“น่าจะไม่มี”
ปากว่าเยี่ยงนั้น หากมู่อวิ๋นซียังคงหยิบปิ่นปักผมบนหัวลงมา และดึงเข็มเงินในนั้นออกมาทดสอบดู และเข็มเงินมิได้เปลี่ยนสี
“ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดสีหน้าเจ้าจึงย่ำแย่เยี่ยงนั้นเล่า?” เฟิ่งเชียนเย่กวาดตามองอาหารบนโต๊ะอย่างเคลือบแคลงอีกครั้ง เขามองไม่ออกว่ามีปัญหาอะไร
“หน่อไม้กินกับเนื้อแพะ จะทำให้ปวดท้อง ท่านดูปลาไม้กางเขนตัวนี้เล่า ด้านข้างเป็นแบะหมึ่งตง หากสองอย่างกินด้วยกันจะทำให้เป็นพิษ ยังมีมันฝรั่ง ท่านดูแผ่นนี้เล่า ออกต้นอ่อนเยี่ยงนี้ กินเข้าไปจะเป็นพิษได้”
นางนั่งลงข้างโต๊ะ มองดูอาหารเลิศรสที่ไม่อาจทานได้บนโต๊ะ “ดูท่า ข้าจะขวางหูขวางตาผู้อื่นยิ่งนัก”
แผนร้ายแผนแล้วแผนเล่า ไม่ยอมหยุดพักเลยสักนิด
สายตาเฟิ่งเชียนเย่เริ่มก่อตัวบางสิ่งบางอย่างขึ้น จากนั้นเขายื่นมือไปหยิบจานหน่อไม้เนื้อแพะ
วางใส่กล่องอาหาร
“ทำกระไรรึ?” มู่อวิ๋นซีรั้งมือเขาที่กำลังยื่นไปหาอาหารอีกจานพลางถามด้วยความสงสัย
“ให้มู่เซิ่ง”
ง่ายดายเพียงสามคำ หากกลับพุ่งเข้าสู่กลางใจขมขื่นของมู่อวิ๋นซีราวน้ำผึ้งหวาน และปลุกกระแสขึ้นเป็นชั้นๆ พกพากระแสความหวานมาด้วย
มีคนที่มีศัตรูคนเดียวกับนาง ดียิ่งนัก
มู่อวิ๋นซีรู้สึกคัดจมูกชั่วครู่ ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตางามเปล่งประกายราวดาวนับพันล้านดวงกำลังส่องแสง
“ขอบน้ำใจ”
แสงสว่างดุจดวงดาวในดวงตาหญิงสาวตรงหน้า ช่างเหมือนแสงดาวเต็มฟ้าที่เขาพบกับนางครั้งแรก ทำให้เขาสับสนหัวใจไปชั่วครู่
เขารีบเบนสายตาหนี และยกจานแบะหมึ่งตงปลาไม้กางเขนขึ้นอีก “ติดค้างบุญคุณผู้อื่น ต้องทดแทนคุณ”
“ต่อให้เป็นเยี่ยงนั้น ข้าก็ขอบน้ำใจท่านยิ่งนัก”
มู่อวิ๋นซีลุกขึ้นแย่งแบะหมึ่งตงปลาไม้กางเขนในมือเขามาวางลง “อันที่จริง พวกเขาส่งสิ่งเหล่านี้มามิได้เป็นเรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด”
เฟิ่งเชียนเย่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“คราก่อนพวกเขาเพียงต้องการทำลายชื่อเสียงข้า หากตอนนี้พวกเขากลับต้องการเอาชีวิตข้า เห็นได้ชัดว่า…พวกเขาร้อนใจแล้ว อีกประการหนึ่ง ในเมื่อพวกเขาส่งอาหารเหล่านี้มา จึงจะมิคิดร้ายข้าทางอื่น”
มู่อวิ๋นซีพูดเสียงเรียบ หยิบจานหน่อไม้เนื้อแพะที่เฟิ่งเชียนเย่ยกใส่กล่องอาหารออกมา จากนั้นหมุนตัวเดินไปทางโต๊ะยาวที่วางติดกำแพงฝั่งตะวันตก ย่อตัวลงหยิบกระดาษที่ยับยู่ยี่หนึ่งม้วนออกมาจากใต้โต๊ะยาวยื่นให้กับเฟิ่งเชียนเย่
“ถือเป็นการให้เวลาข้า นี่คือภาพที่ข้าแอบวาดเมื่อหลายวันก่อน”
เฟิ่งเชียนเย่เปิดออกดูครู่หนึ่ง และเก็บม้วนกลับ ไม่ถามนางแม้เพียงนิดว่าให้เขาทำอะไร เขาทำเพียงตอบคำว่า “วางใจเถิด”
เขากลอกตา พลางเดินไปยังโต๊ะยาว หยิบกล่องอาหารที่วางบนนั้นออกมา พลางตักอาหารเหล่านั้นออกมาใส่กล่องอาหาร จากนั้นมองมู่อวิ๋นซี “อาหารหลายวันนี้เจ้าอย่ากินเลย ข้าจะนำมาจากข้างนอกให้เจ้า”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้าสองครั้ง สีหน้ามีแววกระดากอาย “ข้า…ข้าไม่มีเงิน”
“ค้างบัญชีไว้!”
“หือ?”
ไม่รอมู่อวิ๋นซีได้สติกลับมา เฟิ่งเชียนเย่หายไปพร้อมกับกล่องอาหารที่ใส่อาหารพวกนั้นอย่างไร้ร่องรอย
วันนั้นยามห้องครัวมาส่งอาหารค่ำจึงสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของมู่อวิ๋นซี วันต่อมามู่เซิ่งมาดู และสั่งการออกไป นับจากนั้นอาหารเลิศรสมากมายพากันส่งเข้าห้องมู่อวิ๋นซีไม่ขาด
หิมะค่อยๆละลาย แม้แต่ทุกมุมและพื้นลาล้วนปราศจากร่องรอยว่าเคยมีหิมะตกมาก่อน หากอากาศยังคงหนาวยะเยือกอยู่
ยามนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว มู่อวิ๋นซีเตรียมตัวเข้านอน หากประตูกลับโดนถีบเปิดออกอย่างแรง มู่จื่อโหรวพุ่งเข้ามาพร้อมกับลมหนาวยะเยือก นางตรงเข้ามาที่หน้ามู่อวิ๋นซี และยกมือขึ้นเตรียมตบหน้าฉาดใหญ่
มู่อวิ๋นซีเอียงคอคว้าหมับเข้าที่ข้อมือมู่จื่อโหรว “เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ทำอันใด?” มู่จื่อโหรวกัดฟันกรอด มืออีกข้างยกมือหวังตบหน้ามู่อวิ๋นซีอีกข้าง แต่กลับโดนมู่อวิ๋นซีคว้าจับข้อมือไว้อีก
นางผลักมู่จื่อโหรวออก ใจเริ่มคาดเดาได้ว่าคงเป็นเพราะแผนการร้ายเปิดเผย ใจนางเต้นไม่เป็นส่ำ หากใบหน้ากลับนิ่งเฉย “มู่จื่อโหรว หากเจ้าอาละวาดอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
“เจ้ากล้าผลักข้า?”
มู่จื่อโหรวที่เดิมโกรธอยู่แล้วยิ่งเดือดดาลมากขึ้น เพียงแต่มองเห็นปิ่นปักผมในมือมู่อวิ๋นซีพลันชะงักฝ่าเท้าลง “นังแพศยา! คอยก่อนเถิด ข้าไม่จบกับเจ้าง่ายๆแน่!”
นางหมุนตัวจะเดินจากไป มู่อวิ๋นซีกลับผลันตัวขวางหน้านางไว้ “ไม่พูดกันให้รู้เรื่อง คืนนี้เจ้าอย่าหวังจะจากไป”
“เจ้า…”
ใบหน้ามู่จื่อโหรวแดงก่ำ ลงท้ายจำยอมภายใต้การบีบคั้นจากปิ่นปักผมของมู่อวิ๋นซี นางหยิบก้อนกระดาษยับยู่ยี่จากในเสื้อโยนใส่มู่อวิ๋นซี “ฝีมือเจ้าใช่หรือไม่? ข้าจะไปหาท่านพ่อเจ้า ไม่ ข้าจะไปหาท่านย่าข้า ให้นางฆ่าเจ้า! ไม่ ลากเจ้าออกไปแห่เป็นนักโทษ”
มู่อวิ๋นซีไม่สนใจนาง นางค่อยๆคลี่ก้อนกระดาษออก และหันด้านภาพหญิงสาวที่ไหล่ซ้ายมีรอยแผลใส่หน้ามู่จื่อโหรว พลางแกล้งทำเสียงตกใจว่า “นี่ใครกัน?”
“ข้า…” มู่จื่อโหรวโกรธจนลิ้นพันกัน
“เจ้ารึ?” มู่อวิ๋นซีทำหน้าถึงบางอ้อ พลางถอนหายใจแผ่วเบา พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “เหตุใดเจ้ากล้าวาดภาพเยี่ยงนี้ หากผู้ใดพบเห็นเข้าจะทำเยี่ยงไรกัน?”
มู่จื่อโหรวกระทืบเท้า “ข้าไม่ได้วาด หวางเอ้อร์! ไม่ เจ้าวาดแล้วให้กับหวางเอ้อร์ใช่หรือไม่? เจ้าจงใจให้เขาทำภาพหล่นกลางถนนใช่หรือไม่?”
หลายวันก่อนบนถนน มีคนพบเห็นภาพนี้กลุ่มหนึ่งหล่นจากอ้อมแขนหวางเอ้อร์ พอลมพัดมา ก็ปลิวกระจายไปทั่ว
จากนั้นมีคนขวางหน้าหวางเอ้อร์ไว้ ถามว่าคนที่อยู่บนภาพเขาเป็นผู้ใดกัน?
เจ้าโง่นั่นกลับพูดว่า เมียเขา มู่จื่อโหรว
บัดนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงข่าวลือแพร่ไปทั่วแล้ว นางพึ่งได้รับข่าว และเดาได้ว่าเป็นฝีมือมู่อวิ๋นซี เพราะในระยะนี้มีเพียงมู่อวิ๋นซีที่พบเห็นรอยแผลบนไหล่นาง
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
มู่อวิ๋นซีพูดด้วยสีหน้าน้อยใจ “หลายวันนี้ข้าไม่สบาย ไม่ได้ออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว ไปเจอหวางเอ้อร์เมื่อไหร่กัน? อีกอย่าง ข้าวาดรูปมิเป็น”
มู่จื่อโหรวอึ้ง “ไม่ใช่เจ้าจริงรึ?”
“แน่นอน!” มู่อวิ๋นซียัดภาพยับยู่ยี่เข้ามือมู่จื่อโหรว ปิดประตูห้องที่เปิดออก ถึงหันไปมองมู่จื่อโหรวที่กำลังตกตะลึง “ลองถอยมาดูสักก้าว ต่อให้ข้าจะวาดภาพเจ้าจริง ข้าก็ไม่มีทางวาดรอยแผลบนไหล่นั่น”
สายตามู่จื่อโหรวสว่างวาบ จริงด้วย หลังจากใช้ยาวิเศษ รอยแผลบนไหล่นางหายไปไม่เหลือเลย
“อวิ๋นซี เจ้าพูดถูก” ใบหน้านางมีรอยยิ้มทันที “คนในภาพนี้ไม่ใช่ข้า ไหล่ข้าไม่มีรอยแผลอันใด”
นางยกมุมปากอย่างได้ใจ “ข้าจะไปบอกท่านปู่น้อย ให้เขา…”
“จื่อโหรว!”
มู่อวิ๋นซีตัดบทคำพูดมู่จื่อโหรว “เรื่องพรรค์นี้เจ้าจะพิสูจน์กับท่านพ่อข้าเยี่ยงไร ถอดเสื้อผ้าให้เขาดูรึ?”
มู่จื่อโหรวอึ้ง ก่อนยิ้มตอบ “ข้าจะไปหาท่านย่าข้า ให้นางเป็นพยานความบริสุทธิ์ของข้า”
มู่อวิ๋นผงกหัว เปิดประตูห้องออก “ตอนนี้ยังไม่นับว่าดึกมาก องค์หญิงใหญ่น่าจะยังมิเข้านอน”
“อวิ๋นซี!” พอเดินถึงหน้าประตู จู่ๆมู่จื่อโหรวกลับคว้าแขนมู่อวิ๋นซี “ถ้าอย่างไร เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่?”
ต่อให้พิสูจน์ว่าหญิงในภาพมิใช่นาง แต่ต้องหาคนไปรับเคราะห์แทนจริงหรือไม่ มู่อวิ๋นซี เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด