เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 31 องค์หญิงใหญ่น่าเกรงขาม แย่ละ

“ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง!” แววตาฮูหยินลู่เปล่งประกายยินดี แป้งท้อธวัลพรรณนี้ราคาสูงยิ่ง คนธรรมดามิอาจหาซื้อได้ “องค์หญิงโปรดวางพระทัย พวกหม่อมฉันมิได้มิเข้าใจเรื่องราว”
“วันนี้พวกหม่อมฉันเพียงมาเป็นพยานรับรู้การกลับเข้าตระกูลของคุณหนูรอง” ฮูหยินฉันชายตามองคนเหล่านั้นเพียงนิด และคารวะองค์หญิงใหญ่ “เกรงว่าคุณหนูรองยังต้องไปคารวะบิดามารดา พวกหม่อมฉันมิรบกวนองค์หญิงล่ะเพคะ ขอทูลลา”
“องค์หญิง เกล้ากระหม่อมขอทูลลาพระเจ้าค่ะ”
“หมอหลวงจ้าว หยุดประเดี๋ยวก่อน!” หลิ่วเย่รั้งตัวหมอหลวงจ้าว พลางก้าวเท้าเร็วขึ้นไปคุกเข่าขวางหน้าองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิง คุณหนูสามถูกผึ้งต่อยทำร้ายบาดเจ็บสาหัส จนบัดนี้ยังมิได้ให้หมอดูอาการแต่อย่างใดเลย มิทราบว่าจะขอความกรุณาหมอหลวงจ้าวจัดยาให้นางได้หรือไม่”
“สำนักหมอหลวงมีภารกิจมากมาย มีรึจะล่าช้าด้วยเรื่องบาดแผลเล็กน้อยเพียงเท่านี้ อีกประการหนึ่ง ตัวนางมิยอมให้ท่านหมอดูอาการ เมื่อใดกันที่ต้องให้อนุเยี่ยงเจ้ามาคอยเป็นห่วงเป็นใยแทนนาง”
องค์หญิงใหญ่ไม่พอใจ หมอหลวงจ้าวโน้มตัวคารวะ และหมุนตัวเดินจากไป
ในห้องโถงเหลือเพียงคนตระกูลมู่ไม่กี่คน บรรยากาศเริ่มคุกรุ่น
“พี่สะใภ้” มู่เซิ่งมององค์หญิงใหญ่อย่างระมัดระวัง “ข้าพาอวิ๋นซีไปจุดธูปคารวะบิดามารดานาง?”
“ไม่ต้องรีบร้อน” องค์หญิงใหญ่ผ่อนคลายลมหายใจพลางลุกขึ้น รั้งมือน้อยของมู่อวิ๋นซีไว้แน่น ย่าขอบพระคุณเจ้านัก
หากมิใช่มู่อวิ๋นซี ตอนนี้นางคงกลายเป็นซากศพเย็นชืดไปแล้วเป็นแน่
เมื่อคืนมู่อวิ๋นซีมาพบนาง ตั้งใจหนักแน่นจะยกเลิกพิธีรับเข้าตระกูลในวันนี้
เมื่อตนคาดคั้นถาม นางจึงบอกว่านางฝันร้าย ฝันว่าวันนี้ตนจะโดนพิษ และตัวนางจะถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนร้าย
ตนปลอบโยนนางว่ามันเป็นเพียงความฝัน มิควรทึกทักว่าเป็นความจริง
หากมู่อวิ๋นซีกลับคุกเข่ามิยอมลุกขึ้น นางกล่าวว่า ก้อนแป้งหนึ่งก้อน น้ำหนึ่งชาม สำหรับผู้อยู่สุขสบาย มันเล็กน้อยยิ่งนัก หากสำหรับขอทานผู้อดอยาก ก้อนแป้งหนึ่งก้อนกลับกลายเป็นอาหารเลิศรส สำหรับนักเดินทางที่โดนกักขังกลางทะเลทราย น้ำบ่อเพียงหนึ่งชามเปรียบประหนึ่งน้ำอมฤต
และสำหรับนาง มู่อวิ๋นซี ครอบครัวคืออาหารเลิศรส ดุจน้ำอมฤต เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด นางยินดีหากพวกเขาจะไม่นับญาติกันตลอดชีวิต แต่มิยอมให้ท่านย่าได้รับภยันตรายแม้แต่น้อย

นางทำอะไรมิได้ จึงได้แต่รับคำ วันนี้อมยาถอนพิษหนึ่งเม็ดไว้ในปาก และรับปากนางว่าจะอบรมมู่เซิ่ง ให้มู่จื่อโหรวย้ายกลับลานชิงจื่อ
หากไม่คิดเลยว่า ฝันร้ายของนางจะกลับกลายเป็นความจริงนองเลือด
เมื่อครู่แม้นางไม่อาจขยับเขยื้อนหรือเอ่ยวาจา หากทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวนางได้ยินชัดเจน
พวกเขาอยากบีบคั้นนางกับจื่อชวนจนตาย
นางคลายมือน้อยของมู่อวิ๋นซี หมุนตัวไปมองมู่เซิ่ง หลิ่วเย่ สายตาเย็นเยียบดุจดั่งลมหนาวด้านนอก “ในเมื่อเรื่องวันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เยี่ยงนั้นจำต้องจัดการให้ชัดเจน พรุ่งนี้ มิอย่างนั้นจะมีคนบางคนคิดว่าข้าน่ะเลอะเลือนแล้ว”
“เรื่องกระไรวันนี้รึ?” มู่เซิ่งใจกระตุกวูบ
“ท่านย่า?” มู่จื่อชวนมององค์หญิงใหญ่อย่างแปลกใจ ใจกระตุกวูบ “ท่านคงมิได้ถูกพิษจริงใช่ไหมขอรับ?” เขาพลันตื่นตระหนกขึ้นมา “เหตุใดท่านจึงให้หมอหลวงจ้าวกลับไปเล่า? ข้าจะไปพาเขา…”
“พี่ชาย!” มู่อวิ๋นซียื่นมือดึงรั้งมู่จื่อชวนไว้ ส่ายหน้าช้าๆใส่เขา
“พี่สะใภ้!” มู่เซิ่งสีหน้าตกตะลึง “ท่านถูกพิษจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? ใครมันบังอาจขนาดนี้?”
“ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าผู้ใดกันที่มันบังอาจขนาดนี้” องค์หญิงใหญ่กวาดตามองคนในห้องด้วยสายตาเย็นชา สุดท้ายสายตาไปหยุดลงที่จินซิ่งที่ยืนตัวสั่นงั่นงกอยู่มุมห้อง “เจ้าชื่อจินซิ่ง?”
“องค์หญิงโปรดอภัย! โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย!” จินซิ่งโขกหัวไม่หยุด
“ที่แท้เจ้าเองก็กลัวตาย” องค์หญิงใหญ่เดินเข้าหาจินซิ่งภายใต้การพยุงของแม่นมโจว “หากยามเจ้าปรักปรำหลานสาวหลานชายข้า เหตุใดไม่คิดว่าตนอาจจะตายได้เล่า?”
จินซิ่งตัวสั่นเทางั่นงก ไม่กล้าเอ่ยคำ เพียงครู่ก็โขกหัวให้กับองค์หญิงใหญ่
“ข้ากล่าวไว้แต่ก่อนว่า หากเจ้ากล้าฆ่าตัวตาย ข้าจะประหารตระกูลเจ้าเก้าชั่วโคตร!”

น้ำเสียงองค์หญิงใหญ่ผันแปร ดุจดั่งพายุฝนฟ้าคะนอง “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดการใหญ่ แต่ต่อให้เจ้ามีความคิดมากมายเพียงใดก็ไม่มากเทียบเท่าการลงทัณฑ์ในวังดอก แม่นมโจว พานางออกไป รับรองให้ดี! อย่าลืมคอยหยดน้ำรักษาชีวิตนางไว้ด้วย”
แม่นมโจวสะบัดมือ ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนสองคนเข้ามาลากตัวจินซิ่งออกไป
องค์หญิงใหญ่มิได้ต้องการฆ่านาง หากต้องการให้นางอยู่มิสู้ตาย!
จินซิ่งกลัว นางกลัวแล้วจริงๆ
“องค์หญิงโปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันยอม หม่อมฉันยอมสารภาพแล้ว!”
“เจ้ายอมสารภาพ ข้ามิยอมฟัง ลากออกไป!”
องค์หญิงใหญ่หันไปมองมู่จื่อโหรว สายตาคมปลาบอย่างที่มิเคยมีมาก่อน “เจ้าเกลียดข้า ถูกต้องหรือไม่?”
“ท่าน ท่านป้าพูดกระไรเจ้าคะ ข้าจะเกลียดท่านได้เยี่ยงไร?” มู่จื่อโหรวตะกุกตะกัก
องค์หญิงใหญ่ยิ้มเย็น “เจ้าเกลียดข้า ข้าเข้าใจ หากจื่อชวนรักใคร่เจ้าเยี่ยงไร เจ้ามิรู้รึ? เจ้ากลับคิดใส่ร้ายเขาให้ตาย ข้าอยากควักหัวใจเจ้าออกมาดูสิว่า สีแดงหรือดำกันแน่?”
“ข้า…ไม่ใช่ข้านะเจ้าคะ” มู่จื่อโหรวเข่าอ่อน
“ยังกล้าพูดว่ามิใช่?” มู่เซิ่งผลุดเข้าไปตบหน้ามู่จื่อโหรวฉาดใหญ่ จนล้มกลิ้งลงพื้น

“เจ้าคิดว่าทุกคนโง่เหมือนเจ้ารึ? เมื่อครู่พ่อไม่ว่าเจ้า ไม่ใช่เพราะโดนเจ้าหลอกลวงเอา หากเพราะมิอยากให้คนนอกหัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะตระกูลมู่เรา หัวเราะเยาะว่าข้ามู่เซิ่งเลี้ยงดูคนอกตัญญูมิรู้บุญคุณคนเอาไว้”
มู่จื่อโหรวมือกุมหน้า มองมู่เซิ่งอย่างตะลึง “เจ้าตบข้าอีก? เจ้าคนหลอกลวง! ข้าอกตัญญูมิรู้บุญคุณคน เจ้าสิอกตัญญูมิรู้บุญคุณคน! เรื่องวันนี้ทั้งหมด…”
“จื่อโหรว!”
หลิ่วเย่ร้องเสียงหลง พุ่งเข้าหามู่จื่อโหรว จับไหล่สองข้างของนางเขย่าอย่างแรง “เจ้าหรือนี่? เจ้าวางยาพิษองค์หญิงรึ? เจ้ากระทำเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร? ที่ผ่านมาองค์หญิงดีกับเจ้าเพียงไร? ท่านชายดีกับเจ้าอย่างไร? จิตสำนึกของเจ้าโดนหมากินไปแล้วหรือไร?”
“คนอกตัญญูมิรู้บุญคุณคนเยี่ยงนี้เก็บไว้ทำไมกัน?” มู่เซิ่งกัดฟันกรอดอยู่ด้านข้าง แทบอยากเข้าไปกระหน่ำตบมู่จื่อโหรว
ออกปากด่ากราดอยู่นาน เขาทำประหนึ่งนึกถึงองค์หญิงใหญ่ขึ้นมาได้ พลันหมุนตัวกลับมาคุกเข่าต่อหน้านาง “พี่สะใภ้! ข้าสั่งสอนมิสู้ดี กลับมิรู้ว่านังลูกนี่…”
องค์หญิงใหญ่ยกมือขึ้นห้ามการพรรณนาของมู่เซิ่ง เหล่หลิ่วเย่และมู่จื่อโหรวด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ “โลกนี้มิมีกำแพงที่ลมมิผ่าน เรื่องวันนี้ไม่นานจะแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง เจ้าอาศัยเวลาไม่มากนี่ รีบจัดการหาคู่ครองให้นาง และส่งนางออกเรือน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
“จื่อชวน อวิ๋นซี พวกเราไป”
ยามองค์หญิงใหญ่กับมู่จื่อชวนและมู่อวิ๋นซีออกไป หลิ่วเย่รั้งมู่จื่อโหรวเข้าอ้อมกอด “จื่อโหรว เจ้าเป็นกระไรบ้าง? ยังดีอยู่หรือไม่?”
“ไส ไสหัวไป!”
มู่จื่อโหรวพยายามผลักหลิ่วเย่ออกไป นางลุกขึ้นอย่างโอนเอน ชี้นิ้วไปทางมู่เซิ่งซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม หลิ่วเย่ซึ่งมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “โกหก! พวกเจ้าโกหกกันทั้งนั้น!”
“จื่อโหรว ลูกฟังแม่นะ” หลิ่วเย่รีบวิ่งเข้าไปหามู่จื่อโหรวที่ร่างโอนเอน และพยุงนางไว้ “แม่เองก็มิคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ เจ้าวางใจเถิด แม่จะมิยอมให้เจ้า…”
“เจ้ามิใช่แม่ข้า!” มู่จื่อโหรวปัดมือหลิ่วเย่ออก ดวงตาบวมเป่งฉายแววร้ายกาจ “แม่ข้าตายไปแล้ว! ไสหัวไป!”
“จื่อโหรว!” หลิ่วเย่ร้องอย่างปวดใจ
“เรียกนางทำกระไร?” มู่เซิ่งปวดหัว “มีแรงเยี่ยงนั้น เอามาคิดว่าจะจัดการทางจินซิ่งอย่างไรดีกว่ากระมัง?”
หลิ่วเย่สีหน้าแข็งค้าง หากจินซิ่งเปิดโปงนางออกมา พอคิดถึงจินซิ่ง นางอดนึกย้อนไปถึงแป้งท้อธวัลพรรณที่องค์หญิงใหญ่มอบเป็นของขวัญออกไป พลันสีหน้าเปลี่ยน “นายท่าน แย่ละ แป้งท้อธวัลพรรณ!”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset