“ลองชิมเหล้าเหมย ข้าอุ่นบนเตาอยู่นานแล้ว” มู่จื่อโหรวพูดพลางยกกาเหล้าเทให้กับมู่อวิ๋นซี
มู่อวิ๋นซีรับเหล้ามา แต่กลับไม่ดื่ม
“ทำไม? เจ้ากลัวข้าวางยารึ?” มู่จื่อโหรวเบ้ปากอย่างเยาะหยัน หันมองชุนถาว “หยิบเข็มเงินมา”
“ข้ามี”
มู่อวิ๋นซีปฏิเสธเข็มเงินที่ชุนถาวยื่นให้ นางวางจอกเหล้าลง ยกมือขึ้นหยิบปิ่นปักผมบนหัวลงมา และดึงเข็มเงินจากในใจกลางปิ่นแทงลงไปในเหล้า
“รอประเดี๋ยวก่อน!” มู่จื่อโหรวที่จ้องมือมู่อวิ๋นซีเขม็งพลันส่งเสียง
“เหตุใดรึ?” มู่อวิ๋นซีเหล่เข็มเงินในมือ “เจ้าคงไม่ร้อนตัวมิกล้าให้ข้าทดสอบหรอกนะ?”
“มิใช่ มือเจ้า” มู่จื่อโหรวจับจ้องแขนของมู่อวิ๋นซีเขม็ง
เมื่อสามวันก่อน นางเห็นกับตาว่ามู่อวิ๋นซีบาดแขนตนเอง เลือดไหลมากมายขนาดนั้น แต่ตอนนี้ผิวท้องแขนนางกลับใสกระจ่างเรียบลื่น อย่าว่าบาดแผลเลย แม้แต่ร่องรอยบาดสักนิดก็ไม่มี
“แขนข้าทำไมรึ?” มู่อวิ๋นซีขยับมือตน พลันบอก “เจ้าหมายถึงแผลวันนั้นรึ? หายดีนานแล้วล่ะ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” มู่จื่อโหรวคว้าหมับข้อมือของมู่อวิ๋นซี พลางดึงเข้ามาใกล้พินิจพิเคราะห์ วาดมือไปมา “ไม่ได้ทาแป้ง เหตุใดจึงหายแล้วล่ะ?”
มู่อวิ๋นซีงุนงง มองซ้ายมองขวา พลางขยับเข้าชิดมู่จื่อโหรวกระซิบกระซาบว่า “เพราะข้ามียาวิเศษ ต่อให้รอยแผลผ่านมาหลายสิบปีก็สามารถลบออกได้ นับประสากระไรกับแผลเล็กน้อยเท่านี้”
“จริงรึ?”
“แน่นอน” มู่อวิ๋นซียกมือลูบแก้ม “เจ้ารู้รึไม่ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงส่งข้าไปรักษาตัวนอกเมือง?”
มู่จื่อโหรวส่ายหัว หากไม่ใช่มู่เซิ่งพาตัวกลับมาเมื่อหลายวันก่อน นางคงไม่รู้ว่ามีมู่อวิ๋นซีอยู่ด้วย
“นั่นเพราะวัยเด็กข้าถูกไฟไหม้เผาทำร้ายรูปโฉมและร่างกายครึ่งตัว สภาพดูน่าตกใจนัก ท่านพ่อกลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะข้า ดังนั้นเลยเลี้ยงข้าไว้ด้านนอก แต่ตอนนี้” มู่อวิ๋นซีขยับคอเบาๆ “เจ้าดูสิ ใบหน้าข้าพบร่องรอยไหม้สักนิดหรือไม่?”
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ” สายตามู่จื่อโหรวเริ่มเร่าร้อนขึ้นมา ไม่เพื่อสิ่งใด เพราะบนไหล่นางก็มีแผลโดนไฟไหม้ หลายปีมานี้นางทดลองยาไปหลายขนาน หากรอยแผลยังคงอยู่ดังเดิม
ด้วยเหตุนี้ยามนางอาบน้ำจึงไม่กล้าให้คนคอยรับใช้ กลัวพวกนางจะหัวเราะเยาะลับหลังนาง
“อวิ๋นซี…ท่านอาอวิ๋นซี” มู่จื่อโหรวเผยรอยยิ้มประจบ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “ยาวิเศษของท่านแบ่งข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
มู่อวิ๋นซีสีหน้าลำบากใจ “นี่น่ะยาวิเศษนะ หายากยิ่งนัก”
“ตระหนี่ซะจริง!” มู่จื่อโหรวไม่พอใจ หากคิดถึงละครฉากที่กำลังจะแสดง ก็อดยิ้มขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ “ไม่แน่ต่อไปเจ้าอาจต้องขอร้องข้าก็เป็นได้ เอาล่ะ จะตรวจก็รีบๆเข้า ข้าหิวแล้ว”
มองดูมู่อวิ๋นซีทดสอบเหล้าเสร็จ นางชี้ไปที่เนื้อกวางที่เสียบไม้เรียบร้อย “ทดสอบนั่นด้วยเลย เจ้าจะได้ไม่ต้องระแวงอีก”
“มิต้องดอก” มู่อวิ๋นซีเก็บเข็มเงินเข้าปิ่นปักผม และปักกลับไปที่ผมอีกครั้ง “ข้าเชื่อคุณหนูจื่อโหรว” ออกตัวยอมให้นางทดสอบ เยี่งนั้นรับรองว่าไม่มีปัญหาใดๆแน่
มู่จื่อโหรวเบ้ปาก นางสวมถุงมือหนังกวางให้ตนเองก่อน จากนั้นยื่นให้มู่อวิ๋นซีคู่หนึ่ง “รีบสวมซะ ข้าจะสอนเจ้าย่างเนื้อกวาง”
เห็นมู่อวิ๋นซีสวมถุงมือเรียบร้อย นางรีบวางเนื้อกวางไว้บนเตาถ่าน “ดูสิ อีกสักครู่เนื้อกวางมีเสียงซ่าๆ เจ้าก็จัดการพลิกไปมาเยี่ยงนี้ รอจนเนื้อกวางเริ่มมีน้ำมันออกมา จึงสามารถโรยเกลือได้”
มู่อวิ๋นซีปรายตามองแววสาแก่ใจของมู่จื่อโหรวเงียบๆ นางหลุบตาลงขยับตะแกรง ไอร้อนของถ่านแดงจัดทำแก้มนางร้อนผ่าว คล้ายกับว่าแค่เป่าเบาๆ จะทำให้มีเลือดออกทันใด
มู่จื่อโหรวอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ดูท่ามียาวิเศษนี่แล้ว รอยแผลบนไหล่ของนางคงรักษาได้หายขาดเป็นแน่
“ไอ้หยา อวิ๋นซี” มู่จื่อโหรวทำทีอุทานออกมา พลางหันไปมองดอกเหมยสีแดงที่ด้านนอกศาลา ข้าย่างเนื้อทางนี้ เจ้าออกไปเด็ดดอกเหมยมาสักหลายก้าน ที่นั่น…”
นางชี้ไปทางทิศตะวันตก “อยู่กลางป่าดอกเหมย แล้วยังมีเหมยสีเขียวห้าต้น เจ้าก็ดึงเหมยสีเขียวมาสักก้านเถิด”
มู่อวิ๋นซีมองไปทางมู่จื่อโหรวอย่างสงสัยหลุบตาลงบอก “ได้”
นางคลุมผ้าคลุมไหล่เดินออกจากศาลาไปทางป่าดอกเหมย กลิ่นหอมของดอกเหมยหอมอ่อนพัดเข้ากลางใจ นางกลับไร้ซึ่งความสนใจชมความงามของดอกเหมยแดงกลางหิมะขาว กลับนึกถึงแต่เพียงความร้อนรนเล็กน้อยที่แล่นผ่านใบหน้ามู่จื่อโหรว
นางเดินผ่านทางเล็กที่ประปรายไปด้วยหิมะจึงสิ้นสุด เหมยสีเขียวดูงดงามเหนือธรรมชาติผ่านเข้าสู่สายตา ความรุ่มร้อนบางอย่างแล่นพล่านจากท้องน้อยและแผ่ซ่านไปทั่วร่างนางอย่างรวดเร็ว
มู่อวิ๋นซีหลุดยิ้มพรืด หยิบเม็ดยาในตัวออกมายัดเข้าปาก พลางหันตัวกอบเอาหิมะกองหนึ่งบนต้นเหมยทาไปทั่วหน้า ความรุ่มร้อนค่อยมลายไปอย่างรวดเร็ว
“สาวงาม!” ในตอนนี้เอง เสียงหยาบโลนหนึ่งดังขึ้น
มู่อวิ๋นซีเหลือบตามอง เห็นชายอ้วนหน้าใหญ่หูกางคนหนึ่งเดินออกมาจากทางเลี้ยวอีกด้าน มองนางอย่างซื่อๆ “สาวงาม! รอนานแล้วใช่ไหม? แหะแหะ ข้าพึ่งไปปลดทุกข์มา ตอนนี้จะมานอนกับเจ้าละ”
ที่แท้เขาคือลูกชายของยายหวาง
ความแค้นแผดเผาดวงตาของมู่อวิ๋นซี
ชาติก่อนหลังจากนางโดนหักขาและเข้าตะลาง ชายโง่นี่รังแกนางไม่หยุดหย่อน
“เจ้าคือหวางเอ้อร์?” นางจับจ้องไปที่หวางเอ้อร์ที่เดินยิ้มซื่อเข้ามาอย่างเย็นชา “หวางมามาเป็นแม่ของเจ้า?”
“เอ๋?” หวางเอ้อร์ลูบหัวอย่างงุนงง “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
“แม่เจ้าบอกข้าอย่างไรเล่า” มู่อวิ๋นซีกางมือออก หมุนหนึ่งรอบ “ข้างดงามหรือไม่?”
“งดงามงดงาม” หวางเอ้อร์ตบมือน้ำลายไหล “งามยิ่งกว่าที่แม่ข้าบอกซะอีก มา พวกเรามาหลับนอนกันเถิด”
“รอประเดี๋ยวก่อน อย่ารีบร้อน” มู่อวิ๋นซีถอยหลังไปหนึ่งก้าว “เจ้ารู้ว่าข้าชื่ออะไรรึ? ข้าชื่อมู่จื่อโหรว ท่านย่าของข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน จำได้หรือยัง?”
หวางเอ้อร์พยักหน้าหนักแน่น “จำได้ มู่จื่อโหรว ท่าย่าเจ้าเป็นองค์หญิงใหญ่”
“ที่ตรงนี้ของข้า” มู่อวิ๋นซีชี้ไปที่ไหล่ซ้าย “มีรอยแผลไฟไหม้อยู่ น่าเกลียดมาก เจ้าคงไม่รังเกียจข้าหรอกใช่ไหม?”
“ไม่หรอก ไม่หรอก พวกเราหลับนอนกันเถอะ” หวางเอ้อร์ยิ้มซื่อเดินเข้าหามู่อวิ๋นซี
“ท่านชายเย่!”
มู่อวิ๋นซีถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองดูหวางเอ้อร์ล้มลงต่อหน้านาง รอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าค่อยๆขมวดตัวแข็งเกร็ง
ยายหวาง! เดิมทีนางคิดว่าความแค้นระหว่างพวกนางเป็นเพียงแค่แค้นที่หักขา แต่ตอนนี้ดูแล้ว ยังมีอีกหลายบัญชีนัก
นางเหลือบตาขึ้นมองเฟิ่งเชียนเย่ ความเย็นชาบนใบหน้าค่อยคลายลง ประหนึ่งความงามของดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วง “คิดว่าข้าร้ายนักใช่หรือไม่? หลอกใช้แม้แต่คนโง่”
ไม่รอเขาตอบคำ มู่อวิ๋นซีเบนสายตาไปทางอื่นพลางเดินเข้าหาดอกเหมยแดงต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ยื่นมือเด็ดมาหนึ่งก้าน หิมะที่สะสมบนก้านร่วงลงโปรยปราย
“คนโง่ยิ่งน่ากลัว”
“หือ?” มู่อวิ๋นซีหันมองอย่างสงสัย “ท่านว่า…”
น้ำเสียงนางชะงักไป ด้านหลังนางไม่มีแม้แต่เงาของเฟิ่งเชียนเย่
มู่อวิ๋นซียิ้มบาง เพียงแต่เสียงหัวเราะนั่นฟังดูเศร้าอยู่บ้าง
ต่อให้กลายเป็นปีศาจร้าย ชาตินี้นางก็จะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำนางอีก ความดี บางครั้งต้องการต้นทุนบ้างเช่นกัน
นางยื่นมือไปดึงเหมยสีเขียวก้านหนึ่งมา พลางเดินไปตามทางเดินเล็กที่เต็มไปด้วยหิมะ