“เอ่อ…” ยายหวางอึ้งไป ใช่ ทั่วทั้งตระกูลมู่ คนที่รู้ว่าไหล่มู่จื่อโหรวมีบาดแผลแทบจะนับนิ้วได้เลยทีเดียว มู่อวิ๋นซีรู้ได้เยี่ยงไร? คงมิใช่วันไหนตนดื่มเหล้าเมาเผอเรอพูดออกไปกระมัง?
“เสียแรงที่ข้าไว้ใจเจ้า เจ้ากลับนินทาจื่อโหรวลับหลังเยี่ยงนี้รึ?” มู่เซิ่งโกรธตะคอกหน้าดำหน้าแดง
ยายหวางร้องไห้คร่ำครวญไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ในใจยิ่งแค้นมู่อวิ๋นซีเป็นเท่าทวีคูณ “นายท่าน เรื่องมาถึงขั้นนี้ เราอย่ายอมแพ้ ฆ่านางซะ!”
“หัวเจ้าโดนลาถีบกระเด็นแล้วหรือไร?” มู่เซิ่งถีบยายหวางเข้าอีกดอก “หากฆ่าได้ข้าไม่ฆ่านางไปนานแล้วรึ? นางไม่ตายไม่เท่าไหร่ แต่หากจู่ๆตายขึ้นมา เจ้าคิดว่าทางนั้นจะไม่คิดสงสัยและสืบสวนกระนั้นรึ?”
“นายท่าน” ยายหวางคุกเข่าหน้ามู่เซิ่ง “ท่านยุ่งวุ่นวายกับการค้าด้านนอก ไม่รู้เรื่องความร้ายกาจของอาหาร แม้เพียงมื้อเดียวก็สามารถเอาชีวิตคนได้ พวกเราค่อยๆวางยานาง รับรองว่าจะมิมีผู้ใดจับได้แน่”
ในตอนนี้มู่อวิ๋นซีที่โดนพวกเขาวางแผนทำร้ายได้กลับไปถึงลานชิงจื่อ เพียงแต่ยังมิได้กลับไปห้องตนเอง แต่ไปยังห้องมู่จื่อโหรวแทน
“คุณหนูสาม!” ชุนถาวมองมาทางมู่อวิ๋นซีอย่างขอลุแก่โทษ “คุณหนูบอกว่าไม่พบใครทั้งนั้น ถ้าอย่างไรท่านกลับไปก่อนดีไหมเจ้าคะ?”
มู่อวิ๋นซีมองผ่านชุนถาวไปยังประตูห้องด้านหลังนางที่ปิดแน่น ลังเลเพียงครู่ ก่อนตะโกนเสียงดังว่า “มู่จื่อโหรว! ข้าบอกแล้วว่าคำพูดคนโง่เชื่อถือมิได้ หากเจ้ามิเชื่อ เป็นเยี่ยงไร ตอนนี้รู้ตัวว่าผิดแล้วหรือไม่?”
ประตูห้องที่ปิดแน่นถูกเปิดออก มู่จื่อโหรวในสภาพตาแดงเรื่อพุ่งออกมา ชี้หน้ามู่อวิ๋นซีตะโกนด่า
“เจ้าเป็นตัวกระไร กล้ามาขึ้นเสียงใส่ข้า? ข้าจะผิดหรือถูก เจ้าสามารถออกความเห็นได้รึ? อย่าคิดว่าเจ้ากลับมาตระกูลมู่แล้วจะกลายเป็นคุณหนู ถุย!”มู่จื่อโหรวขากถุยน้ำลายหนึ่งคำ ทั้งความน้อยใจและความโกรธเผาไหม้กันอย่างรุนแรง
“เจ้ารู้ไว้ซะ ข้าต่างหากถึงเป็นคุณหนูที่สูงส่งที่สุดของตระกูลมู่ ท่านย่าข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน เจ้าล่ะ? แม่เจ้าเป็นเพียงหญิงนางโลมเท่านั้น จะมาเย่อหยิ่งอะไรต่อหน้าข้า?”
เหอะ!
มู่อวิ๋นซีแค่นยิ้มเย็นในใจ ไม่รู้ว่าวันไหนหากมู่จื่อโหรวรู้ว่าหญิงนางโลมที่ตนก่นด่านั้นเป็นมารดาแท้ๆของตนเอง จะมีสีหน้าเยี่ยงไร?
นางกลบเกลื่อนแววหยามหยัน เออออไปด้วย “ใช่ใช่ใช่ คุณหนูจื่อโหรวพูดถูก มารดาข้าที่เป็นหญิงนางโลมถือเป็นนางแพศยา มิคู่ควรให้ผู้คนเอ่ยถคง”
มู่จื่อโหรวอึ้ง เบ้ปากอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าคนโสโครก!มีมารดาเยี่ยงไร บุตรสาวก็เป็นเยี่ยงนั้นเอง”
“ใช่ เจ้าพูดถูก” มู่อวิ๋นซีไม่คิดจะถกเถียงกับนางอยู่แล้ว “งั้นขอให้คุณหนูจื่อโหรวอย่าได้โกรธอีกเลยนะเจ้าคะ คำพูดของคนโง่คนหนึ่ง ฟังก็พอเจ้าค่ะ หรือว่าไหล่เจ้ามีแผลแบบนั้นจริงๆรึ?”
ใบหน้าแน่งน้อยของมู่จื่อโหรวบิดเบี้ยวขึ้นมา ชี้นิ้วไปด้านนอก “ไสหัวไป! เจ้าไสหัวไปเลย! ไสหัวออกจากลานชิงจื่อ!ที่นี่ห้ามมิให้เจ้าอยู่! ชุนถาว ไล่นางไป”
“มีจริงด้วยรึนี่?”
มู่อวิ๋นซีหลบชุนถาว โบกมือใส่จื่อโหรว “เจ้ายังจำเรื่องมือของข้าได้ไหม? แผลนั่น?”
มู่จื่อโหรวอึ้งตะลึง มองมู่อวิ๋นซีอย่างคลางแคลง
มู่อวิ๋นซีเหล่ไปทางเหล่าคนรับใช้ที่พากันยืนมองอย่างสนุกสนานอยู่ไม่ไกลนัก “ไม่เชิญข้าเข้าไปดื่มชาสักหน่อยรึ?”
มู่จื่อโหรวเม้มปากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง
“เข้ามาเถอะ”
มู่อวิ๋นซีก้าวเท้าตามเข้าไป และหมุนตัวปิดประตูลง จากนั้นจึงเดินเข้าใกล้มู่จื่อโหรว “มิน่าเจ้าจึงขอยาวิเศษกับข้า ที่แท้เพื่อลบรอยแผลเป็น ให้ข้าดูแผลเจ้าหน่อยเถิด”
“เจ้า!” มู่จื่อโหรวถลึงตาใส่มู่อวิ๋นซีด้วยความโกรธ
“เจ้าไม่ให้ข้าดู ข้าจะสอนเจ้าใส่ยาเยี่ยงไร?” มู่อวิ๋นซีหยิบยาสร้างเนื้อจากในเสื้อ
“นี่คือยาวิเศษของเจ้า?”
เมื่อมู่อวิ๋นซีพยักหน้า มู่จื่อโหรวลังเลเล็กน้อย พลางค่อยๆแหวกชุดสีแดงซากุระเบี่ยงออก เผยให้เห็นไหล่ด้านซ้าย
ดวงตามู่อวิ๋นพลันเบิกกว้าง ตำแหน่งของรอยแผลนี้อยู่บนจุดเดียวกับปานบนไหล่นางไม่ผิดเพี้ยน มิน่าเล่า จึงปกปิดมานานหลายปีเยี่ยงนี้ได้
“ดูเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” นางกำลังครุ่นคิด ทางด้านมู่จื่อโหรวเริ่มรำคาญ
“วางใจเถิด แผลเป็นของข้าเดิมมีมากกว่าเจ้ามากมายนัก มากยิ่งนัก หากข้าหายดีแล้วเห็นหรือไม่” มู่อวิ๋นซีขยี้ยาสร้างเนื้อในมือเล็กน้อย ให้ยาละลายออกมากลางฝ่ามือ และใส่บนรอยแผลที่ไหล่ของมู่จื่อโหรว และคลายมือออก
“ใส่ยาเยี่ยงนี้ทุกเช้าค่ำ ไม่เกินสิบวัน รอยแผลมลายสิ้น” มู่อวิ๋นซียื่นยาสร้างเนื้อที่เหลือให้มู่จื่อโหรว หากยามนางยื่นมือออกมารับ มู่อวิ๋นซีกลับยั้งมือไว้ “เรื่องนี้ เจ้ารู้ ข้ารู้ ห้ามบอกผู้อื่นเด็ดขาด”
“ได้ เชื่อเจ้า” มู่จื่อโหรวกุลีกุจอแย่งยาสร้างเนื้อเม็ดนั้น จากนั้นกลับคำฉับพลัน “เจ้ากลัวข้าบอกท่านปู่น้อยใช่หรือไม่?”
มู่อวิ๋นซีอึ้ง ตอบคำ “ตามใจเจ้า จะอย่างไรข้าก็มีเพียงเม็ดนี้เม็ดเดียว หากเจ้าไม่อยากใช้ จะมอบให้ท่านพ่อข้าก็ได้ ยาเม็ดนี้มีค่าควรเมือง ท่านพ่อข้าต้องดีใจมากแน่”
“มีเพียงเม็ดเดียว?”
“ใช่!” มู่อวิ๋นซีตอบอย่างหนักแน่น “นี่เป็นยาวิเศษ มิใช่ยาสามัญทั่วไป จะได้หาได้เป็นกำ”
“เห็นแก่ที่เจ้ารู้ตัวดี ข้าจะยอมทำใจให้เจ้าอยู่ที่ลาน…”
“จื่อโหรว?”
เสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้น “เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่? จื่อโหรว?”
พูดยังมิทันขาดคำ ประตูห้องถูกเปิดออก ชายใส่ผ้าคลุมสีเทาก้าวเท้าพร้อมพัดพาลมหนาวเข้ามาด้วย “เรื่องสวนดอกเหมยข้า…”
เขาชะงักคำพูดในทันที และจับจ้องมองมู่อวิ๋นซีอย่างตกตะลึง
คืนนั้นบนหลังคาเรือน เขางุนงงยิ่งนัก จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่านางดูคุ้นตา ยามนี้ได้มองในระยะใกล้เยี่ยงนี้ ความรู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นในจิตใจ คล้ายกับว่าเขารู้จักนางมาเนิ่นนานแล้ว
มู่อวิ๋นซีตะลึงเช่นกัน ชายที่เข้ามาคล้ายกับแฝงแสงอาทิตย์ไว้ในดวงตา ทั้งสวยงามและอบอุ่น ทำให้นางทั้งเพ้อหาและหวาดกลัว
หากพูดจริงจังแล้ว มิว่าชาติก่อนชาตินี้ นี่ควรจะเป็นการพบกันครั้งแรกของนางและเขา
ชาติก่อน คืนนั้นนางมิได้เห็นรูปโฉมเขาชัดเจน จากนั้นได้ยินข่าวคราวว่าเขาป่วยตาย
หลายคืนก่อน มีความมืดรายล้อม นางยังคงมิได้เห็นรูปโฉมเขาชัดเจน
“ท่านพี่!”
มู่จื่อโหรวกระทืบเท้า “นี่ท่านมาหาข้าหรือมาหามู่อวิ๋นซีเจ้าคะ?”
“จื่อโหรว!”
มู่จื่อชวนจึงพึงสังเกตได้ว่าเขากระทำตัวมิสมควร เขากระแอมใส่มู่จื่อโหรวหนึ่งคำ จากนั้นหันไปยกมือขึ้นคารวะมู่อวิ๋นซีพลางว่า “คำนับท่านอาอวิ๋นซีขอรับ!”
มู่อวิ๋นซีเบี่ยงตัวหลบหลีกการคำนับของมู่จื่อชวน ความรู้สึกร้อนรนผุดขึ้นกลางใจ “ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เมื่อออกจากห้องมู่จื่อโหรว ลมหนาวพัดมาโดนตัว นางพลันได้สติคืนมา หันกลับไปมองห้องของมู่จื่อโหรว
ต่อให้นางรู้ว่าเขาเป็นพี่ชายนางแล้วเยี่ยงไรกันเล่า? ถึงเวลาเปิดเผยความจริง มิแน่ว่าเขาจะอยากรับนางเป็นน้องสาว เนื่องด้วยหลายปีมานี้ มู่จื่อโหรวถึงเป็นน้องสาวเขา มิแน่ว่า ถึงเวลานั้นนางจะกลายเป็นศัตรูของเขา
นางถอนหายใจแผ่วเบา หมุนตัวเดินไปทางห้องตน
“คุณหนูสาม ท่านกลับมาแล้ว!”
สาวใช้ที่รอหน้าห้องเมื่อเห็นมู่อวิ๋นซีกลับมา รีบเข้าไปรับหน้าพลางคารวะนาง
“นายท่านสั่งการให้ห้องครัวตระเตรียมอาหารมากมายปลอบขวัญคุณหนูเจ้าค่ะ คุณหนูดูว่าชอบจานไหนนะเจ้าคะ แล้วบอกข้าน้อย ต่อไปข้าน้อยจะได้ให้ห้องครัวทำให้คุณหนูทานบ่อยๆ”
“ลำบากเจ้าแล้ว”
มู่อวิ๋นซีเข้าในห้อง และเห็นอาหารมากมายเต็มโต๊ะ อุดมสมบูรณ์กว่าหลายวันก่อนมากนัก
หากชายตาแลไป สีหน้านางพลันเย็นชาลง
“อาหารมีพิษ?”
น้ำเสียงเคร่งขรึมเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายนาง