เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 29 ใครกล้าแตะต้องพี่ชายของข้า สุภาพบุรุษ

มู่อวิ๋นซีไม่พูดไม่จา แล้วโน้มตัวลงไปประคองมู่จื่อชวนขึ้นมา หลังจากนั้นจึงกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป แล้วพูดว่า “มีข้าอยู่ ข้าจะดูซิว่า ใครกล้าแตะต้องพี่ชายของข้า?”
มู่จื่อชวนตะลึงงัน เขามองไปยังมู่อวิ๋นซีที่อยู่ข้างๆด้วยความตกตะลึง แล้วพูดว่า “เจ้า เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
นับตั้งแต่นางกับองค์หญิงใหญ่ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน และเรียกองค์หญิงใหญ่ว่าย่า แต่กลับไม่เคยเรียกเขาว่าพี่ชายเลยสักครั้ง แต่เรียกเขาว่าท่านชายอยู่ตลอดเวลา
คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งแรกที่นางเรียกเขาว่าพี่ กลับเป็นช่วงเวลานี้
คิดไม่ถึงเลยว่าในเวลานี้ คนที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา จะเป็นนาง
“ท่านพี่!” มู่อวิ๋นซีหันไปมองมู่จื่อชวนอย่างแน่วแน่ แล้วพูดว่า “ท่านวางใจเถิด มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้ายกลั่นแกล้งท่านได้อย่างเด็ดขาด”
วางใจเถิด มีข้าอยู่ทั้งคน
คำพูดที่แสนจะธรรมดาประโยคหนึ่งกลับมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มันได้กระทบเข้าไปในหัวใจของมู่จื่อชวน จนทำให้เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา แล้วน้ำตาอุ่นๆก็เอ่อล้นเต็มเบ้าตาของเขา
นับตั้งแต่พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตไป ก็ไม่มีใครเคยพูดเช่นนี้กับเขาอีกเลย
วางใจเถิด มีข้าอยู่ทั้งคน
คำพูดนี้ เขาพูดกับมู่จื่อโหรวเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง แต่สุดท้าย เมื่อเขาอยู่ข้างนาง นางกลับพูดโกหกและใส่ร้ายว่าเขาวางยาพิษให้ท่านย่าอย่างเต็มปากเต็มคำ
วางใจเถิด มีข้าอยู่ทั้งคน
เดิมที คำพูดนี้ควรจะเป็นคำพูดที่พี่ชายอย่างเขาพูดกับน้องสาว แต่ตอนนี้มันกลับเป็นคำพูดที่……น้องสาวที่เขาไม่เคยเข้าข้างเลยสักครั้งและไม่เคยปกป้องเลยแม้แต่วันเดียวคนนี้พูดกับเขา
ทันใดนั้นมู่จื่อชวนที่ไม่ได้หลั่งน้ำตาตอนที่องค์หญิงใหญ่โดนพิษและตอนที่มู่จื่อโหรวกับมู่เซิ่งชี้ว่าเขาเป็นฆาตกรก็ได้ร้องไห้ขึ้นมาเสียแล้ว
“อายหรือไม่?” มู่อวิ๋นซีกระซิบเบาๆหนึ่งประโยค และนัยน์ตาที่ใสแจ๋วนั้นก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

เมื่อเห็นมู่จื่อชวนรีบร้อนปาดน้ำตาที่หางตา นางจึงหันหน้าไปมองมู่เซิ่ง แล้วความอ่อนโยนที่อยู่ในดวงตาก็หายไปราวกับดอกถานฮวาที่พอบานแล้วก็ร่วงโรยไปในทันที
“ท่านรองมู่เจ้าคะ เมื่อสักครู่นี้จินซิ่งยังบอกว่าข้าวางยาพิษปลงพระชนม์องค์หญิงใหญ่อยู่เลยนะเจ้าคะ” สายตาที่เย็นชาของนางราวกับลูกศรที่พุ่งเข้าไปหาจินซิ่ง “สาวใช้ที่พูดกลับไปกลับมาและพูดจาเรื่อยเปื่อยไปตามอารมณ์เช่นนี้ เราจะเชื่อคำพูดของนางได้หรือเจ้าคะ? ”
“คำพูดของคุณหนูอวิ๋นซีไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลนะ” ฮูหยินฉินพูดคล้อยตาม
“ข้าน้อยสาบานต่อสวรรค์แล้ว ทุกคำที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริงนะเจ้าคะ” จินซิ่งรีบแก้ตัว
“ใช่รึ?” มู่อวิ๋นซียกมือขึ้น แล้วพูดเสียงดังกังวานขึ้นมาว่า “ขอให้ฟ้าดินเป็นพยาน ถ้าหากองค์หญิงใหญ่ถูกมู่จื่อชวนวางยาพิษจริงๆ เช่นนั้นก็ขอให้ข้ากับเขาทุกข์ทรมาน ไม่ตายดี!”
“อวิ๋นซี นี่เจ้าทำอะไร?” มู่เซิ่งมองไปยังมู่อวิ๋นซีด้วยความไม่เข้าใจ
“ท่านรองมู่เจ้าคะ ท่านดูสิ ข้ายังดีๆอยู่และยังไม่ตายเลยใช่ไหมเจ้าคะ? พี่ชายข้าก็ยังดีๆอยู่และยังไม่ตายเช่นกันใช่หรือไม่?” ที่มุมปากของนางมีรอยยิ้มเยาะเย้ยถากถางปรากฏขึ้นมา “เช่นนี้ ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าเรื่องที่องค์หญิงใหญ่ถูกวางยาพิษไม่เกี่ยวข้องกับพี่ชายข้าใช่ไหมเจ้าคะ? หรือจะพูดว่าเทพยดายุ่งมาก ก็เลยไม่มีเวลาว่างมาสนใจคำสาบานของคนธรรมดาสามัญเหล่านี้อย่างพวกเราล่ะเจ้าคะ?”
มู่เซิ่งตัวแข็งทื่อ และสายตาที่มองไปยังมู่อวิ๋นซีก็โพลงโตขึ้นมา
มู่อวิ๋นซีก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน นางจึงหันไปมองจินซิ่งอีกครั้ง แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถิด ถึงแม้ว่าเทพยดาจะยุ่งจนไม่มีเวลามาสนใจคำสาบานนี้ แต่ข้ามู่อวิ๋นซีมีเวลา เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะต้องตรวจสอบเพื่อยืนยันคำสาบานของเจ้าตามที่เจ้าปรารถนาอย่างแน่นอน”
สีหน้าของจินซิ่งขาวซีดไปหมด และความตื่นตระหนกตกใจอย่างแท้จริงก็ได้ปรากฏออกมาจากนัยน์ตาของเขา
“มู่อวิ๋นซี เจ้ามันคนสารเลว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะข่มขู่จินซิ่ง”
มู่จื่อโหรวที่ได้รับการส่งสัญญาณจากหลิ่วเย่รีบพุ่งตัวเข้าไปหามู่อวิ๋นซีอย่างแรง แต่ทว่ายังไม่ทันได้พุ่งตัวไปจนถึงเบื้องหน้าของมู่อวิ๋นซี ไม่รู้ว่าทำไมขาของนางถึงได้อ่อน และล้มลงไปอยู่ใต้เท้าของมู่อวิ๋นซีอย่างหมอบราบคาบแก้วในที่สุด
มีกระแสอากาศอุ่นๆหมุนวนไปมาอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของมู่อวิ๋นซี
นางลู่ตามองลงไปที่มู่จื่อโหรวซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น แล้วพูดว่า “คำพูดของจินซิ่งไม่สามารถเชื่อถืออะไรได้ และคำพูดของเจ้าก็เต็มไปด้วยคำโกหก ไม่มีความจริงเลยแม้แต่คำเดียว”
“คุณหนูอวิ๋นซี!” หลิ่วเย่ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อประคองมู่จื่อโหรวขึ้นมา แล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง ตอนที่ผึ้งรุมโจมตีจื่อโหรวเมื่อสักครู่นี้ ทุกคนก็ได้เห็นกันอย่างชัดเจนแล้ว ว่าท่านชายจื่อชวนปกป้องจื่อโหรวอย่างไร”

ดวงตาของทุกคนโพลงโตขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่! ข้าก็เห็นแล้วเช่นกัน” มู่อวิ๋นซีหันกลับมาเหลือบมองมู่จื่อชวน สักครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่หลิ่วเย่อีกครั้ง “แต่ข้าคิดว่า วันนี้พี่ชายของข้าเกรงว่าจะเสียใจเป็นที่สุดแล้ว เขาปกป้องมู่จื่อโหรวเขาปกป้องงูพิษตัวหนึ่งได้อย่างไร”
“มู่อวิ๋นซี!” สีหน้าของมู่เซิ่งดูไม่ได้เล็กน้อย
“ท่านรองมู่! ท่านให้ข้าพูดให้จบก่อนสิเจ้าคะ ไม่อย่างนั้น ข้าจะคิดว่าท่านร้อนตัว และกำลังตั้งใจเข้าข้างมู่จื่อโหรวอยู่นะเจ้า” มู่อวิ๋นซีสกัดกั้นคำพูดของมู่เซิ่ง แล้วมองไปทางมู่จื่อโหรวและพูดต่อไปว่า “ตอนที่เจ้าถูกผึ้งรุมโจมตีเมื่อสักครู่นี้ พี่ชายของข้าไปช่วยเจ้า นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษต่างหาก ไม่ใช่เพราะเจ้า”
“เจ้า……เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” มู่จื่อโหรวตกตะลึง
“ความหมายที่ข้าพูดก็คือ ถึงแม้ว่าคนที่ถูกผึ้งรุมโจมตีจะเป็นสาวใช้คนหนึ่ง หรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันคนหนึ่ง พี่ชายของข้าก็จะไปช่วยเช่นกัน นี่คือสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษที่อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไรล่ะ”
มู่อวิ๋นซีกวาดตามองทุกคนแล้วพูดต่อไปว่า “สำหรับคำที่เจ้าพูดว่าพี่ชายข้าไปวางยาพิษท่านย่าเพื่อที่จะออกหน้าให้เจ้า และเพื่อที่จะลงโทษข้า มันช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี”
เธอก้าวไปข้างหน้า แล้วดึงถุงหอมที่กำลังห้อยอยู่บนเอวของมู่จื่อโหรวลงมา “ข้าขอถามเจ้า ว่าใครเป็นคนให้ถุงหอมนี้กับเจ้า?”
เมื่อถูกหลิ่วเย่หยิกไปหนึ่งที มู่จื่อโหรวก็อ้าปากพูดว่า “มู่จื่อชวนเป็นคนให้ข้า”
“ถูกต้อง!” มู่อวิ๋นซีถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วชี้ไปยังถุงหอมที่กำลังห้อยอยู่ที่เอวของตัวเองและพูดว่า “ถุงหอมนี้ของข้า ก็เป็นของที่พี่ชายข้าให้เช่นกัน”
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” ทันใดนั้นภายในใจของหลิ่วเย่ก็บังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา

มู่อวิ๋นซีไม่พูดอะไร นางดึงเชือกสีแดงที่อยู่บนถุงหอมออก แล้วคว่ำปากถุงลง กลีบดอกไม้หลากสีสันที่อยู่ในถุงหอมจึงปลิวว่อนลงกับพื้น
สีหน้าของหลิ่วเย่ไม่สู้ดีขึ้นมาแล้ว
“ฮูหยินฉินเจ้าคะ!” มู่อวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นไปมองฮูหยินฉิน “ขอรบกวนท่านลองมาดูว่า ทั้งหมดนี้คือกลีบของดอกอะไรบ้าง”
ฮูหยินฉินก้าวไปข้างหน้า วินิจฉัยอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “นี่คือดอกกุหลาบ นี่คือพุดซ้อน นี่คือเถาม่วง นี่คือดอกป่ายเหอ นี่คือดอกโบตั๋น ไม่ใช่สิ ดอกโบตั๋นสามสี……”
ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้นมองไปทางมู่จื่อโหรว แล้วพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจที่คุณหนูจื่อโหรวจะถูกผึ้งรุมโจมตี” นางหยิบดอกโบตั๋นสามสีและเถาม่วงขึ้นมาสองกลีบแล้วอธิบายให้ทุกคนฟังว่า “ดอกโบตั๋นสามสีมีกลิ่นหอมกรุ่น ถ้านำเถาม่วงมาใส่เข้าด้วยกันกับมัน ก็จะสามารถดึงดูดผึ้งได้เจ้าค่ะ”
“ท่านทำร้ายข้า” มู่จื่อโหรวจ้องมองหลิ่วเย่ด้วยความเคียดแค้น
“ข้าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเจ้า ข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร?” หลิ่วเย่เหลือบมองมู่จื่อโหรวด้วยความไม่พอใจ เพื่อเตือนให้นางระวังคำพูด แล้วมองทางฮูหยินฉินอย่างระแวงสงสัย
“ฮูหยินรู้จักดอกโบตั๋นสามสีได้อย่างไร?”
“เผอิญว่า เมื่อวันก่อนองค์หญิงองค์หญิงใหญ่ทรงสั่งให้คนเอาไปมอบให้ข้าสองดอก และยังกำชับเป็นพิเศษว่าอย่าเอาไปวางไว้กับเถาม่วงด้วย”
หลิ่วเย่จ้องเขม็งมองไปที่มู่อวิ๋นซีทันที “เป็นเจ้านั่นเอง”
เจ้านั่นเองที่ขอให้องค์หญิงใหญ่มอบดอกโบตั๋นสามสีให้ฮูหยินฉิน
“เป็นข้าเอง” มู่อวิ๋นซีจงใจไม่เข้าใจความหมายของหลิ่วเย่อย่างชัดเจน “เป็นเพราะข้าโกรธแค้นที่มู่จื่อโหรวปล่อยงูมาขู่ข้า ดังนั้นจึงเอากลีบดอกโบตั๋นสามสีกับเถาม่วงยัดเข้าไปในถุงหอม แล้วก็ให้พี่ชายมอบให้มู่จื่อโหรวอีกที”
นางหันสายตาไปที่มู่จื่อชวน แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ข้าขอโทษนะ ที่ทำให้ท่านต้องได้รับบาดเจ็บตามไปด้วย”
มู่จื่อชวนนึกถึงตอนที่เขาไปมอบถุงหอมให้มู่อวิ๋นซีเมื่อคืนนี้ขึ้นมาได้ในทันที เธอมีสีหน้าแปลกใจ และถามเขาว่า มู่จื่อโหรวก็มีเช่นกันใช่หรือไม่? และยังพูดว่า นางจะใส่มันอย่างแน่นอนอีกด้วย!
เขาไม่ได้โง่เขลาเลย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่อวิ๋นซีทำได้อย่างไร แต่ถ้าเขาเดาไม่ผิด เดิมทีกลีบดอกโบตั๋นสามสีและเถาม่วงควรจะอยู่ในถุงหอมที่เขามอบให้มู่อวิ๋นซีและวันนี้คนที่ถูกผึ้งรุมโจมตีก็ควรจะเป็นมู่อวิ๋นซีด้วย
“ไม่……ไม่เป็นไร” หัวใจของมู่จื่อชวนเจ็บปวดรวดร้าวหาใดเปรียบ น่าขันที่เขาถูกคนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก
“มู่จื่อโหรว” มู่อวิ๋นซีมองไปยังมู่อวิ๋นซีอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “พี่ชายของข้ารู้ว่าถุงหอมนี้สามารถดึงดูดผึ้งได้ แต่เขากลับยังคงทนคำขอของข้าไม่ได้ จึงนำมันมามอบให้เจ้า เจ้าว่า เขารักเจ้าหรือรักข้ามากกว่ากันล่ะ?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset