เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 18 อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว หลิ่วเย่

“ท่านพ่อ?” มู่จื่อโหรวอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ลานชิงจื่อถือเป็นลานที่ดีที่สุดในจวนตระกูลมู่ ก่อนหน้านี้คนที่พักอาศัยอยู่คือคุณหนูใหญ่แห่ง ครอบครัวลูกชายคนโต หลังจากที่นางสมรสออกไป ตัวจื่อโหรวร้องขออยู่นานกว่าที่องค์หญิงใหญ่จะอนุญาตให้นางย้ายเข้าไปอยู่ในลานชิงจื่อ นางเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับจะให้นางย้ายออกไป เช่นนี้นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?
เมื่อเห็นว่ามู่เซิ่งมีท่าทีที่จะไม่สนใจ มู่จื่อโหรวก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอีกครั้ง พลางผลักยายรับใช้ออกไปอย่างแรง พร้อมร้องตะคอกกระทืบเท้า “ข้าไม่ย้าย!นั่นคือลานของข้า เหตุใดข้าถึงต้องย้ายออกไปด้วย ?”
นางหันหน้าขวับมองไปยังองค์หญิงใหญ่ “ท่านป้า ท่านตอบตกลงกับจื่อโหรวแล้วว่าจะให้ข้าพักในลานชิงจื่อ ท่านคงจะไม่กลับคำพูดหรอกนะเจ้าคะ ?”
“บังอาจ!”
องค์หญิงใหญ่แสดงสีหน้าบึ้งตึง “ข้าเคยตอบตกลงกับเจ้าก็จริง แต่ในตอนที่ข้าตอบตกลงนั้น เพราะเจ้าเป็นหลานสาวของข้า ทว่าตอนนี้เจ้าเป็นคุณหนูสามแห่งครอบครัวลูกคนที่สอง หากเจ้ายังพักอยู่ในลานชิงจื่อต่อไป พี่น้องของเจ้าก็จะคิดว่าพ่อของเจ้านั้นลำเอียง”
“พี่น้อง?พี่น้องอะไรกัน พวกนางไม่ใช่พี่น้องของข้า !ข้า……”
“เพี๊ยะ!”
มู่เซิ่งยกมือขึ้นมาตบมู่จื่อโหรวที่กำลังร้องเอะอะ “ใครก็ได้ เข้ามาพาคุณหนูสามกลับไปที!”
รอกระทั่งยายรับใช้ลากตัวมู่จื่อโหรวออกไป องค์หญิงใหญ่พลันถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วมองไปยังมู่เซิ่ง “ก่อนหน้านี้ ข้าละเลยหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนนางให้ดี ตอนนี้ในเมื่อรู้ว่านางเป็นลูกสาวของเจ้ากับหลิ่วเย่แล้ว พวกเจ้าก็ช่วยอบรมสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้วกัน”
“ขอรับ!”
“ตอนนี้สาวใช้ ยายรับใช้ที่ให้การปฏิบัติงานในลานชิงจื่อ จงขับไล่ออกไปให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ผู้เดียว !”
มู่เซิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งพลางพูดอย่างลำบากใจ “พี่สะใภ้ คน……คนที่ให้การปฏิบัติงานในลานชิงจื่อจะบอกว่ามีมากก็ไม่ใช่ จะน้อยก็ไม่เชิง ตอนนี้จะไล่ออกไปทีเดียวทั้งหมดเช่นนี้ คนอื่นจะติฉินพวกเราเช่นไร”
“แล้วอย่างไร?เหล่าคนใช้ที่ในสายตาไม่ได้มีผู้ใดเป็นเจ้านายอยู่แล้ว ยังจะให้ข้าเลี้ยงดูให้กินดีอยู่ดีอีกหรือ ?ไล่ออกไป!อย่าเหลือแม้แต่คนเดียว!” องค์หญิงใหญ่พูดอย่างไม่พอใจ
“ขอรับ อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” มู่เซิ่งชำเลืองสายตามองไปยังมู่อวิ๋นซี แล้วพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่สะใภ้วางใจได้ สำหรับผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติงาน ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”

“ไม่ต้องรบกวนให้เจ้ามาจัดการหรอก เจ้าเพียงดูแลเรื่องการส่งคนเข้ามาก็พอแล้ว”
องค์หญิงใหญ่เหลียวหน้ามองไปหามู่อวิ๋นซี “ลานชิงจื่อเป็นลานของเจ้า คนที่จะเข้ามาปรนนิบัติเจ้าเลือกให้เอง คนที่เหมาะสมก็จะให้อยู่ ส่วนคนที่ไม่เหมาะสมก็ให้ไล่ออกไปแล้วค่อยเลือกใหม่ หากมีอะไรในจวนที่ไม่พอใจก็สามารถที่จะออกไปซื้อมาจากด้านนอก แน่นอน ว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเจ้า”
มู่อวิ๋นซีเข้าใจดีว่าสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ทำทั้งหมดก็เพื่อเป็นการดีแก่ตัวนาง ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็คงไม่มีท่าทีเช่นนี้กับเหล่าสาวใช้ยายใช้นั้นที่อยู่ในลานชิงจื่อ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะมีค่ำคืนใดในตอนที่นางกำลังหลับอยู่แล้วตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้
ภายในใจของนางนั้นรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมากทว่ากลับไม่ได้แสดงมันออกมาแต่หันมองไปทางมู่เซิ่งแทน ราวกับว่าหากไม่มีคำอนุญาตจากเขาก็ไม่กล้าที่จะพยักหน้ารับ
สายตาของมู่เซิ่งแข็งทื่อ ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน “ท่านย่าของเจ้าพูดถูกต้องแล้ว ลานชิงจื่อเป็นลานของเจ้า ไม่ว่าจะจัดวางอย่างไร หรือผู้ใดเป็นคนรับใช้ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าทั้งสิ้น”
“ขอบพระคุณท่านรองมู่!” มู่อวิ๋นซีกล่าวคำขอบคุณแก่มู่เซิ่ง ก่อนที่จะหันไปกล่าวขอบคุณองค์หญิงใหญ่ “ขอบพระทัยท่านย่าเจ้าค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าตอบรับ พลางค่อยๆ กวาดสายตามองไปยังมู่เซิ่ง ก่อนที่จะมองไปยังไป่หลิง “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะกลายเป็นสาวใช้ข้างกายของอวิ๋นซี จะเชื่อฟังนางเพียงคนเดียวเท่านั้น เข้าใจหรือไม่ ?”
ไป่หลิงพยักหน้ารับ พลางคุกเข่าลงต่อหน้าของมู่อวิ๋นซี แล้วหมอบหัวลง “ข้าน้อยไป่หลิง ขอน้อมคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”
“รีบลุกขึ้นมาเถิด” มู่อวิ๋นซีรีบเข้าไปพยุงตัวของไป่หลิงขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ “วันนี้ ต้องขอบใจเป็นอย่างมาก”
“นี่ถือเป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ไป่หลิงตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกระซิบกระซาบกัน องค์หญิงใหญ่ที่เพิ่งจะสงบอารมณ์ลงไปได้ ก็ต้องกล่าวตักเตือนอีกครั้ง “ไป่หลิง เจ้าจงคอยอยู่ให้การปฏิบัติงานข้างกายคุณหนูเอาไว้ หากผู้ใดกล้ามารังแกนาง แล้วนางไม่ยอมบอก เจ้าจงมาแจ้งกับข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยเขาไป”
ไป่หลิงที่ได้ยินเช่นนั้นไม่ได้ตอบกลับ ทว่าหันมองไปหามู่อวิ๋นซีแทน
มู่อวิ๋นซีที่เห็นดังนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าไป่หลิงกำลังบอกกับตัวนางว่านับแต่นี้ไปไป่หลิงจะเชื่อฟังเพียงนางเท่านั้น หากไม่มีคำอนุญาตจากนาง ต่อให้จะเป็นคำสั่งขององค์หญิงใหญ่ นางก็จะไม่รับฟัง
นางที่รู้อย่างนั้นก็อุ่นใจขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปโน้มเคารพองค์หญิงใหญ่ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตอบกลับด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอย่างไร้ขีดสุด

“ขอบพระทัยสำหรับความเอ็นดูของท่านย่า”
“เจ้าเด็กโง่ นี่เป็นสิ่งที่ย่าควรจะทำอยู่แล้ว” องค์หญิงใหญ่ยกมือขึ้นมากวักเรียกมู่อวิ๋นซี เรียกให้นางเดินเข้าไปหา
นางกุมมือของมู่อวิ๋นซีเอาไว้แล้วหันไปมองมู่เซิ่ง “ข้าไม่สามารถออกจากลานหย่งเหอได้ เจ้าจงช่วยข้าส่งจดหมายเชิญให้แก่ตระกูลลู่ ตระกูลฮั่ว ตระกูลติง รวมทั้งฮูหยินฉิน เชิญพวกเขาให้มาร่วมโต๊ะชาที่ลานหย่งเหอของข้าในอีกสามวันข้างหน้า รวมทั้งเพื่อเป็นสักขีพยานการปรับปรุงหนังสือวงศ์ตระกูล ให้อวิ๋นซีได้กลับสู่วงศ์ตระกูลเอาไว้ด้วย”
มู่เซิ่งฝืนปั้นใบหน้ายิ้มแย้มออกมา “พี่สะใภ้คิดได้ละเอียดถี่ถ้วน ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้เดี๋ยวนี้”
ทันทีที่เดินออกมาจากลานหย่งเหอ สีหน้าของมู่เซิ่งก็เคร่งขรึมขึ้นมา
กลับสู่วงศ์ตระกูลงั้นรึ?
ฮื้ม!หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ในวันแรกที่มู่อวิ๋นซีมายังจวน เขาควรที่จะเอาพีซวงวางยาให้นางตายไปเสีย ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ทุกก้าวก็พลาดไปหมด
เขากัดฟันแน่นด้วยความเคืองใจจนกลับมาถึงลานชิงจื่อ เขายกมือขึ้นขัดคำรายงานของยายรับใช้ที่อยู่ตรงหน้าประตู แต่เพียงเท้าข้างขวาของเขาก้าวเข้าไปด้านใน ก็มีถ้วยชาหนึ่งลอยมากระแทกตรงเท้าของเขา
“ทำสิ้นดีเชียวนะท่านรองมู่!” มู่จื่อโหรวจ้องมู่เซิ่งด้วยดวงตาแดงปาด “เจ้ายังจะมีหน้ากลับมีอีกรึ?”
สีหน้าของมู่เซิ่งหมองดำราวก้นหม้อ “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดกับพ่อเช่นนี้?”
“ท่านพ่อ?ถุ้ย!” มู่จื่อโหรวถุยน้ำลายออกมา “เจ้าเหมือนพ่อของข้าตรงไหน?ทั้งที่ความจริงเจ้าเป็นคนที่หางูมากัดข้า แล้วให้ข้าไปฟ้องกับท่านป้า แต่ตั้งแต่ต้นจนจบท่านกลับเอาแต่ช่วยพูดแทนมู่อวิ๋นซีนังแพศยานั่น เจ้ามันคนโกหก !คนโกหก!”

“พ่อทำไปก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น” มู่เซิ่งเริ่มรู้สึกปวดหัวหนัก
“เพื่อข้า?ท่านรองมู่ จนถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังจะหลอกข้าอีกหรือ ?ทำเพื่อข้าแล้วจะทำให้ข้าต้องย้ายออกมาจากลานชิงจื่อด้วยรึ?” มู่จื่อโหรวยิ้มเยาะ “ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ เจ้าอย่าได้คิด !ข้าไม่ย้าย!เจ้าคิดจะช่วยมู่หยุนซูแย่งลานชิงจื่อจากข้า ไม่มีทาง!”
นางยกมือขึ้นมาชี้ออกไปด้านนอกประตู “ไสหัวไป!”
“เจ้า……” มู่เซิ่งยกมือขึ้น
ยังไม่ทันที่เขาจะได้สะบัดมือออกไปก็ถูกใครบางคนจับข้อมือเอาไว้ก่อน “นายท่าน เรื่องอันใดกันถึงทำให้ต้องเดือดเช่นนี้?”
“หลิ่วเย่?” มู่เซิ่งหันกลับไปมองหญิงที่กำลังยืนยิ้มอยู่ด้านหลังของเขา “เจ้ากลับมาแล้ว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“เพิ่งกลับมาเจ้าค่ะ พอกับมาถึงก็ได้รู้ข่าวเรื่องของจื่อโหรวเลย” นางหันหน้าไปมองยังมู่จีอโหรวที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง “เจ้าวางใจได้ ก็เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แม่จะหาวิธีการทำให้เจ้าได้ย้ายกลับมาแน่นอน”
“แม่?” มู่จื่อโหรวตกใจจนผุดขึ้นมา “เจ้าไม่ใช่ท่านแม่ของข้า ข้า……ข้าไม่มีท่านแม่อย่างเจ้า”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตรงประตูนี้ นางเคยด่ามู่อวิ๋นซีว่ามีแม่เป็นหญิงโสเภณีในหอโคมเขียว แต่ว่าเพียงไม่กี่วัน คนที่นางด่าว่าคนนั้นกลับกลายเป็นมารดาของนางเสียเอง ?
ไม่ นางจะมีมารดาเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร
“จื่อโหรว!” ดวงตาของหลิ่วเย่แดงระเรื่อขึ้นมาทันที “แม่รู้ว่าหลายปีมานี้ แม่ไม่ยอมรับเจ้า ทำให้เจ้าเกิดความน้อยใจ ……”
“แค่ก!”
มู่เซิ่งแอบกระแอมเบาๆ หลิวเย่ก็รับรู้ได้ทันที ก่อนที่จะเปลี่ยนคำพูดอย่างกะทันหัน “แต่แม่ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าถึงจะเป็นลูกสาวแท้ๆของแม่ หลายปีมานี้ แม่ก็คอยทำทุกอย่างเพื่อเจ้ามาโดยตลอด”
“ผู้ใดชอบกัน?”
มู่จื่อโหรวยิ้มเยาะออกมา “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่ใช่ท่านแม่ของข้า ข้าไม่มีท่านแม่เช่นนี้ พวกเจ้าออกไปให้หมด !”
นางยื่นแขนออกไปดึงประตู โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเท้าซ้ายของมู่เซิ่งจะยังอยู่ด้านในก็ปิดประตูลงต่อหน้า

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset