เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 20 ตัดออก ดอกไม้ปีศาจ

“เรียนคุณหนู เมื่อสักครู่นี้ฮูหยินเล็กหลิ่วได้นำโบตั๋นสามสีสองกระถางกลับมาด้วย ทั้งยังสั่งอีกว่าให้ดูแลมันให้เป็นอย่างดี แต่ไม่คิดว่านังตัวดีคนนี้จะหันหลังไปโดนดอกโบตั๋นสามสีหักไปหนึ่งดอก” ยายรับใช้กัดฟันพูดพลางมองไปยังสาวใช้อย่างโกรธเคือง
“ข้าไม่ได้จงใจเจ้าค่ะ” สาวใช้มักจะเป็นคนฉลาด นางกล่าวโต้เถียงเพียงคำเดียว ก็หันหลังไปหมอบหัวลงต่อหน้ามู่อวิ๋นซี “คุณหนูโปรดให้ความเป็นธรรมด้วย ข้าไม่ได้จงใจจริงๆ เจ้าค่ะ คุณหนูได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย”
“ช่วยชีวิต?ชีวิตของเจ้าคู่ควรที่ ……”
“เอาเถิด!” มู่อวิ๋นซีขัดคำพูดของยายรับใช้ พลางหันกลับไปมองยังเรือนกระจกที่อยู่ด้านหลังของนางด้วยความสงสัย
“ในฤดูหนาวการเพาะดอกโบตั๋นในเรือนกระจกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่โบตั๋นสามสี ข้าก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก พาข้าไปดูหน่อยเถิด เจ้าเองก็เข้าไปด้วยกัน”
ยายรับใช้ชำเลืองมองไปยังสาวใช้คนนั้นอย่างหนัก ก่อนจะหันหลังแล้วเปิดม่านประตูผ้าฝ้ายขึ้น
สายลมอ่อนอันอบอุ่นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกไม้ล้อมมู่อวิ๋นซีเอาไว้ทันที ราวกับว่านางเพิ่งย่างก้าวจากฤดูเหมันต์อันหนาวเย็นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นเสียอย่างนั้น รอบๆ สายตาเต็มไปด้วยสีสันอันสดใส ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน อีกทั้งยังมีผีเสื้อ และผึ้งที่บินไปมาในบริเวณนั้น จนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่แล้ว
ในชาติที่แล้ว นางรู้ว่าห้องดอกไม้ของตระกูลมู่นั้นทั้งเมืองหลวงไร้ที่ใดจะมาเปรียบเทียบได้ ทั้งยังมีความสวยงามยิ่งกว่าเรือนดอกไม้ในพระราชวังเสียอีก แต่เมื่อวันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง นางก็ยังคงมีความตกตะลึงไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เฉพาะส่วนที่อยู่จวนตระกูลมู่เท่านั้น และนอกเมืองตระกูลมู่ยังมีแปลงดอกไม้ขนาดหนึ่งหมื่นแปลงอยู่อีกด้วย ซึ่งจะมีการนำกลีบดอกทั้งหมดมาใช้ในการทำสีน้ำแป้ง เครื่องหอม และสีย้อม
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงขององค์หญิงใหญ่ทั้งสิ้น แต่ตอนนี้เกรงว่ามันจะไม่ได้เป็นของนางอีกแล้ว
ไม่แม้แต่จะเป็นของคนในครอบครัวลูกคนโต แต่เป็นของมู่เซิ่ง แต่ต่อให้มู่เซิ่งจะได้ทั้งหมดนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ปล่อยชีวิตของพวกเขาไป
ดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ตรงหน้าเป็นดั่งเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผามู่อวิ๋นซี ทำให้แม้แต่จะหายใจยังรู้สึกลำบาก
“คุณหนูรอง!ท่านดูสิ!นี่คือโบตั๋นสามสีที่ฮูหยินเล็กหลิ่วเพิ่งส่งมาให้เจ้าค่ะ ทั้งหมดมีเพียงสองต้นเท่านั้น มีทั้งดอกตูม ดอกที่เริ่มบานแล้ว เมื่อรวมกับดอกที่บานเต็มที่แล้วทั้งหมดสิบหกดอก ตอนนี้ขาดไปหนึ่งดอก ฮูหยินเล็กหลิ่วจะต้องไม่พอใจเป็นแน่”
สาวใช้คนนั้นเข่าอ่อนลงไปคุกเข้าอีกครั้ง พร้อมกับก้มหน้าลงหมอบกับพื้นต่อหน้าของมู่อวิ๋นซี “คุณหนูช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้มีประสงค์ใดเลยเจ้าค่ะ”

มู่อวิ๋นซีสะกดความคิดยุ่งเหยิงลงไป แล้วมองไปยังโบตั๋นที่อยู่ตรงหน้า ดอกตุมที่กำลังรอจะเบ่งบานนั้นมีสีแดง ที่เป็นสีแดงสด หากเริ่มบานแล้วจะด้านในของมันจะปรากฏสีแดงเข้มสุดประหลาดออกมา หากเบ่งบานแล้วจากสีแดงเข้มจะกลายเป็นสีท้อที่ทรงเสน่ห์
ที่แท้นี่ก็คือโบตั๋นสามสี
ที่แท้ก็เป็นอย่างได้ฟังมาจริงๆ
ดวงตาของประกายออกมา แล้วมองไปยังสาวใช้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น “ลู่เอ๋อร์ กรรไกร!”
ไป่หลิงมองไปยังมู่หยุนวีอย่างประหลาดใจ ในขณะที่ลู่เอ๋อร์กำลังวิ่งเหยาะๆไปหยิบกรรไกรแล้ว
“คุณหนูรองท่านต้องการทำสิ่งใดเจ้าคะ?” ยายรับใช้ตื่นตระหนก “ดอกนี้จะเอาไปไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ หากฮูหยินเล็กหลิ่วรู้เข้า……คุณหนูรอง!”
ยายรับใช้ถึงกับเข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเทา
มู่อวิ๋นซีจับกรรไกร ยกขึ้นมาตัดโบตั๋นคอตกที่กำลังเริ่มบาน ดังฉับๆ ก่อนที่จะตัดโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานอย่างเต็มดอก ฉับๆ อีกครั้ง จากนั้นก็ตัดเอาดอกตูมอีกสามดอก จากนั้นเสียงของกรรไกรก็ดังขึ้นมาอีกหลายครั้ง
โบตั๋นสองต้น หนึ่งต้นโล้นไปหมด อีกต้นก็ดูเรียบร้อยไร้ดอก
เสียงฉับๆ ดังขึ้นมาอีกสองครั้ง โบตั๋นสองต้นล้มลงไปนอนกับพื้นทันที เรียบร้อย
มู่อวิ๋นซีวางกรรไกรลง หันสายตามองไปยังไป่หลิงที่กำลังมองตาค้างอย่างอึ้งตะลึง “ห่อดอกพวกนี้ให้หมด แล้วพวกเรากลับกัน”
“ไม่ ไปไม่ได้ พวกท่านไปไม่ได้เจ้าค่ะ !”
ตอนนี้ยายรับใช้ที่กำลังสติล่องลอยดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง พลางลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างโซเซ พร้อมกับอ้าแขนทั้งสองข้างกันท่ามู่อวิ๋นซีเอาไว้ แล้วหันหน้าไปตะคอกใส่สาวใช้ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนกระจก “ยังจะนิ่งอยู่ทำอะไรกัน รีบไปเชิญฮูหยินเล็กหลิ่วเร็วเข้า!”

“ข้าก็พักอยู่ที่ลานชิงจื่อ มามากลัวว่าข้าจะหนีหรือไร ?เอาอย่างนี้” นางยกมือขึ้นมาชี้ไปยังลู่เอ๋อร์ “เช่นนั้นก็ให้นางตามไปดูข้าที่ลานชิงจื่อแล้วกัน ถ้าหากข้าหนี ท่านก็ลงโทษนางได้เลย หรือว่า มามาจะไปจับตาดูข้าด้วยตัวเองเจ้าคะ ?”
เมื่อพูดจบ ยังไม่ทันที่ยายรับใช้จะได้ตอบกลับอะไร มู่อวิ๋นซีก็เดินออกมาเสียแล้ว
ยายรับใช้มองไปยังแผ่นหลังของไป่หลิงด้วยแววตาที่สั่นไหว ก่อนที่จะหันไปมองลู่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ “จะให้โอกาสให้เจ้าได้ชดใช้ความผิด ถ้าหากมีเรื่องผิดพลาดอันใด ต่อให้ฮูหยินเล็กหลิ่วจะไม่เอาความคุณหนูรอง แต่ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” ลู่เอ๋อร์ตอบกลับ
“ทางที่ดีเจ้าจับตาดูคุณหนูรองเอาไว้ให้ดีจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นบัญชีเรื่องโบตั๋นสามสีจะตกไปอยู่บนหัวเจ้า เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงแค่เจ้าที่จะลงเอยไม่ดี แต่แม่ของเจ้าจะถูกลากเข้าไปรับโทษด้วย ยังไม่รีบตามไปอีก ?”
ทันทีที่ลมเย็นพัดผ่าน ความโกรธเคืองและความเกลียดชังที่วนเวียนอยู่ภายในใจของมู่อวิ๋นซีถึงค่อยๆ สงบลง
เมื่อชาติที่แล้วถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเข้ามาในห้องดอกไม้ของตระกูลมู่มาก่อน แต่กลับเคยรู้เรื่องโบตั๋นสามสีนี้มาก่อน เพราะในคราวที่นางถูกขังไว้ในคุกใต้ดิน มีนางแซ่โจวคนหนึ่งคอยทำหน้าที่ส่งอาหารให้แก่นาง และก็เป็นนางโจวที่สงสารนาง ถึงได้ช่วยนางหาจินชวงเย่ามาให้นาง ถึงได้ทำให้ขาที่ถูกหักของขาไม่เน่าเปื่อยไป(จินชวงเย่าผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล)
แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ตลอดทั้งวันนางโจวไม่ได้มาส่งอาหารให้แก่นาง และพอในวันถัดมานางเข้ามาอีกครั้งแต่กลับมีรูปลักษณ์ที่ดูแก่ขึ้นมากกว่าเดิมไปหลายปี
มู่อวิ๋นซีจึงได้ถามนางว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางโจวบอกว่านางมีลูกสาวคนหนึ่งนามว่าลู่เอ๋อร์ รับผิดชอบเรื่องพืชพันธุ์ในจวน บังเอิญไปสัมผัสกับโบตั๋นสามสีดอกหนึ่งเข้า ฮูหยินเล็กหลิ่วจึงลงโทษโดยการให้นางคุกเข่าข้างๆ โบตั๋นสามสีโดยถือเถาม่วงและ และบอกว่าให้คุกเข่าเพียงธูปหนึ่งดอกก็เพียงพอ และเรื่องนี้นางก็จะไม่เอาความอีก
ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าทันทีที่ลู่เอ๋อร์คุกเข่าลงได้ไม่นาน ก็ดึงดูดเอาผึ้งจำนวนมากมายเข้ามาต่อยนางจนตายทั้งเป็น
นางโจวกล่าวว่าโบตั๋นสามสีนี้คือดอกไม้ปีศาจ นางต้องการที่จะไปหาองค์หญิงใหญ่เพื่อทูลแจ้งเรื่องนี้

แต่นับจากวันนั้น นางก็ไม่เคยได้เจอกับนางโจวอีกเลย
พอดีกับยายรับใช้ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ถึงทำให้นางค่อยๆ นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ถึงได้ลองเรียกชื่อลู่เอ๋อร์ขึ้นมา ปรากฏว่าไม่ผิดจากที่นางคิดเอาไว้เลย
“คุณหนูเจ้าคะ!ท่านรู้จักสาวใช้คนนั้นรึ?” ไป่หลิงถามอย่างสงสัย
มู่หยุนเซิงสับเปลี่ยนความคิดทันที พลางส่ายหน้าตอบกลับ “ไม่รู้จักหรอก เพียงแค่เมื่อสองวันก่อนได้ยินนางคนหนึ่งบอกว่านางมีลูกสาวคนหนึ่งนามว่าลู่เอ๋อร์ปฏิบัติงานอยู่ในสวนดอกไม้ เมื่อสักครู่นี้ข้าเห็นว่าแม่นางมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับนางคนนั้น ดังนั้นจึงลองเรียกดู ไม่คิดว่าจะใช่นางจริงๆ ด้วย”
“เช่นนี้นี่เอง” ไป่หลิงถอนหายใจออกมาเบาๆ “อันที่จริง เพียงคุณหนูพูดคำเดียว ยายรับใช้คนนั้นก็ไม่กล้าทำอะไรกับลู่เอ๋อร์แล้ว แต่ช่างเสียดายโบตั๋นสามสีสองดอกนั้นเสียจริงๆ ”
“ไม่น่าเสียดายหรอก นั่นคือดอกไม้ปีศาจ”
ก่อนหน้านี้นางจะเคยคิดว่าการที่ลู่เอ๋อร์ถูกผึ้งต่อยจนตายเป็นเรื่องน่าแปลก แต่ก็ทำได้เพียงเข้าใจว่ามันขึ้นเรื่องบังเอิญ แต่ตอนนี้นางไม่คิดเช่นนั้นอีกแล้ว
หลิ่วเย่ หญิงนางโลมจากหอโคมเขียวเข้ามาเป็นฮูหยินในตระกูลมู่ จนถึงตอนนี้ได้กลายเป็นผู้ช่วยของมู่เซิ่ง และดูแลกิจการแป้งประทินโฉมของตระกูลมู่ ซึ่งทุกการค้าย่อมมีเป้าหมายของมันอยู่แล้ว
นางต้องรู้ว่าโบตั๋นสามสีนี้สามารถดึงดูดผึ้งได้อยู่แล้วแน่นอน ดังนั้นถึงได้ให้ลู่เอ๋อร์ไปคุกเข่าลงข้างๆ โบตั๋นสามสี
การเก็บรักษาโบตั๋นสามสีเอาไว้ หลิ่วเย่จะไม่ได้ทำร้ายเพียงลู่เอ๋อร์ แต่ยังสามารถนำไปทำร้ายผู้อื่นอีก เช่นนั้นนางจำต้องขัดความคิดนี้ของนางเสียก่อน
“ดอกไม้ปีศาจ?” ไป่หลิงมองลงไปยังโบตั๋นสามสีในตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ในมือของตัวเองด้วยสีหน้าที่แข็งทื่อ
“ใช่ ดังนั้นข้าถึงต้องการนำดอกนี้ออกมา” นางหันหน้ามองไปยังลู่เอ๋อร์ที่ไล่ตามมา ก่อนจะหันกลับมามองไป่หลิง “ไปกันเถิด พวกเรากลับกัน ท่านรองมู่น่าจะส่งคนมาแล้ว”
เมื่อกลับมาถึงลานชิงจิ่ หลังจากให้ไป่หลิงและลู่เอ๋อร์ไปเลือกคน มู่อวิ๋นซีถึงค่อยกลับมาสำรวจโบตั๋นสามสีเหล่านั้นอย่างละเอียด
“เหตุใดถึงบอกว่านี่คือดอกไม้ปีศาจด้วย?”
ฝ่ามือใหญ่หนึ่งยื่นเข้ามาจากด้านหลังของนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วแย่งเอาโบตั๋นสามสีที่เริ่มบานที่นางถือเอาไว้ในมือไป

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset