“ทำคุณไถ่โทษ” มู่เซิ่งโกรธกัดฟันกรอด ยกเท้าถีบยายหวางเข้าให้อีกที “เจ้าจะชดเชยเยี่ยงใดกัน? มู่จื่อชวนโง่รึ? จะกล้าโดนหลอกอีกครา?”
โอกาสดีเยี่ยงนี้ ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว! สุดท้ายกลับล่มไม่เป็นท่าเพราะยายแก่นี่
“นายท่านโปรดระงับความโกรธเถิด!”
ยายหวางไม่กล้าโอดครวญ นางพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านชายใช้ไม่ได้ ยังมีคนอื่น นายท่านก็รู้ว่าลูกชายของข้าสมองไม่ค่อยดี เกิดเขาทำอะไรลงไป…”
มู่เซิ่งเห็นด้วย “ได้ เจ้าไปจัดการ ถ้าเรื่องสำเร็จ ก็ให้นังแพศยานั่นแต่งกับลูกชายโง่ของเจ้า ถ้าคราวนี้ทำพลาดอีก เราค่อยมาคิดบัญชีทบต้นทบดอกกัน”
หลังจากทั้งคู่แยกกันไป มีเงาร่างหนึ่งวาบเข้าห้องของมู่อวิ๋นซี
“ท่านชายเย่!”
มู่อวิ๋นซีที่นั่งรออยู่ในห้องตลอดหันมองเฟิ่งเชียนเย่ “เป็นอย่างใดบ้าง? เขามองอยู่ตลอดใช่หรือไม่? เมื่อครู่ขอบน้ำใจท่านมาก”
ยายหวางเท้าหน้าพึ่งก้าวออกไป เฟิ่งเชียนเย่ก็ส่งชุดที่เตรียมไว้เข้ามาให้นาง หลังจากมู่เซิ่งส่งตัวมู่จื่อชวนเข้ามา นางให้มู่จื่อชวนกินยาถอนพิษ จากนั้นให้เฟิ่งเชียนเย่พาเขาขึ้นหลังคามองดูละครฉากนี้เงียบๆ การที่ยายหวางสะดุดล้มตอนเข้าห้องก็เป็นฝีมือเฟิ่งเชียนเย่เช่นกัน
“เห็นหมดแล้ว”
เฟิ่งเชียนเย่ย่อตัวลงวางสองมือบนที่วางมือของเก้าอี้กลม เอียงหน้าเข้าใกล้มู่อวิ๋นซี สายตาจับจ้องนางไม่กะพริบตา “เจ้าเป็นหลานสาวขององค์หญิงใหญ่”
คำพูดนี้มิใช่การถาม หากเป็นความมั่นใจ
หัวใจมู่อวิ๋นซีกระตุก และเต้นรัวราวกับจะกระโดดออกมานอกอก ชาติก่อน จนใกล้ตายนางจึงได้รู้ความจริงนี้ ไม่คิดว่าคนตรงหน้ากลับเข้าใจทุกอย่างจากละครเพียงฉากเดียว
“ใช่” มู่อวิ๋นซียิ้มมุมปากเบาบาง “ดูว่าข้าเรียกปู่น้อยว่าท่านพ่อ น่าขันใช่หรือไม่?”
ถึงแม้ว่านางกำลังหัวเราะ หากดวงตากลับแดงระเรื่อ พร้อมด้วยน้ำตาเม็ดโตคลอเบ้า
นางกะพริบตาปริบๆ กล้ำกลืนน้ำตาเม็ดนี้กลับลงไป
เฟิ่งเชียนเย่อึ้งเล็กน้อย ในใจรู้สึกร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย
เขาลุกขึ้น เบนสายตาไปทางอื่น “งั้นเหตุใดเจ้าไม่นับญาติกับเขาล่ะ?”
เขามองออกว่า สายตาที่มู่จื่อชวนมองนางเมื่อครู่ดูไม่ชอบมาพากลอย่างเห็นได้ชัด
“นับญาติอย่างไร?” มู่อวิ๋นซียิ้มกว้าง “บอกเขาว่า ข้าถึงจะเป็นน้องสาวแท้ๆของเขากระนั้นรึ?” บางทีอาจเพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงตนดูอย่างถากถาง มู่อวิ๋นซีถอนหายใจยาวออกมา พลางพูดกับตนเอง “ถ้าพวกเขาอยากนับญาติกับข้า ก็จะได้นับญาติในที่สุด”
เหตุใดต้องหาเรื่องใส่ตัว นางพูดเบาๆกับตนเองในใจ
“น่ากลัวจะมีคนไม่ต้องการเห็นฉากนี้” เฟิ่งเชียนเย่บอกแผนการของยายหวางออกมา
มู่อวิ๋นซียิ้มมุมปากแผ่วเบา หากในดวงตากลับไร้ซึ่งแววขัน “เยี่ยงนั้น ข้าจะมิให้นางเสียน้ำใจดอก”
วันที่สอง นางพึ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จ มู่จื่อโหรวเดินเข้ามาทันใด “ได้ยินว่าเจ้าหาข้า? คิดจะทำอะไร? คงมิใช่ให้ข้าขอขมากับเจ้าดอกนะ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ท่านพ่อพูดแล้ว เมื่อคืนเป็นเพียงการเข้าใจผิด” มู่อวิ๋นซีลุกขึ้น “ข้าได้ยินว่าลานชิงจื่อนี่เป็นเรือนของคุณหนูจื่อโหรว ดังนั้นเลยอยากถามว่าท่านมีกฎอันใดหรือไม่? ข้าจะได้ระวังไม่เผอเรอทำผิดกฎของคุณหนูจื่อโหรว”
ที่แท้ต้องการประจบนาง
มู่จื่อโหรวแค่นเสียงหึอย่างเย่อหยิ่ง หมุนตัวเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้กลม
“เจ้ารู้ตัวก็ดี ที่นี่ไม่มีกฎอะไร ต่อไปเจ้าเจอข้าก็เดินหลีกไปแล้วกัน อีกอย่าง ถ้าพวกเราอยู่ด้วย ให้เหมือนในตอนนี้ คือข้านั่ง เจ้ายืน ข้ายืน เจ้าต้องคุกเข่า เข้าใจหรือไม่?”
มู่อวิ๋นซีทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนาง หมุนตัวนั่งลงข้างนาง “กฎเหล่านี้ต่อไปค่อยว่ากัน เมื่อคืนท่านพ่อพูดอะไรกับเจ้า?”
“เจ้าหลอกข้า?”
มู่จื่อโหรวเบิกตากว้าง กลอกตาไปมา “อยากให้ข้าบอกเจ้า? ดีนี่ ขอร้องข้าสิ! เจ้าคุกเข่าขอร้องข้า ข้าจะลองคิดๆดูว่าจะ…อ๊า! มู่อวิ๋นซี เจ้าทำอะไร?” นางกระหยิ่มยิ้มย่องพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆมู่อวิ๋นซีคว้าหมับข้อมือนาง มืออีกข้างหยิบปิ่นปักผมทาบใบหน้านาง “ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะกรีดหน้าเจ้า”
“เจ้ากล้า?” มู่จื่อโหรวหน้าซีดเผือด “ท่านย่าของข้าคือองค์หญิงใหญ่ เจ้า…”
นางอาศัยจังหวะมู่อวิ๋นซีตะลึง เบนหัวไปด้านหลัง มือข้างที่ว่างผลักมู่อวิ๋นซีออก
เดิมปิ่นปักผมที่มู่อวิ๋นแนบข้างแก้มนางเบี่ยงไปบาดแขนตนเอง เลือดสดไหลริน
“อ๊า!” มู่อวิ๋นซีร้องด้วยความเจ็บปวด คลายข้อมือมู่จื่อโหรวออก
“สมน้ำหน้า!”
มู่จื่อโหรวลุกขึ้น พูดอย่างสาแก่ใจ “เจ้าหาเรื่องเองนะ ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า”
หลังจากเห็นร่างของมู่จื่อโหรวหายออกนอกห้องไป ความเจ็บปวดบนใบหน้ามู่อวิ๋นซีพลันมลายหายไป
นางหมุนตัวกลับมาหาผ้าที่เตรียมไว้เช็ดคราบเลือด ใส่ยาสร้างเนื้อ และหยิบผ้าสะอาดผืนใหม่วางบนโต๊ะ วางมือข้างที่บาดเจ็บลงไปด้านบน ก้มหน้าลงกัดปลายผ้าด้านหนึ่งกับมือขวาทำการพันแผลอย่างงกๆเงินๆ…
มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจากที่ใดไม่ทราบ แย่งผ้าในมือหล่อนไป
สายตาขึ้งโกรธของนางสบเข้ากับใบหน้าของเฟิ่งเชียนเย่ราวกับหิมะพบปะน้ำร้อน และพลันมลายหายไปสิ้น “ท่านชายเย่”
“มือ!”
“หือ?”
เฟิ่งเชียนเย่จับมือซ้ายของมู่อวิ๋นซีขึ้นมา และวางผ้าบนบาดแผลแผ่วเบา อีกทั้งยังผูกผ้าพันแผลเป็นรูปผีเสื้อสวยงามอย่างระมัดระวัง จึงยอมปล่อยมือ หากใบหน้างดงามนั้นกลับยังฉาบไปด้วยความเย็นชา “เจ้าบอกให้ข้าคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย แล้วนี่กระไรกัน?”
มู่อวิ๋นซีรู้ตัวว่าผิดยิ้มประจบ ยกมือขึ้น “ข้าสาบาน นี่เป็นครั้งแรกและจะเป็นครั้งสุดท้าย”
“เหตุใดต้องทำเยี่ยงนี้?” เฟิ่งเชียนเย่เบนสายหนีไปอีกทาง “สู้ให้ข้าฆ่าล้างตระกูลมู่ ทั้งเจ้าและข้าก็เป็นอิสระ”
“ไม่ได้!” มู่อวิ๋นซีปฏิเสธทันควัน แบบนี้มู่เซิ่งดูจะสบายไป มีหรือจะชดเชยความแค้นในใจนางได้
นางอ้อมไปยืนหน้าเฟิ่งเชียนเย่ จับจ้องมองไปที่เขา “เราตกลงกันไปครึ่งปี จะขาดไปวันเดียวก็ไม่ได้”
เฟิ่งเชียนเย่มิตอบคำ พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่อวิ๋นซีเบนสายตาไปมองหน้าต่าง แต่กลับเห็นหิมะค่อยๆตกลงมา
หิมะนี้ตกลงเป็นเวลาสามวัน มู่เซิ่งก็หายหน้าไปสามวัน จวบจนวันที่สี่ อากาศเริ่มจะสดใส ก็มีสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาเรียนเชิญ
“คุณหนูของเจ้าเชิญข้าไปชมดอกเหมย?” มู่อวิ๋นซีถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ใช่เจ้าค่ะ!” ชุนถาวพยักหน้าหนักแน่น “ยามนี้คุณหนูสามและคุณหนูของเราต่างพำนักอยู่ที่ลานชิงจื่อ ถึงแม้ว่าคุณหนูสามจะมีศักดิ์เป็นอาของคุณหนูเรา หากพวกท่านอายุใกล้เคียง สนิทสนมกันไว้ก็เป็นเรื่องสมควร คุณหนูของเราจัดเตรียมเนื้อกวางและเหล้าเหมยในสวนดอกเหมย รอเพียงคุณหนูสามเท่านั้นเจ้าค่ะ” พอเห็นมู่อวิ๋นซีไม่เอ่ยคำ ชุนถาวพูดขึ้นอีกว่า “ท่านรองมู่ก็คิดเห็นเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ”
“งั้นรบกวนแม่นางชุนถาวนำทางไปเถิด” มู่อวิ๋นซีรับปากในที่สุด
ที่สวนดอกเหมย มู่จื่อโหรวที่กำลังนั่งอยู่กลางศาลาดอกเหมยอย่างเบื่อหน่าย ยามเห็นมู่อวิ๋นซีเยื้องกรายมา นางพลันตื่นเต้นขึ้นมา ลุกขึ้นกวักมือเรียก “อวิ๋นซี เจ้ามาแล้ว”