“อันนี้ยังจำเป็นต้อง……”
มู่อวิ๋นซีหันหลังมา ก็เห็นเฟิ่งเชียนเย่นำโบตั๋นสามสีมาชนที่หน้าจมูก เค้าหน้าที่มีเสน่ห์และโบตั๋นที่สวยแปลกตา ช่างงดงามประดุจดั่งภาพวาดภาพหนึ่งจริงๆ
ในชั่วขณะหนึ่ง นางถึงขั้นรู้สึกว่าเฟิ่งเชียนเย่งดงามกว่าโบตั๋นสามสีนี้เสียอีก งดงามมากราวกับปิศาจอย่างไรอย่างนั้น
“จำเป็นต้องอะไรรึ?” เฟิ่งเชียนเย่เงยหน้าขึ้นแล้วซักถาม
มู่อวิ๋นซีรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่อาจหันสายตาไปมอง และจังหวะการเต้นของหัวใจก็พัวพันกันจนยุ่งเหยิงไปหมดเช่นกัน “ต้องให้เจ้าตรวจสอบยืนยันสักหน่อย ดอกไม้เหล่านี้ดึงดูดผึ้งได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
“แล้วก็” เพราะว่ากลัวเขาหายไปกะทันหัน มู่อวิ๋นซีจึงยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “เถาม่วง ถ้าดอกไม้นี้เพียงดอกเดียวไม่สามารถดึงดูดผึ้งได้ ก็ลองเอามันมารวมกับเถาม่วงดูสิ”
“อืม” สายตาของเฟิ่งเชียนเย่ลู่ลงไปจับจ้องที่มือเล็กๆที่อยู่ตรงแขนเสื้อของเขา
มือเล็กๆที่ไร้กระดูกหดกลับไปราวกับกระต่ายที่ได้รับความตื่นตระหนกตัวหนึ่ง แล้วรอยยิ้มก็เปล่งประกายออกมาจากภายในดวงตาของ เฟิ่งเชียนเย่อย่างรวดเร็ว
พอเขามองไปที่นางอีกครั้ง ภายในดวงตาของเขาก็กลายเป็นเหวลึกที่มองไม่เห็นขึ้นมา “ยินดีด้วยนะ……ที่เจ้าได้ครอบครองลานชิงจื่อ”
มุมปากของมู่อวิ๋นซียกรอยยิ้มที่ตื้นเขินขึ้น ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านพัดมา แล้วทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ก็ได้ฟื้นคืนชีพกลับมา “ต้องขอขอบคุณเจ้ามาก”
ถ้าหากเมื่อคืนวานเขาไม่ได้พานางไปแอบฟังที่มุมกำแพงห้องของมู่จื่อโหรวนางก็ไม่มีทางรู้เช่นกันว่าวันนี้นางจะนำงูมาทำให้นางโชคร้าย และนางก็จะไม่สามารถใช้แผนซ้อนแผนได้
“อ้อ ใช่แล้ว” มู่อวิ๋นซียิ้มเล็กน้อย “มีไป่หลิงกับลู่เอ๋อร์อยู่ เจ้าก็คงดำเนินการทำอะไรไม่สะดวกแล้วใช่หรือไม่?”
“พึ่งพาแค่พวกนางเองรึ?”
เมื่อแสงและเงามืดมิดลง ก็ไม่มีร่างของเฟิ่งเชียนเย่อยู่ตรงหน้านางแล้ว
“ดอก……” พอมู่อวิ๋นซีหันหลังกลับไป แล้วก็กลืนคำพูดที่อยู่ด้านหลังกลับลงไป และดอกโบตั๋นสามสีที่อยู่บนโต๊ะก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยแล้วเช่นกัน
“คุณหนูเจ้าคะๆ!”
ในเวลานั้นเอง ไป่หลิงก็พุ่งตัววิ่งเข้ามาอย่างเบิกบานใจ แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ท่านชายมาแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยก็เลยว่า สำนักศึกษาจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าการสร้างสัมพันธ์ต่อกันระหว่างพี่น้อง ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านชาย?”
นางกะพริบตาไปมาเพื่อยั่วเย้ามู่จื่อชวนที่รีบพุ่งตัวเข้ามาจากข้างนอก
สีหน้าของมู่จื่อชวนแข็งทื่อเล็กน้อย เขาดึงมุมปากขึ้น แล้วฝืนใจยิ้มอย่างไม่เต็มใจอยู่บ้าง “อวิ๋นซี……ข้า ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
มู่อวิ๋นซีเหลือบมองไป่หลิง พอรอจนเธอถอยออกไปแล้ว จึงมองไปทางมู่จื่อชวน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และยังมีอารมณ์โมโหเดือดดาลอยู่อย่างเบาบาง
นางเปลี่ยนความคิดเล็กน้อย แล้วก็กลืนคำว่าท่านพี่สองคำที่อยู่ข้างริมฝีปากนี้ลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็มองไปทางเก้าอี้ที่มีพนักเท้าแขน แล้วพูดว่า “นั่งเถิด”
“ไม่……ไม่นั่งแล้ว พูดจบข้าก็ไปแล้ว เจ้า……ข้า……”
ด้วยดวงตาที่ใสแจ๋วของมู่อวิ๋นซี คำพูดมากมายที่เขาเตรียมเอาไว้จึงไม่เป็นคำเป็นประโยคจนไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ในชั่วพริบตา
มู่อวิ๋นซีเองก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเช่นกัน นางจึงได้แต่มองเขาอย่างเงียบๆ และรอคำพูดต่อไปของเขา
มู่จื่อชวนจ้องมองตั่งที่อยู่ข้างๆเก้าอี้โดยไม่หันสายตาไปมอง แล้วพูดขึ้นมาว่า “เอ่อ คือว่า เปลี่ยนจากคนที่ประหยัดเป็นคนฟุ่มเฟือยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่จะเปลี่ยนจากคนที่ฟุ่มเฟือยเป็นคนประหยัดเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะ ถึงอย่างไรเสียจื่อโหรวก็เป็นคุณหนูรองแห่งครอบครัวลูกคนโตมาตั้งหลายปี และนางก็เคยชินกับสถานะนี้แล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าบังคับนาง……”
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อมู่จื่อโหรวจริงๆด้วย
หัวใจของมู่อวิ๋นซีมีความรู้สึกเศร้าซึมเล็กน้อย
นางจึงพ้นลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ เพื่อขับไล่ความรู้สึกที่เศร้าซึมนี้ออกไป ตอนที่พบเห็นเขาอยู่ในห้องของมู่จื่อโหรว ในวันนั้น นางไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้แล้วอย่างนั้นรึ?
ใช่ เขาคือพี่ใหญ่ของนาง
แต่ถ้าเขาไม่อยากยอมรับนาง นางก็จะไม่มีวันอ้อนวอนเขาด้วยการประจบเอาใจเป็นอันขาด
อย่างไรเสียนางก็เป็นแค่คนแปลกหน้าอยู่แล้ว ไม่ว่าสายตาของเขาจะเจิดจ้าแค่ไหน ก็ไม่มองมาที่นางเลย เพราะว่านางยืนอยู่ในเงามืดที่เขามองไม่เห็น
เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางจะไม่ต้องเอาแต่เพ้อฝันถึงเขาอีกต่อไป และนางก็จะได้ไม่ต้องผิดหวังในอนาคตอีกด้วย
“ดังนั้น” นางพูดขัดคำพูดของมู่จื่อชวน แล้วลุกขึ้น “ข้าสมควรที่จะปล่อยนางไปทุกเรื่อง โดนตบก็ไม่ต้องตบตอบ โดนด่าก็ไม่ต้องด่าตอบ ถึงแม้ว่านางจะตบแก้มซ้ายข้า ข้าก็ยังต้องยกแก้มขวาขึ้นให้นางตบอีก ใช่ไหม?”
“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้นะ” มู่จื่อชวนลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
“เช่นนั้นความหมายของท่านคือจะขอให้ข้าคืนฐานะคุณหนูรองแห่งครอบครัวลูกคนโตให้นางอย่างนั้นรึ?” สีหน้าของมู่อวิ๋นซีเย็นชายิ่งกว่าเดิมแล้ว “ให้นางเรียกพ่อของนางว่าปู่ต่อไป? เรียกป้าของนางว่าย่า? ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านไม่ควรมาพูดกับข้า ท่านควรไปพูดกับท่านรองมู่และองค์หญิงใหญ่จะดีกว่า”
สีหน้าของมู่จื่อชวนดูไม่ได้เล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่อ่อนโยนคนนี้จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้ง ภายในหัวใจของเขาก็ไม่อยากให้นางพูดแบบนี้กับเขาเลย
แต่พอนึกถึงใบหน้าที่ร้องไห้และท่าทางพยายามฆ่าตัวตายของมู่จื่อโหรว นึกถึงเสียงของนางที่กำลังเรียกเขา และบอกว่านาง มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว มู่จื่อชวนก็เลยรู้สึกว่าเขายังมีหน้าที่อธิบายเรื่องราวต่างๆให้มู่อวิ๋นซีฟังให้เข้าใจ
“อวิ๋นซีข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธฐานะของเจ้าหรอก เจ้าคือคุณหนูรองของครอบครัวลูกคนโต ข้ายอมรับ แต่จื่อโหรว……นางไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้มาสักพักแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้รีบมาหาเจ้าที่นี่ เจ้าดูสิ ลานชิงจื่อใหญ่โตขนาดนี้ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกัน……”
“ท่านอยากให้นางกับข้าอยู่ด้วยกันที่ลานชิงจื่ออย่างนั้นรึ?” มู่อวิ๋นซีพูดขัดจังหวะคำพูดของมู่จื่อชวน
มู่จื่อชวนพยักหน้า แล้วพูดว่า “จื่อโหรวชอบที่นี่มานานมากแล้ว ดังนั้นข้า……”
“ก็เพราะว่านางชอบ ข้าก็เลยอยากยกให้นาง?”
มู่จื่อชวนพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “เจ้า เจ้านี่มันไม่คำนึงถึงเหตุผลเลย ข้าไม่ได้ให้เจ้ายกให้นางเสียหน่อย”
“คำนึงถึงเหตุผลรึ? มู่จื่อชวน!” มู่อวิ๋นซีเดินเข้ามาใกล้ๆเขา แล้วพูดว่า “ท่านรู้ว่านางย้ายออกไปจากลานชิงจื่อแล้ว แล้วท่านรู้ไหมว่าทำไมนางถึงต้องย้ายออกไปจากลานชิงจื่อ?”
มู่จื่อชวนถอยหลังไปหนึ่งก้าว เอามือประสานกันแล้วคำนับให้มู่อวิ๋นซี หนึ่งครั้ง “ข้ารู้ว่านางใช้งูมาขู่ขวัญเจ้า สิ่งที่นางทำไปนี้มันไม่ถูกต้อง ข้าต้องขอโทษแทนนางด้วย นางถูกท่านย่ากับท่านรองมู่ตามใจจนเสียคนมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งนางอาจจะปากเสียนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีจิตใจที่ชั่วช้าอะไรเลยนะ”
เหอะ ใช่สิ คนที่มีจิตใจชั่วช้าก็คือนางนั่นแหล่ะ
ทันใดนั้นมู่อวิ๋นซีก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาโต้เถียงกับมู่จื่อชวนอีกแล้ว ในสายตาของเขา ไม่ว่ามู่จื่อโหรวจะเป็นอย่างไรก็ล้วนแต่ดีงามไปเสียหมด แม้ว่านางจะพูดอะไรออกไป เข้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี
ในเมื่อเขาไม่เชื่อคำพูดของนาง เช่นนั้นนางกับเขายังจะมีอะไรต้องพูดกันอีกล่ะ?
พี่ชายแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
นางหันหลังและนั่งลงอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ท่านไปเถิด”
“เช่นนั้น……” มู่จื่อชวนอ้าปากพูด “จื่อโหรวสามารถย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไหม?”
“ไม่ได้”
“มู่อวิ๋นซี! เจ้า……เจ้านี่มันดื้อดึงยิ่งนัก” มู่จื่อชวนร้อนอกร้อนใจเล็กน้อย
“กลับดีๆล่ะ ข้าไม่ส่งนะ”
มู่จื่อชวนไม่ได้จากไป เขาระงับความหงุดหงิดที่กำลังถาโถมซัดสาดอยู่ในหัวใจเอาไว้และมองไปที่มู่อวิ๋นซีด้วยสายตาเย็นชา “เช่นนั้นเราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ได้ยินมาว่าเจ้าทำลายโบตั๋นสามสีสองต้นไปแล้วอย่างนั้นรึ?”
มู่จื่อโหรวนี่ นอกจากจะให้เขามาช่วยพูดกับมู่อวิ๋นซีว่าอยากจะย้ายกลับมาอยู่ที่ลานชิงจื่อแล้ว ยังจะฝากฝังให้เขาขอเอาดอกโบตั๋นสามสีคืนมาจากมู่อวิ๋นซีอีก
“ดังนั้น ท่านมาที่นี่เพื่อประณามข้างั้นรึ?”
หัวใจของนางเย็นชาไปแล้ว เมื่อเอ่ยปากพูดอีกครั้ง คำพูดของมู่อวิ๋นซีจึงยิ่งเต็มไปด้วยการเสียดสีเหน็บแนม
“ไม่ใช่ ดอกไม้หนึ่งกระถาง แม้ว่าจะล้ำค่า แต่มันก็ได้ถูกทำลายจนพังทลายลงไปแล้ว” เมื่อพูดคำกล่าวโทษออกมาในชั่วพริบตาเดียวความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นตามลำดับมู่จื่อชวนจึงรีบพูดด้วยเหตุผลว่า “แต่โบตั๋นสามสีนั้นเป็นดอกไม้ที่ฮูหยินเล็กหลิ่วให้คนมาปลูกไว้เพื่อจื่อโหรวโดยเฉพาะนะ”
“ดังนั้น ความหมายของท่านก็คือจะให้ข้าชดใช้ให้นางรึ?”
มู่อวิ๋นซีรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่พอเห็นว่าเขาเอาแต่พูดถึงมู่จื่อโหรวนางก็ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจถึงได้รู้สึกไม่มีความสุขเอาเสียเลย
“หามิได้ๆ ข้าได้ยินยายรับใช้ที่ห้องดอกไม้พูดว่า เจ้าเอาดอกโบตั๋นที่ตัดไปหมดแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้ข้าสักสองดอกได้หรือไม่ ข้าจะเอาไปให้จื่อโหรว นางยังไม่เคยเห็นเลย เช่นนี้ก็จะถือว่าความตั้งใจดีของฮูหยินเล็กหลิ่วไม่ได้เสียแรงเปล่า”