เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 13 ความริษยา สองหลานย่า

“จะนิ่งกันอยู่ทำไมกัน ดึงตัวเขา รีบดึงตัวเขาออกมา !” องค์หญิงใหญ่ร้องขึ้นมาทันทีหลังจากที่กลับมาตั้งสติได้
มู่จื่อชวนเข้าไปโอบเอวของมู่เซิ่งเอาไว้ พร้อมกับเหล่ายายรับใช้อีกหลายคนที่กระโจนเข้าไปช่วยแกะมือของมู่เซิ่งออก พวกเขาพยายามอยู่นานกว่าจะดึงตัวเขาออกมาจากตัวของยายหวางสำเร็จ โดยที่มู่เซิ่งยังคงมีท่าทีที่ไม่ยอมสงบลงจ้องมองไปยังองค์หญิงใหญ่
“พี่สะใภ้ ท่านได้ยินสิ่งที่นางพูดแล้วหรือไม่ ?สิบหกปีแล้ว ที่นางมองดูข้ากับจื่อโหรวที่ได้เพียงรู้จักกันแต่ไม่ชิดเชื้อ มองดูลูกสาวของข้าเรียกข้าว่าปู่น้อย?พี่สะใภ้ ท่านจะห้ามไปทำไมกัน ยายแก่เจ้าเล่ห์เช่นนี้ นางก็สมควรตายแล้ว !”
“ต่อให้นางจะสมควรตาย แต่ก็ควรที่จะทำทุกอย่างให้ชัดเจนเสียก่อนว่าเหตุเพลิงไหม้ในตอนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนี้?” องค์หญิงใหญ่หันไปถามยายรับใช้ที่กำลังตรวจดูยายหวาง “เป็นอย่างไร?”
“ตายแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้า……” องค์หญิงใหญ่หันกลับไปมองมู่เซิ่งอย่างขุ่นเคือง
มู่เซิ่งแสดงสีหน้าไร้เดียงสาเดินเข้าไปเอามือเตะจมูกวัดลมหายใจของยายหวาง แล้วก้อนหินอันหนักอึ้งภายในใจก็คลายลง พลางแสร้งหันไปมององค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้าเศร้าใจ “พี่สะใภ้ ข้า……ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงแค่พลั้งมือเพราะโทสะไปเท่านั้น”
โทสะ?
เป็นเพราะความหวาดหวั่น ความกลัวมากกว่ามั้ง !
มู่อวิ๋นซีลดสายตาลง อยากจะกระโจนเข้าไปฆ่ามู่เซิ่งให้ตายเสีย แต่นางทำไม่ได้
นางได้เพียงกัดริมฝีปากแน่น นางไม่ควรที่จะเอาทั้งชีวิตของตัวเองไปแลกกับคนอย่างเขา
ในเมื่ออยากมีชีวิตอยู่ต่อ นางก็จะให้เขาได้มีชีวิตต่อไป ให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุข
แต่สักวันหนึ่ง นางจะทำให้เขาได้เข้าใจว่าสิ่งใดที่เรียกว่าตายทั้งเป็น !
นางค่อยๆ ปล่อยดอกเหมยแดงในมือลงไป พลางขาอ่อนลงไปคุกเข้ากับพื้นราวกับกำลังหวาดกลัว

“อวิ๋นซี!”
องค์หญิงใหญ่ละความสนใจจากตัวมู่เซิ่ง พลางส่งสายตาให้คนที่อยู่ตรงนั้นนำศพของยายหวางออกไป พร้อมกับลุกขึ้นมาพยุงตัวมู่อวิ๋นซีเอาไว้ “ให้ย่าได้ดูหน้าเจ้าชัดๆ หน่อยเถิด”
ทางด้านมู่จื่อโหรวที่ยืนอึ้งอยู่นานตั้งสติอีกครั้ง พร้อมเข้าไปดึงตัวมู่อวิ๋นซีออก แล้วมององค์หญิงใหญ่ด้วยใบหน้าน้อยใจ “ท่านย่า ท่านเข้าใจผิดไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ?นางคือมู่อวิ๋นซี เป็นลูกสาวของท่านรองมู่และหลิ่วเย่ แล้วนางจะเป็นหลานสาวของท่านได้อย่างไรเจ้าคะ ?”
“จื่อโหรว!” องค์หญิงใหญ่มองไปยังมู่จื่อโหรวด้วยสายตาที่ซับซ้อน “ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ย่าของเจ้า แต่หลังจากนี้ไปข้ายังจะปฏิบัติเจ้าดังแต่ก่อน ……”
“ท่านย่า!”
มู่จื่อโหรวขัดจังหวะขององค์หญิงใหญ่อย่างรวดเร็ว “สิ่งที่ยายหวางคนนั้นพูดล้วนแต่เป็นคำพูดเหลวไหล ท่านเชื่อได้อย่างไรเจ้าคะ ?ข้าคือหลานสาวของท่าน ข้าถึงจะเป็นหลานสาวตัวจริงของท่านต่างหาก นางไม่ใช่เจ้าค่ะ!”
นางจ้องมู่อวิ๋นซีอย่างโกรธเคือง “นางเป็นลูกสาวของมู่เซิ่งและหลิ่วเย่ ข้า ……”
“จื่อโหรว!”
“หุบปาก!” มู่จื่อโหรวตะคอกขัดคำเรียกของมู่เซิ่ง “เจ้าดูเจ้าสิ แล้วดูข้า พวกเราเหมือนกันตรงไหนหรือ ?ข้าจะเป็นลูกสาวของเจ้าได้อย่างไร ?ข้าเป็นหลานสาวขององค์หญิงใหญ่ ท่านพ่อของข้าคือ……”
“มู่จื่อโหรว!”
องค์หญิงใหญ่ตะเบ็งเสียงขัดคำพูดของมู่จื่อโหรว พร้อมยกมือขึ้นมาชี้ไปยังมู่เซิ่ง “พ่อของเจ้า คือเขา!”
นางเหลียวสายตามองไปยังมู่จื่อชวนที่กำลังมองดูทุกอย่างอยู่ข้างๆ อย่างสับสน “จื่อชวน เปิดไหล่ซ้ายของเจ้าให้จื่อโหรวดู”
มู่จื่อชวนถึงจะไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ แต่เขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก พลางปลดสายรัดเอว แล้วดึงเสื้อลงเผยให้เห็นไหล่ซ้ายอันแข็งแกร่งพร้อมกับปานรูปดอกท้อที่อยู่บนไหล่นั้นของเขา
“เป็นไปได้อย่างไร?”

มู่จื่อโหรวถึงกับนิ่งอึ้ง จนถึงตอนนี้นางถึงเพิ่งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดในตอนที่องค์หญิงใหญ่จึงมีสีหน้าแบบนั้นตอนที่ได้เห็นว่าบนไหล่ของนางไม่มีรอยปาน และในตอนที่เห็นไหล่ของมู่อวิ๋นซีมีปานลายกลีบดอกถึงได้มีสีหน้าร้อนใจแบบนั้น ?
แต่ในเวลานี้ องค์หญิงใหญ่กลับไม่ได้สนใจในตัวนางเลยสักนิด ดวงตาทั้งสองเอาแต่จ้องมองไปยังมู่อวิ๋นซีอย่างไม่ละ ภายในดวงตาอันขุ่นมัวมีหยดน้ำตาผุดขึ้นมาทีละน้อยๆ แล้วดึงตัวมู่อวิ๋นซีมาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง พร้อมพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “อวิ๋นซี เจ้าเด็กน้อยน่าสงสารของข้า!หลายปีมานี้ ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
นางไม่อาจคิดฝันเลยว่าเด็กน้อยที่ถูกไฟคลอกไปครึ่งตัวคนนี้จะเป็นหลานสาวของตัวเอง
นางไม่คิดฝันเลยว่าหลานสาวแท้ๆของนางจะไม่เคยได้อยู่ข้างกายของตัวเองเลย
ในขณะที่มู่อวิ๋นซีที่ถูกกอดอย่างกะทันหันแบบนี้เกิดความรู้สึกผิด และไม่สบายใจ แต่เพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกได้ว่ากอดนั้นช่างอบอุ่นราวกับแสงแดดอันสดใสในฤดูหนาว ทำให้นางรู้สึกสงบ รู้สึกสบายใจ และทำให้นางร็สึกคะนึงหา
จากนั้นดวงตาของนางก็แดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จมูกก็ไม่รู้ว่าจิ๊ดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คำว่าท่านย่าสองคำนี้ติดอยู่ในคอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงพูดไม่ออก
ผ่านไปสักพักใหญ่ องค์หญิงใหญ่ถึงจะปล่อยตัวมู่อวิ๋นซีออก พร้อมกับชักมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของนาง “อย่าร้องไห้เลย ลูก กลับมาก็ดีแล้ว กลับมา ……”
“มู่อวิ๋นซี!”
มู่จื่อโหรวที่อยู่ข้างๆ เกิดความอิจฉาจนแทบคลั่ง หางตาที่หันไปเห็นภาพวาดยับยู่ยี่ที่ไม่รู้ว่าตกไปอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ความโกรธเคืองก็ปะทุขึ้นมา “เจ้าจงใจทำลายข้าใช่หรือไม่ ?เป็นเพราะยาวิเศษอะไรนั่นของเจ้า ที่เจ้าบอกว่าสามารถลบรอยแผลเป็นออกไปได้ แล้วมันก็ไปลบปานของข้าออก”
ถ้ารอยแผลเป็นนั้นยังอยู่ มีหรือที่องค์หญิงใหญ่จะไม่ยอมรับนาง ?
มู่อวิ๋นซีเหลียวไปยังมู่จื่อโหรว “ข้าเปล่านะ ข้าเพียงนึกถึงในตอนที่ร่างกายของข้ามีรอยแผลเป็นแล้วถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ แล้วคิดว่าเจ้าเองก็คงจะทุกข์ใจเพราะแผลเป็นนี้เช่นเดียวกันเท่านั้น ดังนั้นเลยเอายาที่อาจารย์ได้จัดเอาไว้ให้ข้าให้เจ้าใช้ก็เท่านั้น”

“ในตอนนั้นร่างกายซีกซ้ายของข้าล้วนมีแต่แผลเป็น แต่ตอนนี้แผลเป็นหายไปหมดแล้ว แต่ปานกลับยังมีอยู่ นั่นก็ทำให้รู้แล้วว่ายานี้สามารถลบรอยแผลเป็นได้เท่านั้น ไม่สามารถลบปานได้”
“ถุ้ย!”
มู่จื่อโหรวถุยน้ำลายออกมาอย่างแรง “ใครจะเชื่อ?เจ้าจงใจ จงใจให้ข้า …… ”
“พอได้แล้ว!” องค์หญิงใหญ่มองมู่จื่อโหรวด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดถึงได้มีความคิดใจดำเช่นนี้ ?หากอวิ๋นซีไม่ใจดี ตอนนี้บนไหล่ของเจ้าก็นยังมีแผลเป็นอยู่”
“ท่านย่า คือ……”
“จื่อโหรว!” มู่เซิ่งร้องขึ้นมาเพราะไม่อาจทนดูต่อไปอีกได้แล้ว แล้วเข้าไปคว้าตัวมู่จื่อโหรวเอาไว้ ก่อนจะหันไปพูดกับองค์หญิงใหญ่ด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้และอวิ๋นซีคงจะยังมีเรื่องมากมายที่จะพูดคุยกัน ข้าจะพาจื่อโหรวขอตัวกลับก่อน”
รอจนทั้งสองคนจากไป องค์หญิงใหญ่ถึงหันกลับไปมองมู่อวิ๋นซีอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด “ทั้งหมดเป็นเพราะย่าไม่ดีเอง หลายปีมานี้ถึงจะสังเกตเห็นได้ว่าจื่อโหรวและหลิ่วเย่มีความคล้ายคลึงกัน แต่กลับไม่ได้เอาไปใส่ใจคิดเลย ถ้าหากว่า ……”
นางถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วหันไปพูดกับมู่จื่อชวนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ “เจ้าก็เหมือนกัน น้องสาวเจ้ากลับมา เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่บอกกับข้า ?”
มู่จื่อชวนถึงสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้า……ข้าไม่รู้ว่านางคือน้องสาวของข้า”
“จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกัน”
องค์หญิงใหญ่หันกลับไปมองมู่อวิ๋นซีที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด “อวิ๋นซี ข้ารู้ว่ามันยากสำหรับเจ้าที่ได้รับรู้ข่าวนี้เช่นเดียวกัน คืนนี้กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้มาทานอาหารกับย่าที่นี่ พวกเรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะเลย”
“ของพวกนี้” นางหยิบเอาขนมทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะชาส่งให้กับมู่อวิ๋นซี “หากว่าอีกเดี๋ยวหิวขึ้นมาก็กินพวกนี้ ของกินพวกนั้นในห้องของเจ้าไม่ต้องกินอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่ ?”
เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำ และน้ำเสียงอันสั่นเครือขององค์หญิงใหญ่ มู่อวิ๋นซีก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา คำพูดนั้นที่ติดอยู่ในคอมาตั้งนาน “ท่านย่า” ในที่สุดก็หลุดออกมาจากปากเสียที
นางดูออก องค์หญิงใหญ่เป็นห่วงนางด้วยจริงใจจริงๆ
องค์หญิงใหญ่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะตอบสนองกลับ พยักหน้าด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า “อื้ม!มีย่าอยู่ เจ้าวางใจได้ ต่อจากนี้ไปมียายอยู่ด้วยแล้ว จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องได้รับความทุกข์ใจอีก วันนี้ก็ดึกมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“ไป่หลิง” นางหันไปมองยังสาวใช้หน้ากลมที่อยู่อีกด้าน พลางพูดออกมาอย่างสะกดความรู้สึกตื้นตันในใจ “ส่งคุณหนูกลับไป”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset