เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 33 พี่ชายน้องสาว มิสู้เต้นรำ

มู่จื่อชวนกลอกตามองทางมู่อวิ๋นซี คิ้วขมวดเล็กน้อย “เจ้าบอกว่าจะฆ่านางรึ?”
ถึงเวลานี้ เขายังคงปกป้องนาง?
มู่อวิ๋นซีอดผิดหวังในใจมิได้ “ใช่”
“เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่?” มู่จื่อโหรวปรีติยิ่ง “ท่านพี่ นางเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมงูพิษ ท่านต้องช่วยข้า ช่วยข้านะเจ้าคะ มิอย่างนั้นข้าต้องตายเป็นแน่”
มู่จื่อชวนมิได้ตอบคำ หากถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แซกๆ หิมะส่งเสียงเอื้อนเอ่ย ชายเสื้อน้ำเงินเข้มเกือบดำของเขาหลุดจากมือมู่จื่อโหรว
“หากอวิ๋นซีบอกว่าจะฆ่าเจ้า เช่นนั้นเจ้าต้องมีเหตุผลที่สมควรตายแน่นอน”
“ท่านพี่?”
มู่จื่อโหรวมิกล้าเชื่อหูตนเองเลย คำพูดไร้เยื่อใยเช่นนี้ออกมาจากปากมู่จื่อชวนได้อย่างไร?
“ข้ามิใช่พี่ชายเจ้า!” มู่จื่อชวนแก้คำ “ท่านอาจื่อโหรว อย่าลำดับญาติผิด จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้ขอรับ”
พูดจบ เขาเบนสายตาไปมองมู่อวิ๋นซีที่กำลังตกตะลึง ยิ้มมุมปากขึ้น ประหนึ่งแสงตะวันส่องแสงท่ามกลางหิมะเต็มท้องฟ้า “น้องพี่ พวกเราไปชมดอกเหมยดีหรือไม่?”
แสงตะวันงามตาจับต้องมาที่ร่างนางผู้เดียว
ประหนึ่งว่าในสายตาใสกระจ่างของเขามีเพียงนางผู้เดียว
พี่ชายของนาง
พี่ชายของนางเพียงผู้เดียว
ความยินดีปรีดาแผ่ซ่านราวกับพลุดอกไม้ไฟกำจายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน กระจ่างไปทั่วท้องฟ้า
“เจ้าค่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของมู่อวิ๋นซี

รับปากเขาแล้ว หากนางยังหันมามองมู่จื่อชวนพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่”
แววหัวเราะในดวงตามู่จื่อชวนยิ่งฉายแสงมากขึ้น “ไปกันเถิด!”
เขารับร่มกระดาษเคลือบน้ำมันจากมือนางมา
หิมะปลิวไสวและตกลง ประหนึ่งดอกแพร์นับพันนับหมื่นปลิวไสว สวยงามราวกับมิได้อยู่ในโลกมนุษย์ หิมะกองใต้ฝ่าเท้าครวญเพลงอย่างครื้นเครง เสียงแซกๆ กลบเสียงก่นด่าและหัวใจแตกสลายของมู่จื่อโหรวที่อยู่ด้านหลังพวกเขาไปเสียสิ้น
ดอกเหมยในสวนเหมยยังคงบานสะพรั่ง ดุจจิตใจเบิกบานปรีดาในยามนี้ของมู่อวิ๋นซี
“อวิ๋นซี!” มู่จื่อชวนชะงักฝีเท้าลงหันมองมู่อวิ๋นซีอย่างจริงจัง “แต่ก่อนข้าผิดเอง ขอให้เจ้า…”
“ท่านพี่!” มู่อวิ๋นซีตัดบทคำเขา “เรื่องแล้วไปแล้วให้มันแล้วไปเถิดเจ้าค่ะ พวกเราอย่าพูดถึงมันอีกเลย”
“ไม่ ผิดก็คือผิด ต่อให้ข้าเป็นพี่ชาย ก็สมควรขอโทษเช่นกัน” มู่จื่อชวนยื่นร่มกระดาษเคลือบน้ำมันในมือคืนให้มู่อวิ๋นซี และถอยไปหนึ่งก้าว คำนับนางอย่างจริงจังพลางว่า “ขอโทษด้วย น้องพี่”
มู่อวิ๋นซีไม่บ่ายเบี่ยงไม่หลบหลีก รับการคารวะจากเขาอย่างจริงจัง สบตาเขาอย่างจริงจังเช่นกันว่า “ไม่เป็นไร ข้าให้อภัยท่านแล้ว”
มู่จื่อชวนยิ้มมุมปาก “อวิ๋นซี นับจากวันนี้ไป มิว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ชายจะคอยออกหน้าปกป้องเจ้าเสมอ ขอเพียงพี่ยังมีลมหายใจอยู่ จะมิยอมให้ผู้ใดรังแกเจ้าเป็นเด็ดขาด”
มู่อวิ๋นซียิ้มบาง พลันรู้สึกร้อนผ่าวที่จมูกขึ้นมา นางพยายามสูดลมหายใจเข้า ก่อนหัวเราะว่า “หากข้ารังแกผู้อื่นเล่า?”
“เห็นได้ชัดว่าผู้นั้นสมควรถูกรังแก”
คำพูดนี้ของมู่จื่อชวนออกจะไร้เหตุผลอยู่สักหน่อย หากมู่อวิ๋นซีกลับรู้สึกดียิ่งนัก นางยกร่มกระดาษเคลือบน้ำมันในมือขึ้นสูง จนคลุมถึงตัวมู่จื่อชวนด้วย สายตาใสกระจ่างจับจ้องไปที่เขาพลางว่า “งั้นพวกเราตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ”
นางยกมือขึ้น ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับมู่จื่อชวน “เกี่ยวก้อยสัญญา”
มู่จื่อชวนยกนิ้วก้อยตนขึ้นเกี่ยวกับนิ้วก้อยนาง นิ้วหนึ่งใหญ่นิ้วหนึ่งเล็กเกี่ยวไว้ด้วยกัน “เกี่ยวก้อยสัญญา หนึ่งร้อยปีก็ห้ามเปลี่ยน”
เขาปล่อยมือนาง รับร่มกระดาษเคลือบน้ำมันที่นางพยายามยกสูงอย่างยากลำบากมา พลางหันมองดอกเหมยสีแดงที่ผลิบานอยู่เบื้องหน้า “อวิ๋นซี คืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันรึ?”

คืนนั้นเขาจำได้ว่ามู่เซิ่งชวนเขาดื่มเหล้า ดื่มไปได้เพียงสองจอกเขาก็เมาแล้ว และมีสาวใช้เข้ามารายงานว่ามู่จื่อโหรวเรียกหาเขา มู่เซิ่งจึงพยุงเขาไปที่ลานชิงจื่อ ให้เขานั่งรอในห้องของจื่อโหรว
เขารุ่มร้อนไปทั้งร่าง สะลึมสะลือ มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนหลังคาแล้ว เขาได้ยินเรื่องราวในห้อง ตอนนั้นถึงจะรู้สึกมิค่อยดีเท่าไหร่ หากคิดว่าเป็นเพราะมู่จื่อโหรวเอาแต่ใจ และพลาดพลั้งไป หากผ่านเรื่องวันนี้ เขากลับมิคิดอย่างนั้นแล้ว
“เฮ้อ!” มู่อวิ๋นซีถอนหายใจแผ่วเบา “ท่านยังจำผู้ที่พาท่านขึ้นหลังคาคืนนั้นได้หรือไม่?” มู่จื่อชวนพยักหน้า “ท่านชายเย่ เขายังเคยไหว้วานข้าเอาดอกเหมยแดงหนึ่งก้านมามอบให้เจ้า”
“ใช่ ครั้งเมื่อข้ากลับมา เจอนักฆ่าที่ด้านนอกเมืองหลวง โชคดีที่ได้ท่านชายเย่ช่วยไว้ ต่อมาเขาเป็นห่วงข้า จึงลอบส่งข้ากลับมา และค้นพบว่าอาหารที่ยายหวางนำมาให้ข้านั้นมีปัญหา มิเช่นนั้น…”
มู่อวิ๋นซีเบนหน้าไปทานอื่น น้ำเสียงทั้งเบาและเย็นชา “ข้ากับท่านพี่ คงหมดสิ้นทุกอย่างแน่”
มู่จื่อชวนสีหน้าซีดเผือด หากคืนนั้นเกิดเรื่องจริง เขาจะยังมีหน้าอันใดมีชีวิตอยู่ต่อไปได้?
“ยายหวางช่างใจคออำมหิตนัก”
“คนรับใช้อย่างนางจะหาญกล้าเยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน” มู่อวิ๋นซีมิคิดอธิบายกับมู่จื่อชวนให้มากความ นางเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านพี่ตั้งใจชวนข้ามาชมดอกเหมยมิใช่หรือ?”
บางเรื่องเอ่ยเป็นนัยเพียงพอแล้ว มู่จื่อชวนมิได้ขลาดเขลา เพียงแต่แค่ชั่วครู่ที่คิดไม่ถึงด้านนั้น ให้เขาค้นพบความต่ำช้าของมู่เซิ่งด้วยตนเอง ดียิ่งกว่านางบอกเขากับปาก
“เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสิ้น” มู่จื่อชวนหยิบถุงผ้าสีแดงออกจากในเสื้อยื่นให้มู่อวิ๋นซี “เดิมท่านพี่จะมาวันนี้ แต่พลันมิใคร่สบายยามเช้าตื่นมาวันนี้ เลยมิได้มา เพียงส่งคนนำสิ่งนี้มามอบให้เจ้า”
มู่อวิ๋นซีรับถุงผ้ามาเปิดออกดู ด้านบนเป็นดอกไม้ไข่มุกสีน้ำเงินนกยูงสองดอก
“งดงามยิ่งนัก”

“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” มู่จื่อชวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “หากพรุ่งนี้หิมะหยุดตก ข้าพาเจ้าไปหาท่านพี่ละกัน นางพบเจ้าต้องดีใจมากแน่”
พี่สาว! ในใจมู่อวิ๋นซีพลันรู้สึกรอคอยขึ้นมา “เจ้าค่ะ”
“ท่านชาย ท่านจางจากสำนักหนังสือมาขอรับ” มีคนรับใช้เข้ามารายงาน
“ท่านไปทำงานเถิด ข้าขออยู่ที่นี่ต่อสักครู่” มู่อวิ๋นซีเอ่ยคำ
มู่จื่อชวนพยักหน้า ยื่นร่มกระดาษเคลือบน้ำมันคืนให้กับมู่อวิ๋นวี “อากาศหนาว อยู่เพียงครู่แล้วกลับเถิด”
“พี่ชายน้องสาวรักใคร่กันดี ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!”
น้ำเสียงทอดถอนใจดังขึ้นจากด้านหลังมู่อวิ๋นซี ดึงรั้งสายตานางที่มองตามมู่จื่อชวนให้กลับมา
“ท่านชายเย่!”
นางหันมามองเฟิ่งเชียนเย่ในชุดคลุมสีขาว แววตาปกปิดความยินดีและซาบซึ้งใจมิมิด “ขอบพระคุณท่านยิ่งนัก”
หากมิใช่เขาลอบสืบเรื่องความลับของโบตั๋นสามสีและเถาม่วง นางคงมิคิดแผนซ้อนแผน สับเปลี่ยนถุงผ้าของมู่จื่อโหรว เปลี่ยนเป็นมู่จื่อโหรวล่อฝูงผึ้งมา
หากมิใช่เขาลอบช่วยเหลือ นางไม่สามารถต้านทานการท้าทายและบีบคั้นของมู่จื่อโหรวได้เป็นแน่
หากมิใช่เขาลอบช่วยเหลือสกัดจุดชีพจรขององค์หญิงใหญ่ แผนการของนางมิสามารถดำเนินได้เลย
หากมิใช่เขาลอบทำให้มู่จื่อโหรวล้มลง นางคงโดนตบเข้าฉาดหนึ่งแล้ว
ยังการล้มลงเมื่อครู่ของมู่จื่อโหรวอีก เขาลงมือเป็นแน่
เฟิ่งเชียนเย่มองหญิงร่างผอมบาทดวงตาเป็นประกายตรงหน้า อดคิดถึงภาพนางระบำกลางหิมะขึ้นมาไม่ได้ คิดถึงการอธิบายและวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คิดถึงภาพนางประคองมู่จื่อชวนขึ้นมาพลางว่า มีนางอยู่ จะมิยอมให้เขาต้องถูกรังแก ในใจเขาพลันรู้สึกริษยาวูบหนึ่ง
เขาหัวเราะออกมา เลิกคิ้วถาม “ขอบพระคุณเยี่ยงไร?”
มู่อวิ๋นซีลังเลเพียงครู่ ปล่อยมือลง ให้ร่มกระดาษเคลือบน้ำมันร่วงหล่นไป จัดเสื้อผ้าเตรียมคารวะเขา หากมือบางกลับโดนเขารั้งเอาไว้
“ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด!”
เฟิ่งเชียนเย่ใช้แรงรั้งนางเข้าอ้อมกอด แววตาจริงจัง “อยากขอบพระคุณข้า มิสู้เต้นรำ?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset