ต้องการดอกโบตั๋นสามสีรึ?
หัวใจของมู่อวิ๋นซีจมดิ่งลงเล็กน้อย นางพูดปฏิเสธว่า “ไม่มี”
“ไม่มีรึ?” มู่จื่อชวนตกตะลึง “แล้วดอกไม้ล่ะ? ยายรับใช้ที่ห้องดอกไม้บอกว่า เจ้าเอาดอกโบตั๋นสามสีสิบหกดอกไปหมดแล้ว”
“ถึงอย่างไรก็ไม่มี ไม่เชื่อท่านก็ไปหาดูสิ”
“มู่อวิ๋นซี เจ้าจะต้องแกล้งจื่อโหรวให้ได้เลยใช่ไหม? ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียวเท่านั้น เจ้าจะไม่ยอมให้เลยเชียวรึ? และนั่นก็เป็นดอกไม้ที่เดิมทีฮูหยินเล็กหลิ่วเตรียมไว้เพื่อจื่อโหรวนะ” มู่จื่อชวนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับมู่อวิ๋นซีแล้วจริงๆ
“ไป่หลิง! ส่งแขก!”
“เจ้า……”มู่จื่อชวนมองไปที่มู่อวิ๋นซีด้วยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อน ผ่านไปนานมาก เขาจึงถอนหายใจอย่างหนัก แล้วพยักหน้าให้ไป่หลิงและหันหลังกลับไป
“ท่านพี่!”
ทันทีที่ออกจากลานชิงจื่อ มู่จื่อโหรวที่รออยู่หน้าประตูก็พุ่งเข้ามาหา แล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง นางตอบตกลงหรือไม่?”
“ขอโทษนะจื่อโหรว” มู่จื่อชวนรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่านาง นาง……”
เขาพูดคำว่านางอยู่นานแล้ว แต่มู่จื่อชวนก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำไหนมาบรรยายมู่อวิ๋นซี
“ดูสิ ข้าพูดอะไร ข้ารู้ว่านางไม่อาจยกโทษให้ข้าได้” มู่จื่อโหรวเบะปากและสะอึกสะอื้นขึ้นมา “ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่เกลียดข้ากันหมด ท่านพี่ ไม่สิ ข้าไม่อาจเรียกท่านว่าท่านพี่ได้อีกต่อไปแล้ว ท่านก็เกลียดข้าแล้วเช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวเสมอมานะ อย่าร้องไห้เลย!” มู่จื่อชวนมือไม้อ่อนจนทำอะไรไม่ถูก “หรือว่าวันนี้นางจะกำลังโกรธอยู่ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้หรือวันถัดไป รอให้นางหายโกรธแล้วนางอาจจะเห็นชอบให้เจ้าย้ายกลับเข้ามาก็ได้นะ”
ใครจะชอบล่ะ?
มู่จื่อโหรวดูถูกเหยียดหยาม ไม่ช้าก็เร็วนางจะทำให้นางกระเด็นออกมาให้ได้
“ท่านพี่!” นางหันไปมองที่มือของมู่จื่อชวนและแล้วหยดน้ำตาที่อยู่ตรงหางตาก็ได้หายไปจนไม่เห็นร่องรอยอะไรแล้ว “ดอกโบตั๋นล่ะ? ดอกโบตั๋นสามสีที่ฉันต้องการล่ะเจ้าคะ?”
“นางบอกว่าไม่มี”
“ไม่มีรึ?” มู่จื่อโหรวแทบจะกระโดดขึ้น “เป็นไปได้อย่างไรที่นางจะไม่มี? หลายๆคนที่อยู่ที่ห้องดอกไม้ต่างก็เห็นกันหมด ว่านางตัดดอกโบตั๋นทั้งสองต้นและเอาดอกโบตั๋นกลับไปหมดแล้ว ท่านพี่ นั่นเป็นดอกโบตั๋นที่ฮูหยินเล็กหลิ่วมอบให้ข้านะ นางแย่งลานชิงจื่อของข้าไปยังไม่พอ แม้กระทั่งดอกโบตั๋นดอกเดียวนางก็จะแย่งไปอีกรึ?”
“จื่อโหรว!” มู่จื่อชวนไม่รู้ว่าจะอธิบายกับมู่จื่อโหรวอย่างไร จึงทำได้เพียงรับปากกับนางว่า “เจ้าอย่าโมโหไปเลย ในเมื่อช่างดอกไม้สามารถปลูกดอกโบตั๋นสามสีสองต้นได้ เขาก็ต้องสามารถปลูกต้นที่สามและต้นที่สี่ได้อย่างแน่นอน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปที่แปลงดอกไม้ และกำชับให้ช่างดอกไม้ปลูกให้เจ้า……”
“สายไปแล้ว! กว่าจะรอให้เขาปลูกอะไรจนออกดอกมันก็สายไปแล้วเจ้าค่ะ” มู่จื่อโหรวคำรามลั่น “มีดอกโบตั๋นสามสีตั้งสิบหกดอก นางไม่ให้ข้าสักดอกเลยรึ?”
อีกสามวัน มู่อวิ๋นซีก็ต้องกลับสู่บ้านเกิดของบรรพบุรุษแล้ว นางยังคงเฝ้ารอดูนางถูกผึ้งต่อยจนกลายเป็นคนโง่อยู่ ไม่มีโบตั๋นสามสีแล้ว นางจะทำให้ชุดผ้าดิ้นของนางดึงดูดผึ้งได้อย่างไร?
“ข้าคาดว่า……นางไม่ชอบ นางก็เลยโยนดอกโบตั๋นทิ้งไปแล้ว”
“โยนทิ้งที่ใด? ท่านไปหาเลยนะ ไปหามันให้ข้าเดี๋ยวนี้เลย” มู่จื่อโหรวผลักมู่จื่อชวนอย่างแรง
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น” มู่จื่อชวนโซเซไปครู่หนึ่ง แล้วหันหลังมองไปที่มู่จื่อโหรวด้วยความลำบากใจ “เจ้าวางใจเถิด ข้า……”
ความโมโหเดือดดาลได้ลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจของมู่จื่อโหรว นางจ้องมองไปที่มู่จื่อชวนอย่างดุร้าย และทำใบหน้าบูดเบี้ยว
“ท่านโกหกข้า! มู่จื่อชวน คิดไม่ถึงเลยว่าท่านก็โกหกข้าเช่นกัน? ท่านไม่ได้ถามนางเลยใช่หรือไม่? ท่านไม่อยากช่วยข้าเลยใช่หรือไม่? ท่านคิดว่าสิ่งของของข้าก็สมควรจะถูกนางแย่งชิงไปใช่หรือไม่? และท่านกับนังผู้หญิงสารเลวคนนั้นเป็นพวกเดียวกันแล้วใช่หรือไม่?”
มู่จื่อชวนตกตะลึงอ้าปากค้าง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่แดงก่ำว่า “จื่อโหรว เจ้า……”
“มู่จื่อโหรว!”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาหลิ่วเย่เดินสาวเท้าก้าวเข้ามาจนถึงเบื้องหน้าของมู่จื่อโหรวอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ห้ามเสียมรรยาทกับท่านชายนะ รีบขอโทษท่านชายซะ”
“เหอะ!”
มู่จื่อโหรวหัวเราะเยาะ และมองดูหลิ่วเย่อย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? กล้ามาสั่งข้าอย่างนั้นรึ? ข้ากำลังพูดกับพี่ชายข้าอยู่ เจ้าสอดปากสอดคำเข้ามาอย่างนี้ได้เยี่ยงไร?”
“ถ้าเจ้ายังอยากให้มู่อวิ๋นซีตายก็หุบปากซะ”
หลังจากที่ตวาดมู่จื่อโหรวด้วยระดับเสียงที่ต่ำมากแล้ว หลิ่วเย่ก็หันหลังไปแสดงความเคารพมู่จื่อชวนหนึ่งครั้งด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นตระหนกตกใจ “ข้าคารวะท่านชาย วันนี้จื่อโหรวถูกโจมตีและถูกตำหนิติดต่อกัน อารมณ์จึงไม่ดี หวังว่าท่านชายจะไม่ถือสาเอาความกับนางนะเจ้าคะ วันหน้า ข้าจะให้นางไปขอโทษท่านชายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินเล็กหลิ่วเห็นว่าข้าเป็นคนนอกแล้ว ข้ารู้ว่าจื่อโหรวไม่ได้ตั้งใจ” มู่จื่อชวนแสดงความเคารพตอบหลิ่วเย่ไปหนึ่งครั้ง “และขอรบกวนฮูหยินช่วยปลอบใจจื่อโหรวให้มากๆหน่อยนะขอรับ ข้า…..จะมาเยี่ยมนางอีกในวันพรุ่งนี้”
รอให้มู่จื่อชวนเดินไปไกลๆก่อน หลิ่วเย่จึงมองไปที่มู่จื่อโหรว แล้วดวงตาสีแดงก่ำที่มองนางด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งก็เปลี่ยนเป็นถอนหายใจอย่างเงียบๆ “เจ้าลืมคำพูดเหล่านั้นที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนี้ไปแล้วรึ? ว่าเจ้าจะไปพูดดีดีกับมู่จื่อชวนไม่ได้?”
“ท่านเคยพูดอะไรกับข้าอย่างนั้นรึ? ไหนท่านบอกว่าจะทำให้มู่อวิ๋นซีทำเรื่องน่าอาย จะทำให้นางถูกผึ้งต่อยจนกลายเป็นคนโง่ และจะทำให้นางปล่อยไก่ขายขี้หน้าไง? ไม่มีโบตั๋นสามสีแล้ว จะทำให้นางอับอายได้อย่างไร?”
มู่จื่อโหรวหันกลับมามองลานชิงจื่อแล้วพูดว่า “นี่คือลานของข้า ข้าใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะแต่งภายในให้ออกมาสวยงามถูกใจข้า แต่ตอนนี้กลับถูกมู่อวิ๋นซียึดครองโดยพลการไปแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนบอกว่าจะช่วยเหลือข้า แต่สุดท้ายเล่า? ได้ช่วยเหลือข้าแล้วหรือยัง?”
“คนที่พวกท่านช่วยคือมู่อวิ๋นซี ช่วยให้นางขับไล่ข้าออกไปจากลานชิงจื่อ และยังให้ข้ามาอยู่ที่เรือนซือสุ่ยอีก ที่นั่นทั้งชื้นทั้งเย็น ทั้งสกปรกทั้งผุพัง เป็นที่ที่คนอาศัยอยู่อย่างนั้นรึ?”
“เจ้าพูดเบาๆหน่อย!” หลิ่วเย่โบกมือให้สาวใช้และยายรับใช้ออกไปก่อน แล้วหันไปมองมู่จื่อโหรวและพูดด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงว่า “พ่อของเจ้าทำเช่นนั้นมันดีต่อเจ้านะ”
“พอได้แล้วหรือยัง? ดีต่อข้าด้วยการให้ข้าย้ายออกมาเนี่ยนะ…….”
“มู่จื่อโหรว!” หลิ่วเย่ร้องตะโกนขึ้นมา “เจ้าเข้าใจบ้างหรือไม่? มู่อวิ๋นซีคือหลานสาวร่วมสายเลือดขององค์หญิงใหญ่ เจ้าปล่อยงูวางแผนทำร้ายนาง เจ้าคิดว่าองค์หญิงใหญ่จะให้อภัยเจ้าได้รึ? จะขับไล่เจ้าออกไปจากตระกูลมู่ล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากทีเดียว”
มู่จื่อโหรวตกตะลึง “เห็นชัดๆว่านางจะทำร้ายข้า……”
“เหอะ!” หลิ่วเย่ยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าองค์หญิงใหญ่จะโง่เขลาเช่นเจ้า และนางจะตรวจสอบอะไรไม่ได้อย่างนั้นรึ? เรื่องที่เจ้าทำเต็มไปด้วยช่องโหว่ จะทนต่อการตรวจสอบได้ไหม? พ่อของเจ้าให้เจ้าย้ายออกมาจากลานชิงจื่อก็ถือว่าเป็นการลงโทษเจ้าแล้ว เช่นนี้ องค์หญิงใหญ่ก็จะได้ไม่ลงโทษเจ้าอีก”
“จื่อโหรว” หลิ่วเย่ทำเสียงให้นุ่มนวล “เรื่องที่ข้ารับปากเจ้า จะต้องทำได้อย่างแน่นอน อีกสามวัน นางจะต้องทำเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าออกมาแน่ เจ้าก็คอยดูละครสนุกๆได้เลย ถึงเวลานั้น ข้าไม่เพียงแต่ต้องการให้นางทำเรื่องน่าอับอายเท่านั้น ข้ายังต้องการให้นางคืนลานชิงจื่อให้เจ้าแต่โดยดีอีกด้วย”
“จริงรึ? แต่มู่จื่อชวนบอกว่านางไม่ให้โบตั๋นสามสีนะ” มู่จื่อโหรวไม่เชื่ออยู่บ้าง
“ดอกโบตั๋นนั่นนางก็แย่งชิงไปด้วยไม่ใช่รึ? ถ้าพวกเราเอากลับมาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ เราก็สามารถแอบไปเอามาอย่างเงียบๆได้นะ วันนี้นางไม่ได้ช่วยสาวน้อยคนหนึ่งเอาไว้แล้วหรือ สาวน้อยคนนี้ถูกมีดเล่มนี้แทงมานี่ เจ้ากลับไปรอฟังข่าวดีเถิด ข้าจะไปมอบชุดให้นาง”
“จื่อโหรว” หลิ่วเย่เรียกมู่จื่อโหรวที่กำลังจะเดินจากไปเอาไว้ “ในสองวันนี้ฝึกรำเอวเขียวให้มากๆหน่อยนะ”
พอพูดจบ นางก็เหลือบมองสาวใช้ที่ถอยห่างออกไปไกล แล้วหันหลังเดินเข้าไปในลานชิงจื่อ
“ฮูหยินเล็กหลิ่ว?”
ไป่หลิงเอียงตัวให้หลิ่วเย่เข้ามา แล้วแนะนำให้มู่อวิ๋นซีว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านนี้ก็คือฮูหยินเล็กหลิ่วแห่งครอบครัวลูกคนที่สอง มารดาผู้ให้กำเนิดของคุณหนูจื่อโหรวเจ้าค่ะ”
“ข้าขอคารวะคุณหนูอวิ๋นซี” หลิ่วเย่แสดงความเคารพให้มู่อวิ๋นซี แต่เมื่อนางเงยหน้าลืมตาขึ้นมาขอบตาของนางกลับแดงก่ำ แม้แต่เสียงที่พูดออกมาอีกครั้งก็ยังพูดอย่างสะอึกสะอื้นขึ้นมาเลย
“เห็นเจ้าสบายดี ในที่สุดหัวใจดวงนี้ของข้าก็สามารถปล่อยวางความวิตกกังวลได้แล้ว หลายปีมานี้ ข้าไม่ได้นอนหลับอย่างสงบเลย และความฝันก็ย้อนกลับมากลางดึกของทุกวัน พอคิดถึงท่าทางในตอนนั้นของเจ้า หัวใจดวงหนึ่งของข้าก็แตกสลายเป็นชิ้นๆแล้ว”