คำพูดนี้ ช่างน่าซาบซึ้งใจเสียจริงๆอ่า!
มู่อวิ๋นซีลู่สายตาลงเพื่อปกปิดการเสียดสีเหน็บแนมที่อยู่ภายในดวงตา แล้วพูดว่า
“หลายปีมานี้ ข้าก็เฝ้าปรารถนาว่าฮูหยินเล็กหลิ่วจะมาเหลียวแลข้าหรือว่าจะได้รับคำพูดสักประโยคและผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนจากฮูหยินบ้าง แต่ทุกๆวันความปรารถนานี้ก็ได้สูญสลายไปหมดแล้ว ครั้งหนึ่งในอดีต ข้าก็เคยโทษฮูหยินเล็กหลิ่วอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าข้าเข้าใจฮูหยินผิดไป”
และแล้วความดีอกดีใจที่อยู่บนใบหน้าของหลิ่วเย่ก็แข็งทื่อ แล้วแตกร้าวเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินขึ้นมา
นางหัวเราะเยาะเพื่อซ่อนความเก้อเขินนี้เอาไว้ แต่กลับไม่กล้าวางแผนแกล้งทำเป็นแม่ลูกที่รักกันอย่างลึกซึ้งกับมู่อวิ๋นซีอย่างไม่ดูตาม้าตาเรืออีก นางจึงหันหลังกลับไปรับถาดเคลือบสีแดงมาจากในมือของสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังมายื่นตรงหน้ามู่อวิ๋นซี แล้วมองดูแป้งน้ำกับชุดชุดที่กำลังวางอยู่ด้านบนและพูดว่า
“คุณหนูรองกับองค์หญิงใหญ่มีความสัมพันธ์เป็นย่าหลานกัน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่น่ายินดี ข้าเพิ่งจะกลับมา ก็เลยไม่ได้เอาอะไรออกมาด้วย มีเพียงชุดจันทร์ลอยซูซิ่วชุดนี้เท่านั้นและยังดูเหมือนสิ่งของเล็กๆน้อยๆ หวังว่าคุณหนูรองจะชอบ”
“แป้งน้ำสองตลับนี้ เป็นแป้งน้ำที่แดงดุจท้อของเราทำขึ้นมาเองเพื่อคนที่มีดวงหน้าดั่งดอกท้อแบบพวกเรา ถ้าคุณหนูใช้ก็ดีเลยนะ วันหลังก็ขอให้แม่นางไป่หลิงไปเอามาอีกก็ได้”
มู่อวิ๋นซีเอื้อมมือไปสัมผัสบนชุดจันทร์ลอยสีม่วงเข้ม แล้วพูดว่า “ชุดชุดนี้ช่างงดงามจริงๆ ฮูหยินมีน้ำใจยิ่งนัก”
“คุณหนูชื่นชอบก็ดี”
จากนั้นมุมปากของหลิ่วเย่ก็มีรอยยิ้มที่สุภาพปรากฏขึ้นมา แล้วนางก็ทำความเคารพมู่อวิ๋นซีและพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
พอออกไปจากลานชิงจื่อแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหลิ่วเย่ก็เลือนหายไป แล้วนางจึงหันหลังกลับไปมองยายรับใช้ที่เดินตามมา และพูดว่า “เรื่องที่ให้จัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ลู่เอ๋อร์รับปากแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรเป็นอันขาด”
“ฮูหยินเล็กวางใจ แม่ของนางอยู่ในกำมือข้า นางไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายหรอกเจ้าค่ะ”
วันรุ่งขึ้น ยายรับใช้ก็แอบมาหาหลิ่วเย่อย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า “ฮูหยินเล็กเจ้าคะลู่เอ๋อร์ไปขโมยโบตั๋นสามสี มาแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี!”หลิ่วเย่ส่งคนไปเรียกมู่จื่อโหรวในขณะที่กำลังเอากลีบของดอกโบตั๋นสามสีมาผสมกับกลีบดอกไม้ชนิดอื่นแล้วบรรจุลงไปในถุงหอม และสุดท้ายก็นำก็เขย่าเกสรดอกไม้ลงไปด้วย
“ท่านกล้าดียังไงถึงให้ข้ามาพบเจ้า?” มู่จื่อโหรวระบายความโมโหเดือดดาลที่อัดอั้นเอาไว้ออกมา
“แผนของเราสำเร็จแล้ว” หลิ่วเย่ลุกขึ้นมาและยื่นถุงหอมให้นาง “ในนี้คือกลีบและเกสรของดอกโบตั๋นสามสี ซึ่งเข้ากับชุดจันทร์ลอยซูซิ่วชุดนั้นพอดี ถึงเวลานั้นข้าค่อยให้คนเอารังผึ้งรังหนึ่งไปวางไว้ใกล้กับลานหย่งเหอทีหลัง”
ใบหน้าของมู่จื่อโหรวเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง “ดี ทำเช่นนี้แหล่ะ ต่อยเธอให้ตายไปเลย! งั้นข้าจะเอาถุงหอมไปมอบให้นาง”
“ไม่ เจ้าเอาไปให้นางไม่ได้ เจ้าควรไปกล่าวคำขอโทษกับมู่จื่อชวน”
มู่จื่อชวนที่ยอมรับคำขอโทษของมู่จื่อโหรวแล้ว แม้ว่านางจะไม่เต็มใจยอมรับทุกวิถีทาง แต่เขากลับยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของมู่อวิ๋นซีอีกครั้ง
“ท่านชาย?”
ไป่หลิงเปิดประตูห้องเสียงดังปังและปิดประตูลงอีกครั้ง แล้วหันหน้ากลับไปมองมู่อวิ๋นซีที่กำลังเตรียมจะนอน และพูดว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านชายมาเจ้าค่ะ จะให้เขาเข้ามาไหมเจ้าคะ?”
“อวิ๋นซีข้ามาเพื่อขอโทษเจ้า”
มู่จื่อชวนที่อยู่ข้างนอกรีบเอ่ยปากพูดต่อหน้ามู่อวิ๋นซี
“ให้เขาเข้ามาเถิด” มู่อวิ๋นซีลุกขึ้นเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้เล็กที่อยู่ด้านข้าง แล้วมองไปทางมู่จื่อชวนที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหยเกและพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ถ้าวันนี้ท่านจะมาเพื่อมู่จื่อโหรวอีกล่ะก็ ข้าต้องขอโทษด้วย เกรงว่าจะทำให้ท่านมาเสียเที่ยวอีกครั้งแล้ว”
จื่อโหรวพูดไม่ผิดเลย มู่อวิ๋นซีไม่พอใจนางเป็นอย่างมากจริงๆ
“ไม่ใช่ ข้า……เรื่องวันก่อนข้ามุทะลุไปหน่อย เจ้าได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย วันนี้ระหว่างทางที่กลับมาข้าบังเอิญไปเห็นถุงหอมนี้เข้าพอดี และคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ ดังนั้นข้าก็เลยซื้อมาให้เจ้าโดยเฉพาะ ถือว่าแทนคำขอโทษจากข้า”
ใบหน้าของมู่จื่อชวนแดงขึ้นมาเล็กน้อย ถุงหอมนี้ เป็นถุงหอมที่มู่จื่อโหรวเพิ่งจะมอบให้นาง นางบอกว่า หลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะได้รับรู้ว่ามู่อวิ๋นซีคือคุณหนูใหญ่แห่งครอบครัวลูกคนโต และนาง ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกที่คนอื่นพูดถึงกันอีกด้วย
นางอยากจะมีหน้ามีตาเล็กน้อย ดังนั้นจึงเตรียมถุงหอมเอาไว้แล้วสองถุง ซึ่งวันพรุ่งนี้นางกับมู่อวิ๋นซีจะพกไปด้วยคนละถุง บางทีด้วยวิธีนี้ คนอื่นๆจะได้คิดว่าพวกนางอาหลานมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน และบางทีพวกเขาก็อาจจะไม่พูดตลกขบขับเกี่ยวกับนางอย่างกำเริบเสิบสานก็ได้
แม้ว่าจะยังอยู่ห่างออกไปสามฟุต แต่มู่อวิ๋นซีกลับได้กลิ่นน้ำหอมที่เข้มข้นกระจายอกมาจากถุงหอมแล้ว ซึ่งมันมีกลิ่นหวานอ่อนๆ กินใจผู้คนเป็นอย่างมาก
นางเงยหน้าขึ้นมามองมู่จื่อชวนเขาไม่หันสายตามามองและไม่กล้าสบตากับนางเลย
มู่อวิ๋นซีรู้สึกเศร้าเล็กน้อย นางเตือนตัวเองอย่างชัดเจนแล้วว่าเบื้องหน้านางเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่ทำไมนางยังรู้สึกว่าถุงหอมที่อยู่ในมือของเขาถึงได้บาดตาเช่นนี้ โดยเฉพาะดอกเบญจมาศปักอยู่บนถุงหอมนั้น มันกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน ราวกับจะกลืนกินเธออย่างไรอย่างนั้น
“อวิ๋นซี?” มู่จื่อชวนร้องเรียกนางอีกครั้งอย่างเคอะเขิน
“ช่างงดงามจริงๆ” มู่อวิ๋นซียกมือขึ้นมารับถุงหอม และมองไปยังมู่จื่อชวนที่แสดงท่าทางโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด แล้วพูดว่า “มู่จื่อโหรวก็มีเหมือนกันรึ?”
มู่จื่อชวนนึกถึงคำอธิบายของมู่จื่อโหรวขึ้นมาได้ จึงรีบพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าระยะนี้นางรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นข้าก็เลยซื้อมาให้นางอีกหนึ่งอัน เหมือนกันกับของเจ้าไม่มีผิด ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา”
“ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา” ในขณะที่มู่อวิ๋นซีกำลังขบคิดคำพูดประโยคนี้อยู่ นางก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มของนางมีความเย็นยะเยือกลอยขึ้นมาราวกับดอกเกล็ดน้ำค้างดอกหนึ่ง จากนั้นนางก็ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ยังมีอะไรอีกไหม?”
“ไม่มี ไม่” กกหูของมู่จื่อชวนก็แดงขึ้นมา และพูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกไม่สบายใจว่า “ท่านย่าก็รู้แล้วว่าข้าซื้อถุงหอมนี้มาให้เจ้ากับจื่อโหรวเช่นกัน ดังนั้นวันพรุ่งนี้……”
“ข้าจะพกไปด้วย”
หัวใจที่ตึงเครียดของมู่จื่อชวนคลายลง ภายในใจกลับไม่มีความดีอกดีใจเลยแม้แต่น้อย แต่มีความไม่สบายใจอยู่บ้างเล็กน้อย “เช่นนั้น……ข้าขอตัวไปก่อน เจ้าก็พักผ่อนเร็วๆหน่อยนะ”
พอเดินไปจนถึงหน้าประตูห้อง เขาก็หยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับไปมองหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าลู่ตาลงต่ำราวกับต้นหลิวที่กำลังโน้มกิ่งอ่อนลงคนนั้น ภายในใจของเขาก็เศร้าซึมและระทมทุกข์ เขาจึงถามไปว่า “อวิ๋นซี เจ้าเต้นรำเอวเขียวได้ไหม?”
มู่อวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นมามองมู่จื่อชวน
“สองวันมานี้ข้าเห็นจื่อโหรวซ้อมรำเอวเขียว นางเป็นคนไม่ยอมแพ้ใคร และชอบออกหน้าออกตา ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจจะกลั่นแกล้งเจ้าได้”
มู่อวิ๋นซีตกตะลึง และในขณะที่กำลังมองมู่จื่อชวนหันหลังเดินสาวเท้าก้าวใหญ่ๆออกไปอย่างุนงง ซึ่งเงาด้านหลังของเขาทั้งมีความอึดอัดใจและความน่ารัก
ความศรัทธาที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ภายในหัวใจของนางก็ได้พังทลายลงไปในทันที
นางจำต้องยอมรับว่า ถ้าเขาเต็มใจยอมรับน้องสาวคนนี้ นางก็ยังต้องการพี่ชายคนนี้
และนางจำต้องยอมรับว่า นางรู้สึกอิจฉาริษยามู่จื่อโหรวอยู่บ้างจริงๆ อิจฉานางที่สามารถเรียกเขาว่าพี่ชายได้ สามารถออดอ้อนและเล่นลูกไม้กับเขาได้อย่างเปิดเผย และยังสามารถได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเขาด้วย
ตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในจวนตระกูลมู่ นางคิดแต่เรื่องการแก้แค้นและการรับมือกับมู่เซิ่ง สำหรับเรื่องความผูกพันทางสายเลือด นางไม่กล้าเรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในเวลาชั่วพริบตาเดียวนั้นที่องค์หญิงใหญ่โอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน ตอนที่องค์หญิงใหญ่เอาอาหารว่างทั้งหมดมาให้นาง และตอนที่นางถลึงตาจ้องมองแล้วพูดกับมู่เซิ่งว่าไม่เหลือใครแล้วแม้แต่คนเดียว….
นางได้ตกอยู่ในมือของศัตรูอย่างสมบูรณ์แล้ว นางต้องการความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้ และต้องการท่านย่าผู้นี้
แต่ทว่าตอนนี้ เพราะว่าคำกำชับนี้ นางจึงต้องการพี่ชายคนนี้ด้วย
“ไป่หลิง!” นางวางถุงหอมที่อยู่ในมือลง “ข้าอยากไปเยี่ยมท่านย่าสักหน่อย จะได้หรือไม่?”
“ตอนนี้หรือเจ้าคะ?”
“ตอนนี้นี่แหล่ะ”
ตลอดทั้งคืนมีลมเหนือพัดผ่าน ในเช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีเศษเล็กๆน้อยๆที่เหมือนผลึกหินปลิวว่อนขึ้นมา ดั่งเช่นดอกสาลี่ต้นหนึ่งร่วงเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ
แต่ลานหย่งเหอกลับเปลี่ยนไปจากสถานที่ที่เงียบเหงาวังเวงแต่ดั่งเดิมแล้ว เพราะสาวใช้และเด็กรับใช้ผู้ชายกำลังยุ่งอยู่กับการต้านหิมะโปรยปรายเข้าๆออกๆตั้งแต่เนิ่นๆ
“ฮูหยินเล็กหลิ่ว!”
พอมู่จื่อโหรวที่อยู่หน้าประตูลานหย่งเหอเห็นหลิ่วเย่มา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“วางใจเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลิ่วเย่ แต่รอยยิ้มนั้นกลับเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเกล็ดหิมะที่ตกลงมานี้ถึงสามส่วนเสียอีก “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จะสามารถย้ายกลับเข้าไปอยู่ในลานชิงจื่อได้แล้ว และนังผู้หญิงสารเลวนั่น ก็จะไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกต่อไป เจ้าอยากให้นางเกิดนางก็จะเกิด อยากให้นางตายนางก็จะตาย”
นางเดินผ่านมู่จื่อโหรวและมองไปข้างหลังของนาง สักพักรอยยิ้มของนางก็ลึกซึ้งขึ้นมา “คุณหนูอวิ๋นซีรูปโฉมงดงามมากจริงๆ พอสวมชุดจันทร์ลอยชุดนี้เข้าไปอีก ก็ช่างงดงามล่มชาติล่มเมืองเสียจริงๆ”