ถุงหอมสองถุงที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าล้วนเป็นถุงหอมดอกเบญจมาศทั้งคู่ แต่กลับมีความแตกต่างกันอยู่เหมือนกัน ดอกเบญจมาศที่อยู่ในถุงหอมที่บรรจุดอกโบตั๋นสามสีเอาไว้แล้ว จะมีความหนาแน่นของกลีบดอกไม้ทางด้านซ้าย แต่อีกอันหนึ่งจะมีความหนาแน่นของกลีบดอกไม้ทางด้านขวา
ไม่ผิด ถุงหอมที่มู่อวิ๋นซีติดเอาไว้ที่เอวคือถุงหอมที่มีความหนาแน่นของกลีบดอกไม้ทางด้านซ้าย แต่ทำไมผึ้งถึงไม่ไปหามู่อวิ๋นซีล่ะ?
มู่อวิ๋นซีถอนสายตากลับมาจากมู่จื่อชวนที่มีสีหน้าซับซ้อน แล้วมองไปทางหลิ่วเย่กับมู่จื่อโหรวที่กำลังโอยกอดกันอยู่ “ฮูหยินเล็กหลิ่ว จื่อโหรวยังสบายดีใช่ไหมเจ้าคะ? ท่านรีบพานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและให้หมอมาตรวจดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะ คุณหนูอวิ๋นซี” หลิ่วเย่ตอบรับอย่างว่าง่าย
“ข้าไม่เป็นไร” มู่จื่อโหรวพูดอย่างผ่อนคลาย แล้วดวงตาที่บวมเป่งจ้องมองไปที่มู่อวิ๋นซีทันที แล้วพูดว่า “ข้ารำเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราเจ้าเต้นแล้ว”
“จื่อโหรว!” มู่อวิ๋นซีมองนางอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ท่าทางในตอนนี้ของเจ้าดูน่ากลัวมากเลยนะ เจ้าจะบอกว่าไม่เป็นไรได้อย่างไรล่ะ?” นางหันไปมองที่องค์หญิงใหญ่ แล้วพูดว่า “ท่านย่า รีบเชิญหมอมาให้จื่อโหรวเถิดเจ้าคะ”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา มู่จื่อโหรวก็ผลักหลิ่วเย่ออกแล้วยืนขึ้นมาพูดว่า “มู่อวิ๋นซีอย่าเบี่ยงประเด็น เจ้าไม่กล้ารำหรือว่าเจ้ารำไม่เป็นกันแน่?”
“จื่อโหรว!” หลิ่วเย่ลุกขึ้นมาจับข้อมือของมู่จื่อโหรวเอาไว้ “หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว” นางพูดโดยลดสุ้มเสียงให้แผ่วเบาลงว่า “ตอนนี้เจ้าก็ขายหน้าพอแล้ว หากเจ้ายังสร้างปัญหาต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจจะต้องจบสิ้นกันหมดแน่”
“จื่อโหรว!”
มู่อวิ๋นซีเดินไปหามู่จื่อโหรว แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใยว่า “ข้าเต็มใจที่จะยอมรับว่าข้าเต้นรำเก่งไม่สู้เจ้าเจ้ารีบไปหาหมอเถิด ข้าได้ยินว่าในเหล็กในของผึ้งมีพิษ ถ้าหากทิ้งรอยแผลเป็นอะไรเอาไว้ ใบหน้านี้ของเจ้าอาจจะพังไปหมดเป็นแน่”
“เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้งเลยนะ!” มู่จื่อโหรวพูดด้วยความโกรธเคือง “ถ้าเจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ ก็เอายายาสร้างเนื้อมาให้ข้าสักเม็ดหนึ่งไม่ดีกว่ารึ? รอยแผลเป็นที่มีมานานกว่าสิบปีก็สามารถลบออกได้หมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆนี้บนใบหน้าของข้าเลยมู่อวิ๋นซี และเจ้าก็บอกมาซิว่า การเต้นรำนี้ เจ้าจะเต้นหรือไม่เต้น?”
ถึงอย่างไรเสียนางก็เสียหน้าไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะต้องกลัวอะไรอีก? นางจึงได้แต่หวังเพียงว่ามู่อวิ๋นซีจะถูกผึ้งต่อยจนกลายเป็นคนโง่และกลายเป็นเรื่องตลกของทุกคนเหมือนกันกับนาง
มู่อวิ๋นซีถอนหายใจเบาๆ แล้วเหลือบไปมององค์หญิงใหญ่อย่างเป็นกังวลเล็กน้อย และหันไปมองมู่จื่อโหรวอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ทำความเคารพให้นาง แล้วพูดว่า “ลักษณะท่าทางในการรำของท่านอาจื่อโหรวเป็นหนึ่งในใต้หล้า อวิ๋นซีขอยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
นางลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “จื่อโหรว เจ้ารีบไปหาหมอสักหน่อยเถิด ต่อให้เจ้าจะไม่กลัวเจ็บ แต่ท่าทางเช่นนี้ของเจ้าทำให้ท่านย่าและแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆตกใจกลัวมันไม่ดีเลยนะ”
“มู่อวิ๋นซี เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” มู่จื่อโหรวกระทืบเท้าขึ้นมาในทันทีทันใด “เจ้ากำลังจะพูดว่าข้าหน้าตาน่าเกลียดแล้วอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่ ข้าก็แค่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเจ้าต่างหากล่ะ”
ถึงแม้ว่าปากของนางจะพูดอย่างนั้นออกมา แต่สายตาที่นางมองไปที่มู่จื่อโหรวกลับเต็มไปด้วยการเหยียดหยามว่า เจ้าไม่ได้น่าเกลียดหรอก แต่เจ้าน่าเกลียดมากต่างหาก!
“มู่อวิ๋นซีเจ้า!”
มู่จื่อโหรวโกรธจนแทบเป็นลมล้มลงไป “เจ้าจะไม่รำใช่ไหม? ได้ มานี่” นางชี้ไปบนพื้นที่อยู่ข้างหน้าสามฟุต แล้วพูดว่า “คุกเข่าลง แล้วก้มศีรษะคำนับข้าสามครั้ง แล้วพูดว่าแม้แต่ยกรองเท้าให้ข้าเจ้าก็ไม่คู่ควร ข้าก็จะไม่……”
“เพี้ยะ!”
ทันใดนั้นก็มีลมที่พัดแรงกลุ่มหนึ่งก็จู่โจมเข้ามาตัดคำพูดของนาง
มู่จื่อโหรวโซซัดโซเซ ในขณะที่กำลังเอามือปิดแก้มของตัวเองเอาไว้นางก็มองไปที่หลิ่วเย่ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะตบนาง?
นางเป็นนางสนมคนหนึ่ง ที่เอาแต่พูดว่าเป็นแม่ของตัวเอง และเอาแต่พูดว่าสามารถทำเพื่อนางได้ทุกเรื่อง คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าตบนางแบบนี้?
หลิ่วเย่เพิกเฉยต่อสายตาที่อยากจะกินคนของมู่จื่อโหรว แล้วหันหลังไปคุกเข่าให้มู่อวิ๋นซีและพูดว่า “จื่อโหรวอายุยังน้อย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าสั่งสอนนางไม่ดีเอง จนทำให้นางต้องล่วงเกินคุณหนูอวิ๋นซี และทำให้องค์หญิงกับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านต้องตื่นตระหนกตกใจกัน ข้าผู้นี้จึงจะพานางกลับไปสั่งสอนให้ดีเองเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินเข้มงวดเกินไปแล้ว ข้ารู้ว่าจื่อโหรวไม่ได้ตั้งใจหรอกเจ้าค่ะ” มู่อวิ๋นซีประคองหลิ่วเย่ขึ้นมา
“ขอคุณความใจกว้างของคุณหนูอวิ๋นซีมากนะเจ้าคะ” หลิ่วเย่กล่าวขอบคุณ แล้วรีบไปดึงมู่จื่อโหรว
“ไสหัวไปนะ!”
มู่จื่อโหรวเอียงตัวหลบ และไม่ไปสนใจมู่อวิ๋นซีอีก แต่มุ่งมั่นที่จะมองไปที่องค์หญิงใหญ่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แล้วพูดว่า “ท่านย่าเพคะ ไม่สิ ท่านป้า องค์หญิง! หม่อมฉันน่าเกลียดไหมเพคะ? หม่อมฉันทำให้พระองค์เสียหน้าแล้วใช่ไหมเพคะ?”
“วันนี้ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด หม่อมฉันก็ขอทูลถามสักหนึ่งประโยคว่า ตอนที่หม่อมฉันเป็นหลานสาวร่วมสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำอะไรก็ดีไปหมด ตอนนี้หม่อมฉันไม่ใช่หลานสาวของพระองค์แล้ว ก็เลยกลับกลายเป็นว่าหม่อมฉันไม่มีอะไรดีสักอย่างแล้ว? ความดีทั้งหมดของหม่อมฉันพระองค์ก็จะทรงทำเป็นมองไม่เห็นแล้วอย่างนั้นหรือเพคะ?”
“หม่อมฉันไม่ใช่แค่ต่อว่ามู่อวิ๋นซีไปสองสามคำเองหรือเพคะ ทำไมถึงทำให้พระองค์ไม่ชอบหม่อมฉันเสียแล้วล่ะ? หม่อมฉันไม่ใช่แค่เอางูมาขู่ขวัญนางเองหรือเพคะ? พระองค์ถึงกับให้หม่อมฉันย้ายออกไปจากลานชิงจื่อ พระองค์ก็ทรงรู้ดีว่าหม่อมฉันชอบลานชิงจื่อมาก ทำไมพอมู่อวิ๋นซีกลับมา สิ่งดีๆทั้งหมดก็ล้วนแต่ต้องส่งคืนให้กับนางล่ะเพคะ?”
“วันนี้……” มู่จื่อโหรวกวาดสายตาไปมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถง “ข้าก็แค่อยากจะบอกทุกท่านว่า ถึงแม้ว่าท่านจะรักมู่อวิ๋นซีมากกว่าใคร แต่ข้าก็ยังดีกว่านาง ดังนั้น……”
ดวงตาของนางจ้องมองไปบนใบหน้าของมู่อวิ๋นซี แล้วพูดว่า “ถ้าหากเจ้าไม่คุกเข่าลงน้อมคำนับและพูดว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้ เจ้าก็เต้นรำ เลือกมาสักอย่างสิ”
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงัด เงียบจนสามารถได้ยิน เสียงหายใจหอบที่รุนแรงของมู่จื่อโหรว ได้ยินกะพริบของไฟ และได้ยินเสียงเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมานอกห้องโถง
“จื่อโหรว ข้าคิดว่า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” มู่อวิ๋นซีชายตามององค์หญิงใหญ่ที่ทำสีหน้าเขียวปัดแวบหนึ่งแล้วก็มองไปที่มู่จื่อโหรวอีกครั้ง
“ทำไมท่านย่าถึงจะไม่รักเจ้าล่ะ? เมื่อคืนวาน พอพระองค์ได้ยินว่าท่านรองมู่ให้เจ้าย้ายไปอยู่ที่เรือนซือสุ่ยแล้ว พระองค์ก็ทรงตำหนิท่านรองมู่ และยังทรงตรัสว่าสันนี้จะให้เจ้าย้ายกลับไปอยู่ที่ลานชิงจื่ออีกด้วย”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!” มู่จื่อโหรวไม่เชื่อ
มู่อวิ๋นซีก็ไม่สนใจนางเช่นกัน แล้วหันไปมองมู่เซิ่งที่กำลังลู่ตาลงต่ำไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ท่านรองมู่ เมื่อคืน ท่านก็อยู่ด้วย ท่านย่าพูดเยี่ยงนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ใช่!”
มู่เซิ่งพยักหน้า แล้วมองมู่จื่อโหรวด้วยความโกรธแต่ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ “องค์หญิงให้ข้าไปบอกเจ้า แต่จ้าเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ก็เลยคิดว่าค่อยบอกกับเจ้าวันนี้ก็ได้ ข้ายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะปล่อยไก่ขายขี้หน้าและยังกล้าใส่ร้ายองค์หญิงอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้ เจ้ามันช่าง……จิตใจโฉดชั่วเหมือนหมาป่าจริงๆ!”
“ไม่ ท่านโกหกข้า!” มู่จื่อโหรวหัวเราะเยาะ แล้วกวาดสายตามองไปที่หลิ่วเย่ จากนั้นปุ่มที่ถูกผึ้งต่อยอยู่บนใบหน้าก็ปวดขึ้นมาอีกครั้ง
ถูกต้อง พวกเขาทั้งหมดกำลังโกหกนางอยู่
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดอะไรข้าก็ไม่เชื่อทั้งนั้นแหล่ะ มู่อวิ๋นซี ยังคงเป็นประโยคนั้น ไม่คุกเข่าลง ก็เต้นรำซะ”
“ทหาร ลากนางออกไป!” องค์หญิงใหญ่หมดความอดทนแล้ว
“ยังจะพูดว่าพระองค์ไม่ลำเอียงอีก พระองค์นั่นแหละที่ลำเอียง! พระองค์นั่นแหล่ะที่ทรงทำเรื่องที่ไม่เป็นธรรม! พระองค์……”
“มู่จื่อโหรว!”
สีหน้าของมู่อวิ๋นซีเย็นชาลงมา “เจ้านี่มันเกินไปแล้วจริงๆ! ถึงแม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่ใช่ท่านย่าของเจ้า แต่พระองค์ก็เป็นป้าของเจ้า และเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ทำไมเจ้าถึงได้เสียมารยาทกับพระองค์อย่างนี้? ก็แค่เต้นรำไม่ใช่หรือ ได้ ถ้าจะรำ!”
“รำ!” มู่จื่อโหรว เบิกตาโพลงโต เฝ้ารอดูเรื่องตลก
มู่อวิ๋นซีถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหลังไปทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “ท่านยาเพคะ เดิมทีหม่อมฉันเกรงว่าจะเป็นการหน่วงเหนี่ยวอาการบาดเจ็บของจื่อโหรว คิดไม่ถึงเลยว่ากลับทำให้นางไม่สบายใจขนาดนี้ ได้ยังทำให้ท่านยากต้องลำบากพระทัยตามไปด้วย ทั้งหมดเป็นเพราะอวิ๋นซีเองเพคะ อวิ๋นซีจะแสดงให้ท่านย่าทอดพระเนตรหนึ่งเพลงนะเพคะ”
นางหันหลังไปมองไป่หลิง ไป่หลิงจึงสั่งให้สาวใช้สองคนยกม่านประตูหนาๆขึ้นทันที แล้วลมหนาวก็ได้พัดเข้าห้องโถงใหญ่ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต้องตกใจสะดุ้งโหยงกันเป็นแถว
มู่อวิ๋นซีชายตามองมู่จื่อโหรว แล้วเดินเข้าไปในลานอย่างช้าๆ
และในเวลานั้นเองเสียงกลองก็ดังขึ้นเสียงดังตูมตูม ซึ่งสะเทือนอารมณ์ของผู้คนเป็นอย่างมาก