าหยินหลอที่ยังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นกลับสามารถเข้าถึงได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็นับได้ว่าความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับเหล่ายอดฝีมือขอบเขตก่อฟ้าได้แล้ว
ไม่ทราบว่าหานเทียนหวู่นั้นมีฝีมือในระดับใด จึงสามารถมีชื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับหยินหลอได้ ซึ่งการถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกันกับหยินหลอนั้น ก็พิสูจน์แล้วว่าหานเทียนหวู่เองก็ไม่ได้มีพลังด้อยไปกว่าหยินหลอเลย
“หลงเฉิน เจ้ามั่นใจเท่าไรกัน ว่าจะมีสามารถเอาชนะหยินหลอได้” ม่งฉีถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
หลงเฉินลังเลครู่หนึ่งพร้อมตอบว่า “อาจจะห้าสิบห้าสิบ ข้าอยากจะฆ่าเขา แต่ในตอนนี้ข้าไม่มีอะไรเลย ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากพวกเจ้าด้วย”
“เจ้าต้องการจะฆ่าเขา ?” ในใจของหญิงสาวทั้งสามคนคิดขึ้นมาพร้อมกันในทันที หลงเฉินบ้าระห่ำมากไปแล้ว คิดอยากจะฆ่าผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง ที่แสนเก่งกาจเช่นนัก
“นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะสามารถฆ่าหยินหลอได้ ครั้งหลังสุดที่ได้เผชิญหน้ากัน ในตอนที่เขาไล่ฆ่าข้า หยินหลอได้เข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่เก้าไปแล้ว หากปล่อยให้นานไปกว่านี้อีกไม่กี่เดือน เขาต้องเข้าถึงขอบเขตเปลี่ยนปรือกระดูกอย่างแน่นอน ดังนั้นหากจะฆ่าเขาในตอนนี้ก็คงยังมีโอกาสอยู่ ถ้าหากปล่อยเวลาล่วงเลยจนเขาเข้าถึงขอบเขตปรือกระดูกได้แล้วล่ะก็ ถึงเวลานั้นการจะรับมือกับเขาก็จะเป็นการยากอย่างยิ่งแล้ว”
ภายใต้การใช้ยาโอสถช่วยเหลือในการทะลวงพลังของหลงเฉินนั้น ในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงพึ่งจะก้าวสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่สอง และยังพึ่งจะเข้าถึงได้เพียงไม่นานเท่านั้น หากจะไล่ตามหยินหลอให้ทัน ก็คงทำได้แค่ฝันไปเท่านั้น
เมื่อได้ยินหลงเฉินพูดเช่นนั้น หญิงสาวทั้งสามก็พยักหน้ารับ ถ้าหลงเฉินยืนหยัดเช่นนี้ พวกนางก็ไม่คิดจะคัดค้านสิ่งใดอีกแล้ว
“ข้าไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าลงมือใดใด เพียงแค่แอบซ่อนตัว ดักซุ่มไว้ เคยช่วยป้องกันไม่ให้เขาหนีไปเท่านั้น หากว่าการต่อสู้นั้นดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้วหรือว่าข้าเพี้ยงพล้ำให้หยินหลอจนต้องยอมแพ้ ขอให้พวกเจ้าจำไว้ว่า ข้ามีวิธีการที่จะเอาตัวรอดได้ ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าได้เข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือใดใด” หลงเฉินกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงจริงจัง
แม้ว่าทั้งสามคนจะแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะม่งฉีและฉู่เหยาที่มีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่หลงเฉินเองก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกนางต้องเสี่ยงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายใดใดได้
“ข้าจะให้เสี่ยวเสว่ยนำทางไป ม่งฉีระหว่างทางเจ้าแสดงวิธีการโจมตีด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณให้ข้าได้ดูสักหน่อยเถอะ ”
หลงเฉินเรียกเสี่ยวเสว่ยออกมา ให้มันจดจำกลิ่นจากร่างของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่ตายไปแล้วนั้นไว้ จากนั้นก็ออกตามหากลิ่นนั้น หลังจากที่จัดการทุกอย่างอย่างเรียบร้อยแล้วคนทั้งสี่ก็เดินตามเสี่ยวเสว่ย ออกเดินทางลึกเข้าไปในพงไพรแห่งความมืด
ระหว่างทาง ม่งฉีก็ได้อธิบายขั้นตอนการต่อสู้ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณให้หลงเฉินฟังอย่างละเอียด ในเวลาเดียวกันก็อธิบายหลักการและเคล็ดลับการโจมตีจิตวิญญาณให้เขาฟังด้วย สิ่งนี้ทำให้หลงเฉินตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ม่งฉีอธิบายวิถีทางของพลังแห่งจิตวิญญาณ อย่างละเอียดและซับซ้อนกว่าที่ลู่ฟางเอ๋ออธิบายเป็นอย่างมาก เพียงแค่การไหลเวียนพลังอย่างถูกต้อง ก็ต้องสิ้นเปลืองพลังไปเป็นอย่างมากแล้ว
และในที่สุดหลงเฉินก็สามารถเข้าใจทั้งหมดได้แล้ว และเขาก็เข้าใจด้วยว่า เพราะเหตุใดลู่ฟางเอ๋อจึงไม่สามารถพัฒนาและใช้ทักษะแห่งจิตวิญญาณในขั้นลึกได้ นั่นเพราะพลังแห่งจิตวิญญาณของนางนั้นมีไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนทักษะการต่อสู้ทางวิญญาณที่ทรงพลังได้
เมื่อได้รับการอธิบายจากม่งฉีแล้ว หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพลังนั้นแข็งแกร่งเกินไป ความรู้ที่มีนั้นยิ่งใหญ่ไพศาลราวกับท้องมหาสมุทร เขาเดินตามเสี่ยวเสว่ยไปพลาง ฟังความรู้จากม่งฉีไปพลาง ตอนนี้ม่งฉีได้กลายเป็นอาจารย์ของหลงเฉินทางด้านวิถีจิตวิญญาณไปแล้ว
หลงเฉินนั้นเป็นผู้หลอมโอสถที่มีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ แม้ว่าวิธีการใช้ทักษะทางจิตวิญญาณขั้นสูงของม่งฉีนั้น จะมีความแตกต่างจากการใช้พลังแห่งจิตวิญญาญของผู้หลอมโอสถ อีกทั้งยังมีระดับที่แตกต่างกัน แต่ทว่าหลักการนั้นแทบจะเหมือนกันทุกประการ ดังนั้นจึงทำให้หลงเฉินเข้าใจกับทักษะต่างๆที่ม่งฉีอธิบายได้อย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ ม่งฉีเองก็เป็นเช่นเดียวกับลู่ฟางเอ๋อในตอนแรก ถูกความสามารถพิเศษของหลงเฉินทำให้ตื่นตะลึง เมื่อพบว่าหลักการอะไรที่ได้กล่าวออกไป หลงเฉินฟังเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ไม่เพียงแต่หลงเฉินเท่านั้น ที่ได้รับประโยชน์จากการอธิบายของม่งฉีในครั้งนี้อย่างมากมาย แม้แต่ฉู่เหยาเองก็ได้รับประโยชน์ด้วย นั่นเพราะว่าการจะฝึกปรือพลังฝีมือให้แข็งแกร่งขึ้นของฉู่เหยาก็ต้องพึ่งพาการพัฒนาพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งด้วยเช่นกัน เพื่อจะสามารถควบคุมพลังธาตุไม้ และพลังอันบริสุทธิ์จากพื้นดินของนาง การรับรู้วิธีการเปลี่ยนแปลงของทักษะทางจิตวิญญาณทำให้นางได้แนวคิดใหม่ๆในการฝึกปรือฝีมือของนาง
“ช้าลงหน่อย”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็ผายมือออกมา ชะลอการเคลื่อนไหวของทุกคนให้ช้าลง ซึ่งนั่นเป็นเพราะเสี่ยวเสว่ยส่งสัญญาณมาจากทางด้านหน้าว่าได้ค้นพบร่องรอยของการต่อสู้ขนาดใหญ่เกิดขึ้น ที่แห่งนั้นเองน่าจะเป็นสถานที่ที่ยอดฝีมือที่ตายไปแล้วผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ หลงเฉินและคนที่เหลือค่อยๆเดินตรงไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และหลังจากเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งลี้ ที่ด้านหน้าของเสี่ยวเสว่ยนั้นมีศพมนุษย์สองร่างกองอยู่ที่พื้น
แม้ว่าสองคนนั้นจะตายแล้ว แต่ว่าพลังลมปราณที่แข็งแกร่งในร่างกายของพวกเขานั้น ยังไม่ได้หมดไป นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่แข็งแกร่งมาก
“คิดว่าคงเป็นที่นี่แหละ ด้านหน้าเป็นหุบเขามีแอ่งอยู่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาทั้งสี่ทิศ ทางเข้ามีทางเดียว เช่นนั้นก็ยึดตามแผนที่พวกเราได้คุยกันก่อนหน้านี้ พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปดูข้างใน” หลงเฉินเหม่อมองไปยังสถานที่ที่อยู่ตรงหน้า
“ระวังตัวด้วยนะ”
ทั้งสามสาวกล่าวออกมาพร้อมกัน
หลงเฉินพยักหน้าพร้อมกับยิ้มรับ เขาค่อยๆเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง