มู่อวิ๋นซีส่งสายตาให้ไป่หลิง พลางหันมองสาวน้อยคนนั้น “ต้องการแป้งประทินโฉม”
“คุณหนูเชิญทางนี้เจ้าค่ะ!”
ชวยเอ๋อร์ยิ้มรื่นเดินนำมู่อวิ๋นซีไปทางตู้ชิดกำแพงฝั่งตะวันออก พลางยกมือชี้ไปที่ตลับกลมแต่ละชิ้นอันงดงามประณีตบนตู้ “นี่คือแป้งน้ำ แป้งม่วง แป้งดอกไม้ แป้งไข่มุก แป้งไม้จันทน์…”
“ชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่รึ?” มู่อวิ๋นซีหยิบตลับกลมชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากไม้ไผ่ บนตลับไม้ไผ่สลักดอกไม้เล็กๆไม่รู้ชื่อเอาไว้หนึ่งดอก
“นี่คือแป้งม่วงหนึ่งกล่อง ราคาหนึ่งร้อยเหวิน”
แพงกว่าที่นางเห็นหญิงผู้นั้นขายบนแผงลอยเท่าหนึ่งเต็มๆ มู่อวิ๋นซีเปิดฝาคลับ วางไว้หน้าจมูกลองดมดู หากยามจะเอ่ยปาก มู่ลี่พลันขยับ และมีคนเข้ามาอีก
“เถ้าแก่! เรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา เร็ว!”
“ใต้เท้าท่านนี้” สีหน้าชวยเอ๋อร์เผยแววไม่พอใจวูบหนึ่ง “เถ้าแก่ไม่อยู่ มีเรื่องอะไรท่านพูดกับข้าเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้า?” มือปราบเหล่ชวยเอ๋อร์หนึ่งที “ย่อมได้ ใต้เท้าเจี่ยบอกให้ข้ามาเอาแป้งท้อธวัลพรรณหนึ่งกล่อง ไปเอามา”
“เมื่อวานเขาพึ่งเอาแป้งรัมภาไปหนึ่งกล่อง สามวันก่อนก็เอาผงดอกฮอสต้าไปหนึ่งกล่อง ห้าวันก่อนพึ่งเอาไปแท่งไศลสองอัน” ชวยเอ๋อร์หัวเสีย ยกนิ้วมือขึ้นนับ “สิบวันก่อนยังเอาชาดดอกทองไปหนึ่งกล่อง ยังมีเดือนก่อน….”
“เอาล่ะเอาล่ะ” มือปราบเริ่มรำคาญ โบกมือตัดบทชวยเอ๋อร์ “ยังไงก็มิใช่ของบ้านเจ้า เจ้าเดือดร้อนกระไร? รีบไปเอาแป้งท้อธวัลพรรณมา ข้าจะได้กลับไปรายงาน”
“ท่าน…” ชวยเอ๋อร์กระทืบเท้าด้วยความโกรธ และหมุนตัวเข้าด้านในอย่างจำยอมในที่สุด
มู่อวิ๋นซีรู้ดีแก่ใจ แป้งท้อธวัลพรรณที่มือปราบคนนี้มาเอาตอนนี้ ดูท่าจะเป็นสิ่งที่ใต้เท้าเจี่ยคนนั้นสัญญากับนางเมื่อครู่
“ไป่หลิง” มู่อวิ๋นซีแอบยื่นเบี้ยก้อนเล็กให้กับไป่หลิง “ไปให้มือปราบคนนั้น ข้าสนใจใต้เท้าเจี่ยที่เขาเอ่ยถึงยิ่งนัก”
ต่อให้เขาเป็นคนของผิงจุ่นซือ ก็มิสามารถให้คนมาเอาของที่แดงดุจท้อได้บ่อยเช่นนี้? นี่คือยึดเอาที่นี่เป็นสวนหลังบ้านตนไปแล้ว
มือปราบได้เงินกำนัล สีหน้าดีขึ้นมาก “มิรู้ว่าคุณหนูท่านนี้ต้องการถามเรื่องกระไรรึ?”
มู่อวิ๋นซีใจกระตุกเล็กน้อย ย่อตัวลงให้มือปราบคนนั้นเล็กน้อย “ข้าได้ยินท่านพูดถึงใต้เท้าเจี่ยมิขาดปาก ประหนึ่งว่าใต้เท้าเจี่ยผู้นั้นเก่งกาจนัก หากลูกพี่ลูกน้องข้าก็สังกัดผิงจุ่นซือเช่นกัน เหตุใดมิเคยได้ยินชื่อใต้เท้าเจี่ยมาก่อนเลย?”
“เฮ้อ ข้านึกว่าเรื่องกระไรกัน มิเคยได้ยินมิแปลกแต่อย่างใด นี่เป็นการเรียกขานกันในหมู่พี่น้อง พวกเขาเองก็เรียกข้าว่าใต้เท้าจ้าว ที่จริงพวกเรามิได้เป็นใต้เท้าใหญ่โตแต่อย่างใด เป็นเพียงชั้นผู้น้อยของผิงจุ่นซือเท่านั้นเอง”
มู่อวิ๋นซีเข้าใจ เหล่มองด้านในแวบหนึ่ง พูดเสียงต่ำว่า “ใต้เท้าเจี่ยท่านนั้นกล้ามาขอแป้งประทินโฉมที่แดงดุจท้อ เหตุใดใต้เท้าจ้าวมิทำบ้างเล่า? ประเดี๋ยวสาวใช้นั่นออกมา ท่านก็ขอแป้งท้อธวัลพรรณกับนางสักกล่อง ข้ายินดีซื้อแป้งท้อธวัลพรรณกล่องนี้ในราคาเพียงครึ่งเดียว”
“ทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด” มือปราบสีหน้าเปลี่ยนทันที “หากถูกพบเข้า ข้าต้องเสียงานนี้ไปแน่ ดีมิดีจะโดนเข้าคุกเสียด้วย”
มู่อวิ๋นซีไม่เชื่อ “จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? ใต้เท้าเจี่ยผู้นั้นก็ทำเยี่ยงกันมิใช่รึ?”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงใดกัน? เครื่องประทินโฉมที่ใต้เท้าเจี่ยเอาไปล้วนนำไปมอบให้ผู้อื่นทั้งสิ้น” รอยยิ้มบนใบหน้ามือปราบเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “คุณหนูมิทราบ ใต้เท้าเจี่ยของพวกเราคนนั้น มินิยมสิ่งใด มีเพียงอย่างเดียวคือ เห็นสาวงามเมื่อใดทำเอาไปมิเป็นทาง หากคุณหนูต้องการเครื่องประทินโฉม…”
มือปราบหยุดพูดฉับพลัน หันมองชวยเอ๋อร์ที่เดินออกจากสวนด้านใน “แป้งท้อธวัลพรรณ มิผิดใช่หรือไม่? อย่าหยิบผิดเล่า หาไม่เขาจะโทษข้า”
“แป้งท้อธวัลพรรณกล่องนี้ราคาสูงค่านัก จะผิดได้เยี่ยงไร?” ชวยเอ๋อร์คว้าบัญชีโยนใส่หน้ามือปราบ “เขียนชื่อซะ”
เห็นมือปราบคนนั้นนำแป้งท้อธวัลพรรณจากไป มู่อวิ๋นซีถึงหันมองชวยเอ๋อร์ ถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าคงมิใช่มีจุดอ่อนในมือผิงจุ่นซือหรอกกระมัง? ของราคาสูงค่ายิ่งนี้เหตุใดยกให้เขาเอาไปง่ายๆเล่า?”
นางวางแป้งม่วงในมือลง “คงมิใช่ว่าแป้งประทินโฉมของพวกเจ้ามีปัญหาหรอกกระมัง?”
“คุณหนูอย่าสงสัยไปเลยเจ้าค่ะ หากผิงจุ่นซือมีจุดอ่อนใดของพวกเราจริง คงปิดกิจการของแดงดุจท้อไปแล้ว มีหรือจะให้พวกเราทำการค้าขายได้” นางเก็บบัญชีกลับมา “ใต้เท้าเจี่ยคนนั้นเป็นท่านเขยของจวนเรา”
ท่านเขย? แซ่เจี่ย? สังกัดผิงจุ่นซือ?
มู่อวิ๋นวีพลันหันมองไป่หลิง ไป่หลิงสีหน้าตกตะลึง พึมพำว่า “เป็นไปมิได้” ในความทรงจำของนาง ท่านเขยและคุณหนูใหญ่รักใคร่กลมเกลียวกันมาตลอดนี่นา
“เจี่ยอี้รึไม่?” มู่อวิ๋นซีหันกลับมามองชวยเอ๋อร์ “เอาบัญชีมาให้ข้าดูหน่อย”
“ท่านคือ?” ชวยเอ๋อร์สงสัย
“นี่คือคุณหนูรอง” ไป่หลิงหยิบครื่องยืนยันของแดงดุจท้อออกมายื่นให้ชวยเอ๋อร์ “นับตั้งแต่วันนี้ไป แดงดุจท้อจะอยู่ในความดูแลของคุณหนูรอง”
“คารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซียกมือขึ้นสกัดกั้นการคำนับของชวยเอ๋อร์ “ใต้เท้าเจี่ยที่คนผู้นั้นพูดถึงคือเจี่ยอี้? สามีของพี่สาวข้า?”
ถึงในบัญชีจะเขียนชื่อเจี่ยอี้ไว้หลายจุด หากนางยังหันไปยืนยันกับชวยเอ๋อร์
“เจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าพูดจามุทะลุ อาจทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ ขอคุณหนูรองได้โปรดอภัยด้วย ถึงท่านเขยจะเอาแป้งประทินโฉมไปมากหน่อย หากเพื่อเอาใจคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
หากเจี่ยอี้นำแป้งประทินโฉมเหล่านั้นเอาใจพี่สาวนางจริง นางมิมีสิ่งใดจะพูด
หากเห็นได้ชัดว่ามิใช่
อย่างน้อยแป้งท้อธวัลพรรณกล่องเมื่อครู่ที่เอาไป เจี่ยอี้จะมอบให้นาง
ชายสองใจเยี่ยงนี้ มีหรือจะจริงใจกับพี่สาวนาง?
พอคิดได้ดังนี้ นางพลันนึกถึงแผลน่าสะพรึงกลัวที่หน้าผากมู่ซิ่ว แผลนั่นมิแน่ว่ามาได้อย่างไร?
นางพลันนึกขึ้นได้อีกว่า ชาติก่อนยามนางออกจากคุก มู่ซิ่วมิได้มีชีวิตอยู่แล้ว นางมิรู้ว่านางตายได้เยี่ยงไร หากสังเกตจากสีหน้าหลายวันก่อนของมู่ซิ่ว ดูมิคล้ายจะเจ็บไข้ได้ป่วยเลย
“คุณหนู? ทำเยี่ยงไรดี?” ไป่หลิงเหล่สีหน้ามู่อวิ๋นซี “หรือจะกลับไปกราบทูลองค์หญิงดีเจ้าคะ?”
“ไม่ต้อง บัดนี้ท่านย่าไม่อาจออกจากลานหย่อเหอได้ ต่อให้รู้ก็ทำได้เพียงเรียกตัวเจี่ยอี้ไปสั่งสอน เรื่องนี้เอาไว้ก่อน พวกเรารอดูกันต่อไป”
“บ่าวแล้วแต่คุณหนูเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีผงกหัวพลางหันมองชวยเอ๋อร์ “แดงดุจท้อเป็นไปตามเดิม ส่วนเรื่องแดงดุจท้อเปลี่ยนผู้ดูแล เจ้ามิจำเป็นต้องบอกผู้อื่น รู้แต่เพียงตนเองก็พอแล้ว อีกประการหนึ่ง หากเจี่ยอี้ผู้นั้นมาเอาเครื่องประทินโฉม เจ้าเอาให้เขาตามเดิม หากให้คนมาส่งจดหมายให้ข้าที่จวนด้วย”
“เจ้าค่ะ!” ชวยเอ๋อร์รับคำ
“นี่ก็สายมากแล้ว ไป่หลิง พวกเรากลับกันเถิด”
พอกลับถึงจวนตระกูลมู่ มู่อวิ๋นซีมิได้กลับลานชิงจื่อทันที หากไปที่ลานหย่งเหอเลย
ห้องรมตงของลานหย่งเหอ สภาพดูเละเทะ กล่องใหญ่กองทับกล่องเล็ก กล่องผ้าวางซ้อนๆกันอยู่บนพื้น
“ท่านย่า ท่านกำลังทำอะไรเจ้าคะ?” มู่อวิ๋นซีอ้อมผ่านกองมากมายไปยืนข้างองค์หญิงใหญ่
“ย่าเห็นว่าใกล้ปีใหม่แล้ว เลยจะเตรียมของกำนัล ถึงย่าจะออกจากลานหย่งเหอมิได้ หากของกำนัลยังส่งออกได้นี่นา”
องค์หญิงใหญ่กวักมือเรียกมู่อวิ๋นซีนั่งลง และชี้ไปที่กล่องสีแดงพลางว่า “แม่นมโจว เอากล่องนั้นใส่ไปในของกำนัลปีใหม่ที่จะให้จวนตระกูลเจี่ยด้วย อีกครู่หนึ่งจื่อหลันมา ให้นางนำกลับไป”