“ตายซะ!”
จู่ๆก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้นมา คนกลุ่มนั้นมีด้วยกันอยู่สี่คน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ ทั้งสี่คนปลดปล่อยพลังโจมตีกันพร้อมกัน ขุมพลังอันมหาศาลสี่สายนั้นส่งผลให้บรรยากาศเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง อากาศรอบด้านบิดเบี้ยว จนทำให้ภาพที่เห็นในสายตาผิดรูปไป
“ไสหัวไป!”
หลงเฉินกระตุ้นพลังสภาวะทั่วร่างกาย ตวัดทลายมารในมือออกไป ฟาดฟันเข้าใส่อาวุธที่พุ่งตรงเข้ามาของยอดฝีมือทั้งสี่คนนั้นอย่างรวดเร็ว อาวุธทั้งสี่ชิ้นนั้นแตกสลายไปในทันที แรงสะท้อนของพลังที่ปะทะกัน อัดกระแทกเข้าใส่ยอดฝีมือเหล่านั้นอย่างรุนแรง จนทำให้พวกเขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่พร้อมทั้งกระเด็นออกไปทางด้านหลัง
หลงเฉินมองคนพวกนั้นด้วยหางตา แล้วก็พบว่าเหล่าคนที่เข้าขัดขวางการไล่ล่าหยินหลอของเขานั้น ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศของฝ่ายอธรรมทั้งสิ้น ทว่าในเวลานี้หลงเฉินยังไม่สามารถได้คิดบัญชีกับคนพวกนี้ได้ เพราะต้องรีบเร่งไลล่าหยินหลอให้ได้
“แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศสี่คนยังต้านเขาไม่อยู่อีกหรือ นี่มันน่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว!” เหล่าคนที่เฝ้าดูอยู่จากระยะไกล ต่างตกใจตาค้างมากขึ้นไปอีก
ยอดฝีมือสี่คนนั้น ลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกันจากจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล สิ้นเสียงนั้นก็ปรากฏคมวายุขนาดใหญ่และลูกไฟร้อนแรง พุ่งตรงเข้ามาหา
“ตูม”
คมวายุกับลูกไฟนั้นพุ่งเข้าปะทะคนทั้งสี่นั้น บริเวณพื้นที่นั้นเกิดลมกรรโชกรุนแรงที่สามารถโหมกระหน่ำเปลวไฟสีแดงร้อนแรงให้ลุกโชนอย่างน่าหวาดหวั่น ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างที่น่าหวาดกลัว และยังไม่ทันที่ยอดฝีมือทั้งสี่คนนั้นจะส่งพลังออกไปต่อต้าน ก็ถูกคมวายุและเปลวไฟกลืนเข้าในทันที
ม่งฉีและหญิงสาวอีกสองคนอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงขึ้นมา พวกนางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า การร่วมมือกันของเสี่ยวเสว่ยและสิงโตเพลิงอัคคีจะส่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอย่างยิ่งเช่นนี้ เมื่อลมกับเปลวไฟส่งเสริมกัน ก็ทำให้พลังโจมตีที่ส่งออกไปทวีความร้ายกาจมากขึ้น จนถึงกับสามารถสังหารยอดฝีมือฝ่ายอธรรมถึงสี่คนไปได้ในชั่วพริบตา
หลังจากสังหารผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศสี่คนไปได้แล้ว ลู่ฟางเอ๋อก็รีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณสำรวจสอดส่องทั่วบริเวณ ในที่สุดนางก็พบว่ามีแหวนมิติหลงเหลืออยู่สามวง สุดยอดฝีมือมีสี่คน แต่แหวนหลงเหลืออยู่สามวง เป็นไปได้ว่าอีกวงคงจะถูกทำลายจนสลายหายไปแล้วหรือไม่ก็หลุดกระเด็นออกไปไกล หลังจากเก็บแหวนมิติทั้งสามมาแล้วลู่ฟางเอ๋อก็ขึ้นขี่หลังสิงโตเพลิงอัคคี เวลานี้นางไม่มีเวลาเพียงพอที่จะค้นหาแหวนมิติอีกวงหนึ่ง หญิงสาวและสิงโตตัวใหญ่พุ่งออกไปข้างหน้าติดตามการไล่ล่าหยินหลอของหลงเฉินไปอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มของม่งฉีเสียเวลาไปไม่น้อยกับการจัดการกับสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรม ในตอนนี้จึงพบว่าเงาของหยินหลอและหลงเฉินจึงได้หายไปแล้ว ทว่ายังโชคดีที่หลงเฉินและเสวี่ยเสว่ยนั้นผูกพันธ์กันเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้มีจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้น การที่เสวี่ยเสว่ยจะตามหาหลงเฉินจึงไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงแค่หลงเฉินไม่ได้หายไปจากโลก เสวี่ยเสว่ยก็ย่อมตามหาเขาได้พบ
เสี่ยวเสว่ยวิ่งอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดยั้งเพื่อติดตามหลงเฉิน จนผ่านมาเป็นเวลากว่าสามชั่วยาม ในที่สุดก็ปรากฏเงาของหลงเฉินอยู่ด้านหน้า ทว่าในขณะนี้เขาหยุดเคลื่อนที่แล้ว และกำลังนั่งหายใจหอบอยู่บนก้อนหิน ห่างออกไปทางด้านหน้าไม่ไกลนักในระยะร้อยจั้งจากตัวเขา ก็พบศพสองศพนอนกองอยู่ที่พื้น สองศพนั้นเป็นร่างของฝ่ายศิษย์อธรรม และพวกเขาล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ
หญิงสาวทั้งสามคนวิ่งเข้าไปหาหลงเฉิน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล : “เป็นอย่างไรบ้าง”
หลงเฉินส่ายศีรษะ กล่าวด้วยใบหน้าทั้งเศร้าทั้งเสียดาย: “หนีไปได้”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดปนท้อใจ จนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ในที่สุดความพยายามทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์
ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศอีกสองที่ปรากฎตัวออกมาขัดขวางเขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้หลงเฉินเสียเวลาเป็นอย่างมาก หลังจากสังหารทั้งสองคนนั้นได้ ก็หมดแรงที่จะตามไล่ล่าหยินหลอแล้ว และทำได้เพียงมองร่างของเขาลับหายไป
แม้นึกย้อนไปถึงในยามที่เขาถูกหลอหยินไล่ล่า ไม่ทราบว่ามีศิษย์ในฝ่ายธรรมะกี่คนกัน ที่ทำเพียงแค่มองดูด้วยความสนุกสนาน แต่กลับไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเขาเลยซักคน
และไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเท่านั้น ยังมีพวกต่ำช้าบางคน ที่แม้จะเป็นฝ่ายธรรมะด้วยกันก็ยังจ้องจะฉวยโอกาสตอนที่เขาบาดเจ็บ มุ่งเข้ามาฆ่าอีกด้วย หากไม่ใช่เป็นเพราะหญิงสาวลึกลับผู้นั้นเข้ามาช่วยไว้ เขาก็คงตายตกไปนานแล้ว
แต่ทว่าทางด้านหยินหลอนั้นกลับมีคนในฝ่ายอธรรมเช่นเดียวกับเขาคอยช่วยเหลือมากมายหลายคน คนพวกนั้นแม้ทราบดีว่าตาเองอาจต้องตายก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยหยินหลอ หลงเฉินรู้สึกทั้งขุ่นเคืองทั้งโกรธแค้นปนหดหู่ ที่ฝ่ายธรรมะของเขาไม่เป็นเช่นนี้บ้าง
เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหดหู่ของหลงเฉินแล้ว หญิงสาวทั้งสามคนก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวกับเขาอย่างไร ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทำได้แต่เพียงยืนอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ
หลินหลอนั้น เป็นถึงผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในรอบพันปีของฝ่ายอธรรม มีหรือที่จะสามารถหาโอกาสสังหารเขาได้อีก การที่หลงเฉินสามารถติดตามไล่ล่าเขาได้ยาวนานถึงเพียงนี้นั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถือได้สำหรับเหล่าศิษย์ทั้งฝ่ายอธรรมและธรรมะแล้ว ดังนั้นการที่หยินหลอสามารถหลบหนีไปได้จึงไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะแค่ได้ยินชื่อของหยินหลอก็ทำให้พวกเขากลัวจนไม่กล้าคาดคิดว่า หยินหลอจะมีโอกาสที่จะถูกฆ่าตายเลยด้วยซ้ำ
“น่าเสียดายจริงๆ ถ้าหากหลงเฉินยอมให้พวกเราเข้าร่วมการต่อสู้ พวกเราจะต้องฆ่าเขาได้แน่ๆ” ใบหน้าของลู่ฟางเอ๋อเต็มไปด้วยความเสียดาย
ม่งฉีและฉู่เหยาพยักหน้าเล็กน้อย หากในเวลานั้นทั้งสามคนได้ร่วมต่อสู้ อย่างน้อยก็น่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นถึงแปดส่วนที่จะจับหยินหลอไว้ได้
หลงเฉินส่ายศีรษะแล้วกล่าว “พวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไปสำหรับการต่อสู้กับหยินหลอ การที่เขาหลบหนีไป ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังที่แท้จริงของเขายังคงเหลืออยู่ แม้พลังนั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งมากเหมือนก่อนที่จะบาดเจ็บ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะลากผู้อื่นไปตายพร้อมกับเขาได้ นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าร่วมต่อสู้ หยินหลอมีประสบการณ์การต่อสู้มานับพันครั้ง เขาไม่กลัวแม้แต่ความตาย คนเช่นนี้หากเข้าตาจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะเปลี่ยนไปเป็นบ้าคลั่ง ทำลายล้างทุกสิ่งไม่เลือกหน้า สถานการณ์ทั้งหมดนี้ ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อบีบบังคับเขา และต้องแข่งขันกับความอดทนขั้นสุดท้ายของเขา”
เมื่อกล่าวมาจนถึงจุดนี้หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวต่อไปว่า “น่าเสียดาย ที่ข้าไม่ได้วางแผนให้ดีพอ คาดไม่ถึงว่า คนฝ่ายอธรรมนั้น จะสามัคคีกันถึงเพียงนี้ ระหว่างทางมีผู้ยื่นมือเข้ามาขัดขวางเพื่อช่วยให้หยินหลอหลบหนีไปได้ ทำให้แผนทั้งหมดพังไม่เป็นท่าและสูญเปล่า”
หญิงสาวทั้งสามฟังแล้วก็ต้องตกใจ แม้จะทราบดีอยู่แล้วว่าหยินหลอนั้นน่าหวาดกลัวมากยิ่งนัก แต่พวกนางก็ยังประเมินเขาต่ำไป
หากสิ่งที่พวกนางได้ฟังไปนี้ ออกมาจากปากผู้อื่นที่ไม่ใช่หลงเฉิน พวกนางก็คงจะไม่เชื่อถืออย่างแน่นอน แต่ทว่าคำบอกเล่านี้ออกมาจากปากของหลงเฉิน นั่นแสดงว่ามันคือเรื่องจริง เพราะมีเพียงหลงเฉินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะประเมินความสามารถของหยินหลอได้
แม้แต่หานเทียนหวู่ก็ไม่มีคุณสมบัตินี้ ในใต้หล้านี้ คงจะมีเพียงหลงเฉินผู้เดียวเท่านั้นที่มีโอกาสได้ปะมือกับหยินหลอถึงสามครั้ง
แม้ว่าบางอย่างหลงเฉินจะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ทว่าทั้งสามคนก็ทราบดี หลงเฉินไม่ได้ต้องการให้พวกนางมีอันตราย เขายอมที่จะปล่อยโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้สังหารหยินหลอไปเพื่อแลกกับความปลอดภัยของพวกนางทั้งสาม
“ช่างเถอะหลงเฉิน ยอดฝีมืออย่างหยินหลอ คงมีโชคชะตาหนุนอยู่มาก ถึงไม่ตายง่ายๆ ที่เจ้าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ในหมู่ศิษย์ทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมทั้งหมด มีผู้ใดบ้างที่จะคุกคามหยินหลอได้ถึงเพียงนี้?” ม่งฉีจ้องมองไปที่ใบหน้าที่ผิดหวังของหลงเฉิน และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
“ข้าให้เจ้า นี่คือรางวัลที่ได้จากการต่อสู้ของเจ้า ข้าเก็บมันมาให้” ลู่ฟางยื่นแขนของหยินหลอที่ถูกตัดขาดข้างนั้น ส่งให้หลงเฉิน
หลงเฉินจ้องมองแขนข้างนี้ แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขมออกมา “ครั้งก่อนตัดขา ครั้งนี้ตัดแขน หรือข้าจะมีชะตาต้องกันกับแขน ขาของเจ้านั่นกัน?”
“ฮิฮิ นี้เป็นสัญลักษณ์ที่มีเกียรติมากนะ จะว่าไปแล้วแขนนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ที่คุ้มค่านะ นอกจากแขนนี้แล้วยังมียันต์เคลื่อนย้ายนี่อีก ยันต์นี้ในช่วงเวลาที่สำคัญมันจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูฟางเอ๋อกล่าว หลงเฉินก็คิดขึ้นมาได้ ในฝ่ามือบนแขนข้างนั้นของหยินหลอยังจับแผ่นยันต์สีทองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ผืนหนึ่ง ด้านบนแผ่นยันต์นั้นมีรอยสลักลวดลายอยู่อย่างหนาแน่น ยันต์นั้นส่งกลิ่นอายของลมปราณโบราณออกมา
“นี้คือยันต์เคลื่อนย้ายอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินหยิบแผ่นยันต์เคลื่อนย้ายขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง เขาพบว่ามันดูเหมือนกระดาษในแบบหนึ่ง คล้ายกับกระดาษที่ทำจากหนังของสัตว์มายา
หลงเฉินรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเลือดสัตว์มายาที่แข็งแกร่งถูกจารึกเป็นลวดลายไว้ด้านบนแผ่นยันต์ ผสมกับกลิ่นแปลกประหลาดของของเหลวชนิดพิเศษ
“เจ้าต้องระวังให้มากล่ะ ค่อยๆจับเบาๆนะ หากเจ้าจับมันแรง แล้วเผลอบีบมันแหลก แค่พริบตาสมบัติล้ำค่าจะสูญสลายไปตลอดกาลเลยนะ แล้วเจ้าก็จะไปโผล่อยู่ที่ไหนในโลกก็ไม่รู้ หรืออาจจะหายไปพร้อมยันต์ตลอกกาลเลยก็ได้นะ” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวอย่างหยอกล้อ
ม่งฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบรื่นว่า “อย่าไปฟังที่ฟางเอ๋อพูดเลย ถ้าเจ้าต้องการจะบีบยันต์เคลื่อนย้ายเพื่อใช้มัน จำเป็นจะต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณกระตุ้นอักษรที่อยู่ด้านบนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะบีบมันอย่างไรก็ไม่เป็นผล และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดในตอนที่หยินหลอจะใช้มัน ข้าถึงได้ใช้วิชาลับก่อกวนพลังจิตวิญญาณของเขา ก็เพื่อทำให้เขาไม่สามารถใช้มันได้อย่างไรล่ะ”
ก่อนหน้านี้หลงเฉินเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ระดับหยินหลอจะต้องมีสมบัติเฉกเช่นนี้ติดตัวไว้อยู่แล้วอย่างแน่นอน แต่ที่เขายังคงวางแผนเล่นงานหยินหลอด้วยวิธีเช่นนี้ก็เป็นเพราะม่งฉีบอกว่านางสามารถทำให้หยินหลอไม่อาจใช้ยันต์เคลื่อนย้ายไปชั่วขณะได้ และนั่นคือเหตุผลที่หลงเฉินตัดสินใจดำเนินแผนการเช่นนั้นเพื่อเล่นงานหยินหลอ และนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าหลงเฉินคาดเดาได้อย่างถูกต้อง ทว่าหยินหยอก็เป็นผู้ที่หยิ่งทะนงในความสามารถของตนเองผู้หนึ่ง ด้วยความมั่นใจในพลังฝีมือของตนเองเช่นนั้น เขาย่อมไม่มีทางที่จะพึ่งพายันต์เคลื่อนย้ายเช่นนี้ในการหลบหนีจากการต่อสู้ใดๆแน่ ดังนั้นก็จะต้องมีสมบัติชิ้นนี้ติดตัวไม่เกินหนึ่งชิ้นอย่างแน่นอน หากไม่เข้าตาจนอย่างถึงที่สุดแล้วคงไม่มีทางที่จะนำออกมาใช้
สุดยอดฝีมือนั้นที่ถูกเรียกว่า สุดยอดฝีมือ ก็เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในพลังที่แท้จริงของตนเองอย่างมั่นคงและมีความแน่วแน่ที่ไม่อาจจะสั่นคลอนลงไปได้ ดังนั้นยอดฝีมือที่แท้จริง จึงย่อมไม่ยินดีที่จะพึ่งพาสมบัติช่วยชีวิตมากนัก
และเพราะความเชื่อมั่นในพลังภายในร่างกายจนถึงขั้นทะนงตนเช่นนั้นเอง ทำให้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะพึ่งพาพลังจากภายนอก เพราะจะเป็นการสั่นคลอนเจตจำนงแห่งผู้ไร้พ่ายของพวกเขา ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่มีสมบัติช่วยชีวิตติดตัวไว้จำนวนมาก ไม่ควรถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือผู้เก่งกาจ
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ช่วยให้คาดเดาได้ว่าในตัวของหยินหลอจะต้องมียันต์เคลื่อนย้ายเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น เมื่อหลงเฉินทำให้เขาสูญเสียยันต์แผ่นนี้ไปแล้ว ก็ไม่สามารถหลบหนีไปอย่างง่ายดายได้อีก น่าเสียดายว่ามนุษย์กระทำไม่เท่าฟ้าลิขิต สุดท้ายแล้วแผนการก็ยังล้มเหลว
“หลงเฉินเจ้ารับยันต์แผ่นนี้ไว้เถอะ ในช่วงที่สำคัญที่สุดมันสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้” ม่งฉีกล่าว
ครั้งนี้นับว่าหลงเฉินได้ลงมือไล่ฆ่าหยินหลออย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน คราวก่อนตัดขา ครานี้ตัดแขน หยินหลอต้องเกลียดหลงเฉินเข้าถึงกระดูกอย่างแน่นอน
ในครั้งนี้หยินหล่อหลบหนีไปได้ และไม่นานเมื่อเขาเข้าถึงขอบเขตปรือกระดูก การตามฆ่าล้างหลงเฉินคงจะเป็นสิ่งแรกๆที่เขาจะทำอย่างแน่นอนแน่นอน ดังนั้นยันต์เคลื่อนย้ายนี้ จึงสำคัญกับหลงเฉินมาก
“ไม่จำเป็น พวกเจ้าเก็บไว้เถอะ มันจำเป็นกับพวกเจ้ามากกว่าข้า” หลงเฉินส่ายศีรษะแล้วกล่าว และยื่นยันต์เคลื่อนย้ายให้พวกนาง
“หลงเฉิน เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นไปเลย หลังจากที่หยินหลอผ่านขอบเขตปรือกระดูกแล้ว เขาต้องกลับมาแก้แค้นเจ้าแน่ ในหมู่พวกเรายันต์เคลื่อนย้ายนี้จำเป็นกับเจ้ามากที่สุด” ม่งฉีกล่าว
“ใช่แล้ว หลงเฉิน ยันต์เคลื่อนย้ายนี้เจ้าต้องเก็บเอาไว้ อย่าให้พวกเราเสียความตั้งใจเลย” ฉู่เหยากล่าวต่ออย่างจริงจัง
ความน่ากลัวของหยินหลอ พวกนางได้ประจักษ์ด้วยตาของตัวเองแล้ว สถานการณ์ที่ได้เปรียบมากถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าเขาได้
หากรอให้เขาพัฒนาขึ้นจนสามารถทะลวงพลังข้ามขอบเขตไปได้ ก็คงไม่อาจคาดเดาถึงระดับความน่ากลัวของเขาได้อีกต่อไปแล้ว
“เขาจะทะลวงข้ามขอบเขตได้หรือไม่ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ข้าก็คงจะรีบหลบไปซ่อนตัว ฮึฮึ แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่กลัวเขาแล้ว” หลงเฉินหัวเราะออกมา
ตอนนี้เขามีผลกิเลนแล้ว เขาก็สามารถเริ่มเบิกจุดดาราแปรแสงได้แล้ว เมื่อมีดวงดาราทั้งคู่มาช่วยหนุน มีหรือที่เขาจะต้องเกรงกลัวหยินหลออีก
“ลู่ฟางเจี่ย ในพวกเจ้าสามคนพลังของเจ้าอ่อนที่สุด ยันต์เคลื่อนย้ายนี้เจ้าจงเก็บเอาไว้เถอะ” หลงเฉินส่งยันต์เคลื่อนย้ายให้กับลู่ฟางเอ๋อ
เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสามคนยังพยายามจะโต้แย้ง หลงเฉินก็โบกมือและกล่าว “ตัวข้ามีแนวทางของตัวเอง พวกเจ้าวางใจเถอะ อย่าได้บ่ายเบี่ยงหรือหลีกเลี่ยงอีกต่อไปเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงจะรู้สึกลำบากใจไม่น้อยแล้วล่ะ”
เมื่อทั้งสามคนเห็นหลงเฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่เช่นนั้นแล้ว อีกทั้งในเวลานี้ในใจก็หมดหนทางที่จะโน้มน้าวเขาได้อีกแล้ว หลงเฉินนิสัยเป็นเช่นนี้ เมื่อตัดสินใจเรื่องใดแล้วก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนใจเขาได้โดยง่าย
“ฟางเอ๋อเจี่ยเจีย ท่านรับไว้เถอะ” ในที่สุดฉู่เหยาก็กล่าวแนะนำออกมาน้ำเสียงอ่อนโยน
ทว่าลู่ฟางเอ๋อกลับส่ายหน้า แล้วกล่าวตอบฉู่เหยา: “หากหลงเฉินไม่รับไว้ แผ่นยันต์เคลื่อนย้ายนี้ข้าก็ขอไม่รับไว้เช่นกัน เม่ยเม่ยเก็บมันไปเถิด มันจำเป็นกับเจ้ามากกว่า”
ฉู่เหยารีบส่ายหน้า แต่ลู่ฟางเอ๋อยังดึงดันส่งยันต์เคลื่อนย้ายนั้นให้นาง และกล่าวขึ้นมาอีกว่า : “ข้าเป็นผู้ฝึกมายาสัตว์ ไม่ได้ต่อสู้ระยะประชิดกับศัตรูอยู่แล้ว คงไม่ได้รับอันตรายอะไรจากการต่อสู้ ที่สำคัญตอนนี้ข้าอยู่กับม่งฉีแล้ว มีนางอยู่ก็ไม่มีใครมาคุกคามข้าได้อย่างแน่นอน”
ฉู่เหยายังคงส่ายหน้าปฏิเสธและกำลังจะส่งยันต์เคลื่อนย้ายให้แก่ม่งฉี แต่ม่งฉีก็กล่าวขึ้นมาก่อนว่า : “ข้ามีแล้วหนึ่งอัน เจ้าเก็บไว้เถอะ”
“เก็บไว้เถอะนะเม่ยเม่ย ถือว่านี่คือของขวัญที่เจี่ยเจียมอบให้เจ้า” ลู่ฟางเอ๋อยัดแผ่นยันต์หนังใส่มือฉู่เหยาพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉู่เหยารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ยันต์เคลื่อนย้ายนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างมาก ทว่าในตอนนี้เธอไม่สามารถยื่นมันให้ใครได้อีก คงต้องเก็บเอาไว้เก็บเอาไว้ พร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นในใจ
“ไปเถอะ พวกเราหาสถานที่สงบๆ ข้าจะให้พวกเจ้าดูสมบัติที่ล้ำค่าอีกอย่าง”
เมื่อยันต์เคลื่อนย้ายนั้นมีเจ้าของแล้ว หลงเฉินก็แย้มรอบยิ้มบางๆ และพาหญิงสาวทั้งสามออกไปหาสถานที่เหมาะสมในการหลอมโอสถแปรแสง
.
.