“ท่านย่า!” มู่ซิ่วเข้ามาคารวะองค์หญิงใหญ่ “เช้าวันนี้ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก และยังคิดถึงท่านย่า เลยมาเยี่ยมเยือนน่ะเจ้าค่ะ”
“คารวะองค์หญิงใหญ่เจ้าค่ะ!” มู่จื่อหลันคารวะองค์หญิงใหญ่อย่างนอบน้อม “เมื่อวานฮูหยินเห็นองค์หญิงส่งของกำนัลปีใหม่ไปมากมายขนาดนั้น ทั้งตื้นตันและละอายใจ และยังได้ยินข้าบอกว่าวันนี้คุณหนูรองจะไปเยี่ยมนาง เลยยิ่งรู้สึกละอายใจ เช้ามาวันนี้เลยเรียกข้ากลับมาด้วยกันเพคะ”
“เจ้านี่ สองพี่น้องกันแท้ๆ จะต้องรู้สึกละอายใจอันใดกัน” องค์หญิงใหญ่เย้ามู่ซิ่ว ดึงมือนางมานั่งลง “มาเช้าตรู่เยี่ยงนี้ ยังมิได้รับอาหารเช้าล่ะสิ? ดีเลย มารับอาหารเช้าเป็นเพื่อนย่าละกัน”
นางเหลือบตาขึ้นมองมู่จื่อหลันที่ยืนด้านหลังมู่เซิ่งซึ่งกำลังช่วยคีบอาหารให้นาง “ที่นี่มิมีคนนอก มารยาทพวกนี้มิต้องดอก เจ้านั่งลงทานด้วยกันเถิด”
“ขอบพระทัยองค์หญิง!” มู่จื่อหลันคารวะองค์หญิงใหญ่ หากกลับมิได้ขยับแม้แต่น้อย “ข้ารับใช้ฮูหยินรับอาหารเสร็จค่อยทาน เยี่ยงนั้นข้าถึงจะสบายใจเพคะ”
เสแสร้ง!
มู่อวิ๋นซีที่ยืนอยู่หน้าประตูมิได้พูดอะไรแอบสบถในใจ ยิ้มมุมปาก “พี่สาว ข้าพึ่งพูดว่าจะไป…”
พอมู่ซิ่วหันกลับมา มู่อวิ๋นซีพลันตะลึงอึ้ง
รอยแผลบนหน้าผากมู่ซิ่วหายไปแล้ว
มิใช่ว่าหายไปหมด หากเหลือเส้นแดงบางๆอยู่ หากมิสังเกตจะมองมิออกเลย
รอยแผลน่ากลัวเพียงนั้น จะหายดีในคืนเดียวได้อย่างไร? ยาอะไรกันมีฤทธิ์ร้ายซะยิ่งกว่ายาสร้างเนื้อ?
“อวิ๋นซี?” องค์หญิงใหญ่ฉงน “ทำไมกันรึ? รีบมาสิเจ้า!”
มู่อวิ๋นซีเก็บกักความตกตะลึงในใจ เลิกคิ้วยิ้ม “ข้ารู้มาตลอดว่า ยาสร้างเนื้อใช้ได้ดี มิคิดว่าจะใช้ได้ดีเยี่ยงนี้ ท่านดูแผลของพี่สาวสิ เหลือเพียงรอยแดงบางๆเท่านั้น ใช้อีกเพียงสองวัน คงมิเหลือร่องรอยใดๆแน่”
“ขอบใจเจ้ามาก” มู่ซิ่วรีบลุกขึ้น
“ไอ้โย่ เหตุใดขอบใจอีกเล่า?” มู่อวิ๋นซีกดนางนั่งลง เหล่มองมู่จื่อหลัน “เมื่อวานท่านอาจื่อหลันขอบใจข้าแทนท่านแล้วนะ”
มู่ซิ่วชะงักเล็กน้อย “ในเมื่อวันนี้มาเจอเจ้าแล้ว ต้องขอบใจกับปากสิ”
“พวกเจ้าสองคนพี่น้องเกรงใจอันใดกันเล่า?” องค์หญิงใหญ่ยื่นขนมงาดำข้างตนให้กับมู่อวิ๋นซี “เอ้า เจ้าชอบนี่”
“ขอบพระทัยท่านย่า!”
มู่อวิ๋นซีบอกขอบคุณ หันมองมู่จื่อหลันที่ยืนด้านหลังมู่ซิ่ว “ท่านอาจื่อหลัน ท่านเองนั่งลงทานเถิด”
“ขอบพระคุณความเมตตาของคุณหนูรองเจ้าค่ะ แต่ว่าในเมื่อข้าเป็นน้อย สมควรทำตามกฎของน้อย หากทำผิดกฎ อาจจะเกิดความคิดมิสมควรได้ และหากเป็นอย่างนั้น คงต้องกลายเป็นโทษหนักแน่” มู่จื่อหลันเคารพอย่างนอบน้อม
“อวิ๋นซี จื่อหลันยืนยันเยี่ยงนี้ เจ้าก็อย่าฝืนใจนางเลย” องค์หญิงใหญ่พอใจกับคำพูดของมู่จื่อหลันมาก “อีกครู่ข้าจะสั่งให้ห้องครัวยกสำรับเจ้ามาอีกชุด”
หน้าหนามิมีใครเทียบ!
มู่อวิ๋นซีหลุบตาลงมิเอ่ยคำอีก หากนางได้ยินคำพูดนี้ก่อนเมื่อคืน นางต้องคิดว่ามู่จื่อหลันเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตน รู้ฐานะของตนดี หากบัดนี้นางรู้แล้วว่า คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงแค่พูดให้นางกับองค์หญิงใหญ่ฟังเท่านั้น หากยังพูดให้มู่ซิ่วฟังด้วย
เพราะที่จวนตระกูลเจี่ย นางเป็นฮูหยิน และมู่ซิ่วถึงเป็นน้อย
นั่นปะไร มือที่ถือตะเกียบของมู่ซิ่วสั่นครู่หนึ่ง
มู่อวิ๋นซีปวดใจ มองมู่ซิ่วในตอนนี้ เสมือนเห็นตนเองในชาติก่อน ความเจ็บปวดนั้นกลับเริ่มกำจายความแค้นไร้ที่สิ้นสุด หมุนวนในใจนางหลายตลบ
น่าแค้นใจนักที่เมื่อวานนางยังคิดว่ามู่จื่อหลันมิมีโอกาสพูดเรื่องเจี่ยอี้กับองค์หญิงใหญ่ ใครเลยจะรู้ว่าทั้งคู่เป็นหญิงร้ายชายชั่วร่วมมือกันรังแกมู่ซิ่ว
งั่ม!
นางกัดขนมงาดำหนึ่งชิ้น งั่ม และกัดอีกคำ
จวบจนความโกรธในใจกดลงไปได้ นางจึงหันมององค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ท่านเชิญหมอหลวงจ้าวมาแล้วหรือเจ้าคะ?”
“ยังดอก กำลังจะให้คนไปเชิญ พี่สาวเจ้าก็มาแล้ว”
“งั้นท่านย่าส่งคนไปเชิญเถิดเจ้าค่ะ อีกครู่พี่สาวกลับไปพอให้หมอหลวงจ้าวตามนางไปดูแม่สามีด้วยเลย แบบนี้จะได้พูดว่า พี่สาวเชิญท่านหมอหลวงมา ดูกตัญญูมากกว่าไปซื้อยาด้วยตัวเองอีกนะเจ้าคะ?”
มู่อวิ๋นซียิ้มบอกองค์หญิงใหญ่ หากหางตากลับจับจ้องไปที่การเปลี่ยนสีหน้าของมู่ซิ่วและมู่จื่อหลัน
สีหน้ามู่ซิ่วซีดเผือด รีบบอกปัดทันที “มิได้ มิต้องลำบากไปดอกเจ้าค่ะ”
“องค์หญิงกับคุณหนูรองอาจจะยังมิรู้” มู่จื่อหลันหลุบตาลงพูดต่อ “นับแต่ฮูหยินใหญ่ได้ทานยาที่ฮูหยินซื้อกลับมาครั้งก่อน อาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ ยังบอกว่าอีกสองวันจะมาเยี่ยมเยือนองค์หญิงนะเพคะ”
“จริงรึ?” องค์หญิงใหญ่หันมองมู่ซิ่ว “แม่สามีเจ้าอาการดีแล้ว?”
มู่ซิ่วเม้มปากผงกหัว
“งั้นก็ดี เยี่ยงนี้เจ้าจะได้เหน็ดเหนื่อยน้อยลง” องค์หญิงใหญ่มองมู่ซิ่วอย่างรักใคร่ “ทานน้ำแกงเพิ่มเถิด”
มู่จื่อหลันเข้ามาหยิบชามมู่ซิ่วพลางตักน้ำแกงให้
“ข้าต้องการด้วย”
มู่อวิ๋นซีทานเห็ดในชามน้ำแกงตนจนหมด ยื่นชามออกไปอย่างรีบร้อน พอดีชนกับมือที่พึ่งวางชามลงของมู่จื่อหลัน
มือมู่จื่อหลันชะงักค้างกลางอากาศเพียงครู่ ก่อนรับชามมู่อวิ๋นซีไป ยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน “คุณหนูรองรับน้ำแกงเห็ดหรือเจ้าคะ?”
“ใช่! ขอบคุณท่านอาจื่อหลันมาก ท่านนี้ดียิ่งนัก”
มู่อวิ๋นซียิ้มรับชามน้ำแกงเห็ดที่มู่จื่อหลันส่งมาให้ สายตาพลันจับไปที่ปลารมควันตัวหนึ่งบนโต๊ะ “ข้าอยากทานปลารมควัน”
“ข้าแกะก้างให้คุณหนูรองเองเจ้าค่ะ”
มู่จื่อหลันสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด หมุนตัวเดินไปยืนข้างปลารมควัน และคีบเนื้อปลาวางลงชาม หางตาพลันเหล่มู่ซิ่ว และเริ่มแกะก้างปลาอย่างระมัดระวัง
มู่อวิ๋นซีลอบถอนหายใจ มิน่าเล่าที่ผ่านมาองค์หญิงมิสังเกตเห็นเลยสักนิด มู่จื่อหลันเสแสร้งเก่งยิ่งนัก
จะทำเยี่ยงไรให้นางเผยพิรุธเล่า?
นางครุ่นคิดในใจ มู่ซิ่วกลับพลันวางตะเกียบลง เช็ดปาก มองทางองค์หญิงใหญ่ พลางว่า “ท่านย่า ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
มิรอองค์หญิงใหญ่ตอบคำ นางพลันยกมือขึ้นพูดกับมู่จื่อหลันว่า “จื่อหลัน ข้าทำเอง เจ้ายังมิได้ทานอันใดเลย”
“ฮูหยิน? มิดีกระมังเจ้าคะ” มู่จื่อหลันสีหน้าชะงัก
“มีสิ่งใดมิดีกัน อวิ๋นซีเป็นน้องสาวข้า พี่สาวดูแลน้องสาวเป็นสิ่งสมควรแล้ว” ระหว่างพูด มู่ซิ่วได้ยื่นมือออกไปยกจานเล็กที่มีเนื้อปลามาไว้ข้างหน้าตน
ขนมงาในปากมู่อวิ๋นซีพลันไร้ซึ่งรสชาติ มู่ซิ่วมิเข้าใจความคิดตนหรือกลัวมู่จื่อหลันกัน?
“ไอ้โย่!” จู่ๆนางพลันกุมท้องครวญครางขึ้นมา
“อวิ๋นซี?” มู่ซิ่วรีบลุกขึ้น ประคองไหล่มู่อวิ่นซีไว้ “เจ้าเป็นกระไรรึ?”
“ข้าไม่รู้ ปวดท้องยิ่งนัก” มู่อวิ๋นซีจับมือมู่ซิ่วไว้แน่น
“เร็ว ใครก็ไป ไปเชิญหมอหลวงจ้าวมา!” องค์หญิงใหญ่สั่งการลงไป และหันมองมู่ซิ่ว “ซิ่วซิ่ว เจ้าพยุงอวิ๋นซีเข้าไปพักก่อน”
มู่ซิ่วพยุงมู่อวิ๋นซีเข้าไปเอนลงด้านใน และได้ยินเสียงแม่นมโจวที่อยู่ด้านนอกพูดขึ้นว่า “พวกนี้ ข้าลองหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ลองใหม่อีกครั้ง!” นี่คือเสียงโกรธกริ้วขององค์หญิงใหญ่
“ท่านพี่!” มู่อวิ๋นซีพลันจับมู่ซิ่วไว้ มิให้นางลุกขึ้น และจ้องนางอย่างจริงจังว่า “ท่าน มีความสุขหรือไม่?”