เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 12 ความเก่า ความจริงที่เปิดเผย

“สักอะไรหรือเจ้าคะ?”
มู่อวิ๋นซีมองมู่เซิ่งอย่างแปลกใจ “ที่ท่านพ่อพูด หมายถึงสิ่งนี้หรือเจ้าคะ?”
นางยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปยังกลีบดอกไม้นั้นที่อยู่บนไหล่ซ้ายของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงเรียบใส แต่กลับเป็นเหมือนดั่งไฟที่กำลังแผดเผามู่เซิ่ง “มันมีมาตั้งแต่ที่ข้าเกิดแล้ว ท่านพ่อไม่รู้หรือเจ้าคะ ?อ๋อ จริงด้วยสิ เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในตอนนั้นได้เผาใบหน้าและร่างกายส่วนใหญ่ของข้าไปจนหมด เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านพ่อจะไม่เห็น ”
“ทว่าต่อมาข้าได้พบกับอาจารย์ ท่านได้รักษาแผลเป็นบนร่างกายของข้าจนหาย จึงทำให้ปานนี้ก็ปรากฏออกมา แล้วท่านพ่อไม่มีหรือเจ้าคะ ?ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่า รอยปานนี้จะตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น”
“เป็นเพียงคำพูดของหมอชนบท เชื่อถือไม่ได้” บนหน้าผากของมู่เซิ่งไหลพรากออกมาอย่างหนาแน่น
“ท่านรองมู่!” องค์หญิงใหญ่เรียกออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นอีกครั้ง “เจ้าไม่มีอะไรที่จะบอกกับข้างั้นรึ?”
เมื่อสิบหกปีก่อน ลูกสะใภ้ของนางได้คลอดลูก นางที่เพิ่งจะได้รับแจ้งข่าวว่าได้มีการให้กำเนิดเด็กสาว ทางฝั่งห้องคลอดก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น ลูกสะใภ้ของนางตายจากการถูกไฟเผาทั้งเป็น เหลือก็เพียงลูกที่นางพยายามปกป้องเอาไว้ในอ้อมอกเท่านั้น
และด้วยความที่อาจเป็นเพราะว่าสะเก็ดไฟที่โหมกระหน่ำทำให้บนไหล่ซ้ายของเด็กน้อยจากเดิมทีที่ควรจะเป็นปานกลายเป็นแผลเป็น
จึงทำให้นางไม่เคยตงิดใจเรื่องตัวตนของเด็กคนนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งนับวันที่นางโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วหน้าตาของนางยิ่งเหมือนกับหลิ่วเย่สนมของมู่เซิ่งเข้าไปทุกที จึงทำให้นางเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา เมื่อนึกย้อนกลับไปในเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนั้น ก็จำได้ว่าในเพลิงไหม้ครั้งนั้นยังมีเด็กที่ได้รับบาดเจ็บด้วยอีกคน
ดังนั้นนางจึงได้แอบส่งคนออกไปหาจนได้รู้ที่อยู่ของมู่อวิ๋นซี และก็ได้แจ้งกับมู่เซิ่งให้ส่งคนไปรับนางกลับมายังตระกูลมู่
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่ไปรับมู่อวิ๋นซีจะหายไปและไม่มีการส่งข่าวกลับมาใดๆ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้มู่จื่อโหรวเอาตัวมู่อวิ๋นซีมาด้วย นางก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามู่อวิ๋นซีได้กลับมาอยู่ยังจวนตระกูลมู่แล้ว
ตอนนี้เกรงว่าทุกอย่างจะไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว!
มู่เซิ่งทำการตัดสินใจทันที พลางมองไปยังองค์หญิงใหญ่ด้วยความตระหนก “พี่สะใภ้ วันนี้ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่าอวิ๋นซีมีรอยปานนี้เช่นกัน หวางมามา!”
เขากวาดสายตามองไปหายายหวาง “ในตอนนั้น เจ้าเป็นคนที่อุ่มอวิ๋นซี ไหนเจ้าลองว่ามาสิว่าตกลงเรื่องมันเป็นอะไร ?”

ยายหวางรู้สึกได้ถึงความหน้าชาของตัวเอง “ข้าน้อยจำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“จำไม่ได้รึ?” มู่เซิ่งโน้มตัวลงจับไหล่ของหวางมามาเอาไว้ พลางกัดฟันพูดมองนาง “ลูกชายของเจ้าเป็นคนโง่ แต่เจ้าไม่ใช่ แล้วเจ้าจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ?เจ้าลองคิดสิ ลองคิดดีๆ อีกที”
“คิดถึงลูกโง่ของเจ้า” เขากดเสียงต่ำพูดเน้นอีกครั้ง
นี่คือคำขู่!ข่มขู่ให้เธอรับความผิดโทษฐานสลับตัวทายาท ยายหวางที่ได้ยินอย่างนั้นถึงกับหน้าหมอง ความผิดนี้ หากนางยอมรับผิด นางจะยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่?
เมื่อเห็นว่ายายหวางไม่ตอบกลับ มู่เซิ่งจึงกดเสียงต่ำพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หากเจ้ายอมรับความผิดนี้ ข้าสัญญาว่าลูกชายของเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร้กังวล ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็จะได้ร่วมเดินทางไปยังปรโลกด้วยกัน”
เขาปล่อยมือออกจากยายหวาง แล้วตะเบ็งเสียงพูดขึ้นมา “หวางมามา เจ้าคิดอะไรออกแล้วรึ?”
ยายหวางหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา จ้องมองไปยังมู่เซิ่งอย่างแน่นิ่ง นายท่าน ท่านจะต้องดูแลลูกชายของข้าน้อยให้ดี
นางเบนสายตามองไปยังองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิง ข้าน้อยจำได้แล้วเจ้าค่ะ ในตอนนั้นเหตุไฟไหม้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยที่กำลังวิ่งอุ้มคุณหนูออกมาด้านนอก เผอิญมีคานบ้านล้มลงมาด้านหน้า ข้าน้อยไม่ทันได้ระวังจึงล้มหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นคุณหนูที่ถูกไฟเผากำลังร้องไห้โฮอยู่ข้างๆ แล้ว ”
“ตอนนั้นข้าน้อยขาดสติ จึงไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด และวิ่งอุ้มนางออกมาไปหานายท่านเพื่อเรียกหมอ หลังจากที่เกิดเรื่อง ข้าน้อยถึงเพิ่งรู้ว่า ฮูหยินน้อยเองก็อยู่ข้างๆ ตรงนั้นด้วย ……” เสียงของยายหวางแผ่วเบาลงมา “บาง……บางทีอาจเป็นไปได้ว่ามีการอุ้มผิดตัว?”
มู่อวิ๋นซีกุมหมัดแน่น หลอกลวงทั้งเพ!
อุ้มผิดตัวอะไรกัน ทั้งที่เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างดีแล้วต่างหาก
หางตาของนางเหลือบมองไปยังมู่เซิ่ง ถึงแม้สีหน้าของเขาจะดูตกใจ แต่แผ่นหลังที่ตึงแน่นของเขากลับดูผ่อนคลายลงมา แต่จะให้นางทำอย่างไรได้อีก ?

“ท่านย่า!”
และในตอนนั้นเอง มู่จื่อชวนเดินถือดอกเหมยแดงเข้ามาด้านใน พลางเข้าไปทำความเคารพต่อองค์หญิงใหญ่และมู่เซิ่ง ก่อนที่จะส่งดอกเหมยแดงที่อยู่ในมือให้กับมู่อวิ๋นซี
“ท่านอาอวิ๋นซี ค่ำคืนนี้อากาศดี ข้าเผอิญเห็นดอกเหมยแดงนี้พอดี จึงเด็ดมาให้ท่าน ”
มู่อวิ๋นซีมองไปยังดอกเหมยแดงที่ถูกยื่นมาตรงหน้าของตัวเองอย่างสงสัย พลางใจก็เต้นกระตุกขึ้นมา ก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับ “ขอบใจ”
ค่ำคืนนี้อากาศดี กับดอกเหมยแดงที่เขาพูดถึงนี้เกรงว่าอาจจะเป็นสิ่งที่ท่านชายเย่ส่งให้นาง
แต่จะว่าไปเพราะเหตุใดเขาถึงต้องส่งดอกเหมยแดงให้กับนางในเวลาแบบนี้ด้วย?
สายตาของนางตกลงไปยังดอกเหมยแดงที่อยู่ในมือ แล้วแววตาก็ประกายขึ้นมา ก่อนที่จะหันสายตามองไปยังยายหวางที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าหงุดหงิด “หวางมามา ท่านพูดถึงเหตุเพลิงไหม้อะไรกัน?”
“ก็เหตุเพลิงไหม้ที่เผาคุณหนู……” ยายหวางหันมองไปยังมู่อวิ๋นซี พร้อมกับนิ่งอึ้งอย่างกะทันหัน สายตาของนางจ้องเขม็งไปยังดอกเหมยแดงที่มู่อวิ๋นซีกำลังเล่นอยู่ในมือ ซึ่งกำลังวาดเป็นสัญลักษณ์อยู่หนึ่งคำอย่างชัดเจน หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือ”เอ้อร์”
ลูกชายของข้าอยู่ในมือเจ้าอย่างนั้นรึ?นางมองไปมู่อวิ๋นซีด้วยความประหลาดใจ
มู่อวิ๋นซีพยักหน้าลงอย่างไม่ตั้งใจพร้อมพูดขึ้นว่า
“ช่างน่าสงสารจิตใจของผู้เป็นพ่อแม่จริงๆ เลยเจ้าค่ะ ตอนนั้นเพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้ข้าถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ จึงได้ส่งตัวข้าออกไปจากจวนตระกูลมู่ ส่วนลูกชายของหวางมามาก็ไร้ปัญญาความสามารถ ทว่าหวางมามากลับดูแลเขามาอย่างดีโดยตลอด ”

สายตาของนางราวกับมีดและธนูทิ่มแทงไปยังยายหวาง ด้วยนัยว่าทางที่ดีท่านพูดความจริงเสียจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ
ยายหวางสั่นสะท้านขึ้นมา พลางกวาดสายตามองไปยังมู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหันกลับมามองมู่อวิ๋นซี ก่อนจะมองไปยังดอกเหมยแดงที่อยู่ในมือของนางอีกครั้ง และชำเลืองสายตามองไปยังมู่จื่อชวน หรือว่าพวกเขาจะรู้ตั้งนานแล้ว?
“ว่ามา!” องค์หญิงใหญ่ที่ไม่สามารถอดทนรอต่อไปได้อีกแล้ว ตวาดมือทุบลงไปบนโต๊ะชาอย่างแรง “แท้จริงแล้วเพลิงไหม้ในตอนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่ ?”
“องค์หญิง!”
ยายหวางรีบหมอบลงไปกับพื้น โดยที่สายตายังคงตวาดมองไปยังมู่อวิ๋นซีและมู่เซิ่ง หากบอกเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้น นางก็คงจะต้องตายสถานเดียว อีกทั้งยังผิดใจกับมู่เซิ่งด้วย แต่หากไม่พูด มู่อวิ๋นซีคงจะไม่มีวันปล่อยลูกชายของนางไปแน่ แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรอีก ?
“ข้าน้อยยินยอมที่จะพูดความจริงเจ้าค่ะ ความผิดทั้งหมดข้าน้อยจะขอยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว องค์หญิงได้โปรดเห็นแก่ที่ลูกชายของข้าน้อยเป็นคนโง่ ปล่อยให้เขาได้มีชีวิตต่อไปด้วยเจ้าค่ะ”
“ความจริงอะไร?” มู่เซิ่งรู้สึกหลังเย็นวาบขึ้นมาทันที
ทว่ายายหวางกลับไม่ได้สนใจเขา เอาแต่จ้องมองไปยังองค์หญิงใหญ่
“นี่เจ้ากำลังต่อรองกับข้าอย่างนั้นรึ?” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “ได้ ข้าให้สัญญากับเจ้า เพียงเจ้ายอมพูดความจริงออกมา ข้าก็จะยอมปล่อยลูกชายของเจ้าไป ”
“ขอบพระทัยองค์หญิง!”
ยายหวางกวาดสายตามองขึ้นไปยังมู่อวิ๋นซีและมู่จื่อโหรว พร้อมยกมือขึ้นชี้ไปยังมู่อวิ๋นซี “หากว่าข้าน้อยจำไม่ผิด นาง ถึงจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ขององค์หญิงเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังพูดอะไร?” มู่จื่อโหรวแทบจะกระโดดขึ้นมา พร้อมกับมองไปยังมู่อวิ๋นซีที่อยู่ข้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หากนางเป็นหลานสาวของท่านย่า แล้วข้าคือใคร?ยายหวาง นี่เจ้าเสียสติหรือโง่กันแน่?”
“ข้าน้อยไม่ได้เสียสติและก็ไม่ได้โง่เจ้าค่ะ สิ่งที่พูดนี้คือความจริงเจ้าค่ะ ในตอนนั้น ฮูหยินเล็กหลิ่วและฮูหยินน้อยตั้งครรภ์พร้อมกัน แล้ว ……”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
มู่เซิ่งราวกับวิญญาณลอยออกจากร่าง กระโจนเข้าไปบีบคอของยายหวาง
“นี่เจ้าจะบอกว่าจื่อโหรวถึงจะเป็นลูกสาวของข้าอย่างนั้นหรือ ?หลายปีผ่านมานี้ เจ้าอุ้มผิดตัวเหตุใดถึงไม่พูดออกมา?เหตุใดถึงไม่พูด?เจ้าเห็นจื่อโหรวเรียกข้าที่เป็นพ่อคนนี้ว่าปู่น้อย เจ้ามีความสุขมากใช่หรือไม่?ใช่หรือไม่?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset