เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 48 รวบรวมข้อหา โมโหจนเป็นลม

มู่อวิ๋นซีเกิดความสงสัย คนนี้ดูคุ้นหน้ามาก แต่ตอนนี้นางยังนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“คุณหนูรองเป็นผู้สูงส่งที่ทำงานเยอะมักจะลืมนั้นลืมนี่! ข้าคือข่งซานฟาง วันนั้นที่คุณหนูรองได้ฉุดกระชากลากจูงกับชายผู้หนึ่ง และได้ชนเข้ากับดอกท้อเสาวภาคย์ที่ข้าได้ชื่อให้ภรรยาของข้า จากนั้นคุณหนูรองเห็นข้าน่าสงสาร จึงได้สั่งแม่นางท่านนั้น……”
ข่งซานฟางยกมือชี้ไปที่ไป่หลิง “ไปแดงดุจท้อเพื่อไปนำดอกท้อเสาวภาคย์ให้ข้าอันใหม่ ข้าคิดว่าตัวเองได้เจอกับคนชั้นสูงและรู้สึกซาบซึ้งคุณหนูรอง รู้สึกขอบคุณสำหรับความกรุณา ใครจะคิดว่าเมื่อกลับไปภรรยาและน้องสาวของข้าใช้ดอกท้อเสาวภาคย์นี้ ผิวหนังก็เกิดเป็นแผล ท้ายที่สุดได้ถูกพิษจนเสียชีวิต”
“ใต้เท้า ท่านดู” ข่งซานฟางได้หยิบเอาตลับไม้ไผ่ที่แกะสลักดอกท้อออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อแล้วส่งให้ใต้เท้าโจว “นี้คือดอกท้อเสาวภาคย์ตลับที่นางได้ชดเชยให้แก่ข้า”
จากนั้นมีคนนำไปตรวจสอบ ครู่เดียวได้กลับเข้ามารายงาน “ใต้เท้า ดอกท้อเสาวภาคย์นี้ได้มีส่วนผสมของโพผันอยู่จำนวนมาก และบนใบหน้าของศพทั้งสองที่นำไปตรวจสอบเมื่อวานนี้ยังมีสารพิษของโพผันหลงเหลืออยู่จำนวนมาก น่าจะใช้ดอกท้อเสาวภาคย์ตลับนี้”
“มู่อวิ๋นซี!” ใต้เท้าโจวมองมู่อวิ๋นซี “ดอกท้อเสาวภาคย์ตลับนี้เป็นเจ้าที่มอบให้ข่งซานฟางเช่นนั้นหรือ?”
“ดอกท้อเสาวภาคย์ข้าเคยให้เขาไปหนึ่งตลับนั้นเป็นความจริง แต่จะใช่ตลับนี้หรือไม่ข้าไม่แน่ใจ” มู่อวิ๋นซีพูดตามความจริง
“ใต้เท้าได้กระจ่าง!” ข่งซานฟางไม่พอใจคำพูดของมู่อวิ๋นซี แล้วหันไปพูดกับใต้เท้าโจว
“ภรรยาของข้าป่วยตลอดทั้งปี ครอบครัวของข้าก็ยากจนมาก ข้าซื้อดอกท้อเสาวภาคย์นั้นได้ใช้เงินออมทั้งหมดจนหมด แล้วยังจะให้มีเงินไปซื้ออีกตลับได้อย่างไร และนี่คือดอกท้อเสาวภาคย์ตลับที่นางมอบให้แก่ข้า คือนางเป็นคนที่ทำให้ภรรยาและน้องสาวของข้าต้องตาย”
“เจ้าใส่ร้าย!” ไป่หลิงโกรธจนหน้าขาวซีด “วันนั้นคุณหนูของข้าเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร ถึงได้มอบดอกท้อเสาวภาคย์ให้หนึ่งตลับ นางไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเจ้า ทำไมถึงต้องไปทำร้ายภรรยากับน้องสาวของเจ้า?”
ก็รอประโยคนี้แหละ
“ข่งซานฟางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกมือชี้ไปที่มู่อวิ๋นซี “นั้นไม่ใช่เพราะข้าจะไปเห็นการลักลอบการคบชู้ของท่าน! ข้าก็ได้รับปากท่านแล้วจะไม่บอกใคร แต่คิดไม่ถึงว่านางจะใจดำอำมหิตถึงขั้นลงมือวางยาข้าเช่นนี้”

เฮอ! เฮอๆ!
มู่อวิ๋นซีเยาะเย้ยในใจ สามใบหน้า สองชีวิตยังไม่เพียงพอ และยังต้องถูกตั้งข้อหาอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับการผิดประเวณีให้นาง
นี้ไม่ใช่แค่ต้องการให้นางตาย แต่ยังต้องการให้ไม่ตายดีด้วยซ้ำ
อยู่ทางนี้ความคิดของนางเริ่มปั่นป่วน องค์หญิงใหญ่ทางนั้นก็โกรธมาก และได้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมองไปที่ข่งซานฟางอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ไหมว่าคนที่เจ้าชี้นั้นเป็นใคร นั้นคือหลานสาวแท้ๆของข้า การดูหมิ่นราชวงศ์คือต้องโทษเก้าชั่วโคตร”
ข่งซานฟางสะดุ้ง ส่วนมือที่ชี้มู่อวิ๋นซีก็ได้ลดลงโดยไม่รู้ตัว
“องค์หญิง!” หลิ่วเย่ขึ้นมาด้านหน้าจับองค์หญิงใหญ่ไว้ “พระองค์ใจเย็นๆ ไม่เช่นนั้นใต้เท้าโจวจะคิดว่าท่านใช้อำนาจรังแกคน”
องค์หญิงให้ผลักหลิ่วเย่ออกไป สายตาพิฆาตมองที่นาง “เจ้าพูดอะไร?”
“องค์หญิง ข้าก็ทำเพื่อชื่อเสียงของท่าน และเพื่อชื่อเสียงของตระกูลมู่เช่นกัน องค์ชายฝ่าฝืนกฎหมายและก่ออาชญากรรมก็ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับสามัญชน ไม่ใช่เพียงแค่ว่าคุณหนูรองเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านแล้วจะปกป้องนางได้? ปัจจุบันองค์จักรพรรดินั้นทรงปรีชาญาณมากหากว่าพระองค์ทราบว่าท่านคอยปกป้องหลานสาวตัวเอง ก็คงไม่ใช่แค่สั่งกักบริเวณเท่านั้นใช่หรือไม่?”
“เจ้ากล้ามากหลิ่วเย่ กล้าดีอย่างไรที่พูดกับข้าแช่นนี้?”
องค์หญิงใหญ่ตัวสั่นด้วยความโกรธ เส้นเลือดสีเขียวที่ขมับเต้นไม่หยุด สายตาที่มองไปยังหลิ่วเย่เหมือนดาบอาบพิษ “คนกำลังทำ ฟ้ากำลังดู ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ในใจของเจ้ากลัวนั้นชัดเจนกว่าใคร”
“ใช่เพคะ ในใจข้าชัดเจนที่สุด ท่านจะกำเริบคงไม่ได้แล้ว”
หลิ่วเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ องค์หญิงใหญ่ไม่ทันที่จะจ้องมองนาง นางได้เดินถอยหลังออกไปสองก้าว มองไปยังใต้เท้าโจว และทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นว่า “ใต้เท้า นี้เป็นเรื่องอื้อฉาวในตระกูลมู่ของข้า แต่ถึงตอนนี้ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ข้าจะไม่พูดไม่ได้แล้ว”

“คุณหนูรองได้วางยาพิษลงในดอกท้อเสาวภาคย์หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่คุณหนูรองได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามนิสัยที่ติดมาแต่กำเนิด หากว่านางมีการล่วงประเวณีกับสามีคนอื่น ข้าก็ไม่แปลกใจเลย และก่อนหน้านั้น นางได้คบคิดกันกับคนโง่คนหนึ่งในจวนของพวกเราไม่สำเร็จ จึงได้ผลักเขาลงสระน้ำ”
“หลิ่วเย่!” องค์หญิงใหญ่หายใจหอบลึกๆ แทบอยากจะพุ่งไปกลืนกินหลิ่วเย่เป็นๆ
“ท่านย่า!” มู่อวิ๋นซีรีบเดินก้าวยาวไปถึงข้างๆ องค์หญิงใหญ่ ได้ตบไปที่หลังเบาๆ เพื่อให้หายใจสะดวก และพูดเบาๆ ว่า “ท่านอย่าโกรธไปเลย ไม่เช่นนั้น จะทำให้ใครบางคนนั้นพอใจเป็นอย่างมากไม่ใช่หรือ?”
นางดูออก ว่าหลิ่วเย่นั้นทุ่มสุดตัวเพื่อวันนี้ และจะต้องทำให้นางลงเหวลึกให้ได้
นางต้องการจะดู ว่าหล่อนจะสามารถรวบรวมข้อหาให้นางได้เท่าไหร่
“องค์หญิง นี่ท่านโกรธแล้วหรือ? นั้นท่านรู้ไหมว่า คืนแรกที่นางมาจวนตระกูลมู่นางได้ยั่วยวนพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะถูกจื่อโหรวเห็นเข้า บางทีเรื่องอื้อฉาวที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นแล้ว”
“เจ้า……เจ้า……” ดวงตาขององค์หญิงเบิกกว้าง ยื่นมือที่ชี้หลิ่วเย่ก็สั่นเทาราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ในลมหนาว
แต่นางอยู่ตั้งนาน องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผิวหนังที่ปากสั่นเทา สั่นๆ อยู่นั้นปากก็เอียงไปข้างหนึ่ง ทั้งใบหน้าก็กระตุกขึ้นและมือทั้งสองข้างก็แข็งทื่อเหมือนกับตีนไก่
“ท่านย่า! ท่านย่า?” สีหน้าของมู่อวิ๋นซีเปลี่ยนไปมาก “นี่ท่านเป็นอะไรไป? อย่าทำให้ข้าต้องตกใจ”

องค์หญิงใหญ่ค่อยๆ ชำเลืองสายตามาที่มู่อวิ๋นซี คำพูดนับพันพลุ่งพล่านในดวงตาของนาง แต่ลูกตาได้เริ่มเอียงไปอีกข้างหนึ่งโดยไม่เชื่อสายตา จะมองอย่างไรก็เหมือนว่าไม่ได้สนใจมู่อวิ๋นซีเลย
“ท่านย่า?” มู่อวิ๋นซีเรียกอีกครั้ง แล้วมองไปที่มู่จื่อชวนที่อยู่ข้างๆ “ท่านพี่ ไปเชิญหมอหลวง รีบไปเชิญหมอหลวง”
มู่จื่อชวนได้รีบออกไปทันควัน
มู่เซิ่งและหลิ่วเย่มองหน้ากันและได้พุ่งเข้ามาซ้ายหนึ่งคนขวาหนึ่งคน “พี่สะใภ้ ท่านเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”
“องค์หญิง? ท่านเป็นอะไรเป็นเพราะข้าไม่ดี ข้าไม่ควรพวกเรื่องพวกนี้เลย แต่เรื่องเมื่อวานของคุณหนูใหญ่พวกเราปกปิดท่าน ท่านได้โกรธแล้ว ส่วนเรื่องคุณหนูรองพวกเราก็ไม่กล้าที่จะปกปิดท่านได้” หลิ่วเย่พูดแค่คำสองคำให้ตัวเองสะอาด
“หุบปาก” มู่เซิ่งอารมณ์ไม่ดีได้ตะคอกหลิ่วเย่ไปหนึ่งที และผลักมู่อวิ๋นซีไปหนึ่งที “มู่อวิ๋นซี เจ้าอยู่ให้ไกลจากองค์หญิงหน่อย เดี๋ยวนางเห็นเจ้าเข้าจะทำให้อารมณ์เสียขึ้นอีก
“ท่านรองมู่!” มู่อวิ๋นซีโมโหแล้ว “เมื่อกี้เป็นใครกันที่ทำให้ท่านย่าโกรธจนกลายเป็นแบบนี้? นางจะเห็นข้าแล้วไม่สบายใจ หรือว่ามองเห็นพวกท่าน…..”
“เพี๊ยะ!”
นางพูดยังไม่จบ ลมแรงได้ปะทะกับใบหน้าของนาง และหลังจากก็มีอาการปวดแสบขึ้นอย่างมาก
“มู่อวิ๋นซี! หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องเลวทรามพวกนี้ออกมา องค์หญิงจะโกรธเคืองได้อย่างไร? ข้าจะบอกอะไรเจ้า หากว่าองค์หญิงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หากแต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!” มู่เซิ่งมองมู่อวิ๋นซีอย่างโกรธแค้น
จะไม่ปล่อยไว้?
“คำพูดนี้ ข้าก็อยากจะพูดกับพวกท่าน หากว่าท่านย่าไปเป็นไรก็ดี หากแต่ท่านย่าเกิดมี……”
“ท่านย่า?” หลิ่วเย่ขัดจังหวะมู่อวิ๋นซีด้วยเสียงที่แหลมสูง “เจ้าทำให้องค์หญิงโกรธจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ยังกล้าเรียกนางว่าท่านย่า ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกขายหน้าแทนเจ้าจริงๆ”
“พี่สะใภ้ หลานสาวแบบนี้ พวกเราไม่เอาก็ยังได้ ท่านว่าอย่างไร?” มู่เซิ่งมองไปที่องค์หญิงใหญ่

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset