“นางคือน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของข้า ฮั่วเสี่ยวเสี่ยว” ใต้เท้าโจวฮึด้วยเสียงที่เย็นชา “หรือว่าข้าแยกไม่ออกว่านางเป็นชายหรือหญิง?”
ข่งซานฟางสีหน้าดูไม่ดี ดึงสายตากลับแล้วเหลือบไปมองฮั่วเสี่ยวเสี่ยวกับมู่อวิ๋นซี สายตาได้ไปหยุดลงที่แก้มที่บวมแดง และกลายเป็นร้ายขึ้นมา วันนี้ไม่ใช่นางตาย คงต้องเป็นเขาตาย
“ใต้เท้า แม้พวกนางสองคนจะไม่ได้เป็นชู้กัน แต่ดอกท้อเสาวภาคย์ตลับนั้นเป็นความจริงคือมู่อวิ๋นซีมอบให้ข้า อีกทั้งภรรยาของข้าและน้องสาวก็เป็นเพราะดอกท้อเสาวภาคย์ตลับนั้นที่ทำให้ต้องตาย ไม่ว่าอย่างไร มู่อวิ๋นซีก็เป็นคนฆ่าเป็นฆาตกร ฆ่าคนต้องชดใช้ ยิ่งไปกว่านั้นคือสองชีวิต ขอให้ใต้เท้าช่วยตัดสินใจให้ข้าด้วยขอรับ!”
ใต้เท้าโจวยังไม่ทันได้เอ่ยปาก มู่จื่อชวนหายใจหอบเดินเข้ามาข้างใน “อวิ๋นซี!”
มู่อวิ๋นซีมองย้อนกลับไป มู่จื่อชวนสีหน้าเปลี่ยนทันที “หน้าเจ้า……ใครกัน?”
มู่อวิ๋นซียังไม่ได้ตอบคำถามของเขา สายตาได้มองลงไปกระดาษที่ถืออยู่ในมือ
“อ้อ คือท่านชายเย่ เขาให้ข้าส่งให้ท่าน ทั้งยังให้ข้าบอกท่านว่า ทำภารกิจลุล่วงได้ด้วยดี
ทำภารกิจลุล่วงได้ด้วยดี
ราวกับว่ามีเข็มที่เรียวยาวมาทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของมู่อวิ๋นซี ความเจ็บปวด ตามมาด้วยความปวดร้าวและความอบอุ่นอย่างท่วมท้น ทำให้ความแข็งแกร่งที่นางพยายามยืนหยัดไว้ระส่ำระสายไม่เป็นท่า
นางได้ปลอบใจองค์หญิงใหญ่ว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว นางบอกกับไป่หลิงว่าใต้เท้าโจวจะต้องให้ความยุติธรรมแก่นาง
แต่ในความจริง ในใจนางไม่ได้มีอะไรเลย
มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง?
ชาติก่อน นางรู้ว่าคำพูดนี้เชื่อไม่ได้ ดังนั้นนางถึงต้องหาหลักฐานออกมาให้ได้ หาหลักฐานที่ว่านางถูกใส่ร้าย
บางทีก็กลัวว่านางจะมีเวลามีโอกาสได้ตามหาหลักฐาน มู่เซิ่งและหลิ่วเย่คงปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่ให้เล็ดลอดออกไป จนกว่านางจะได้เข้าคุก
นางรู้ว่าให้เวลาเขาหนึ่งคืนเพื่อไปสืบค้นพวกนี้ มันคงยากมาก
แต่เมื่อถึงตอนนั้น ที่นางสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงเขาเท่านั้น
สายตานางมองกลับไปเบาๆ นอกห้องโถงไม่มีแม้แต่เงาเขา แต่นางรู้ว่าเขาจะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ขอบคุณ
นางขอบคุณโดยไม่มีเสียง จากนั้นได้รับกระดาษที่อยู่ในมือของมู่จื่อชวน กวาดสายตาอ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาใสๆ ค่อยๆ สว่างขึ้น
เช่นนี้นี่เอง
“อวิ๋นซี?” มู่จื่อชวนรู้สึกกังวล มีความเป็นห่วงและความโกรธเล็กน้อย
“สบายใจได้ ข้าจะไม่เป็นไร ท่านไปดูแลท่านย่าเถิด หมอหลวงตรวจแล้วมาบอกข้าด้วย”
นางหันมองข่งซานฟางตาเป็นประกาย “ภรรยาเจ้าและน้องสาวตายเพราะโดนพิษจริงๆ งั้นหรือ? แผลบนใบหน้าของพวกนางเป็นเพราะใช้ดอกท้อเสาวภาคย์จริงๆ หรือ?”
“อู่จั้วมือชันสูตรก็ได้ตรวจสอบแล้ว ยังจะสามารถผิดได้?” ข่งซานฟางในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย(อู่จั้วคือนักชันสูตรศพในสมัยโบราณ)
มู่อวิ๋นซีก็ไม่ได้ซักไซ้ พริบตาเดียวก็เปลี่ยนคำถาม “ก่อนหน้านั้นที่ข้าชนดอกท้อเสาวภาคย์ตลับนั้นแตกเจ้าซื้อมาจากแดงดุจท้อ?”
“ใช่! แดงดุจท้อของพวกเจ้าไม่ใช่มีบันทึกหรือ? ไม่เชื่อก็ไปตรวจดู!” เล่นตบตาก็สร้างมาเป็นชุด ดอกท้อเสาวภาคย์ของเขาตลับนั้นแน่นอนว่าซื้อมาจากแดงดุจท้อ
“ราคาเท่าไหร่?” มู่อวิ๋นซีถามต่อ
“หนึ่งร้อยตำลึง!” ข่งซานฟางเบ้ปาก “ใจดำจริงๆ”
“หนึ่งรอยตำลึง!” มู่อวิ๋นซียิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าบ้านเจ้ายากจนมาก?”
ข่งซานฟางสีหน้าเคร่งเครียด “ใช่ นั้นเป็นเงินเก็บสะสมไว้ทั้งหมดในชีวิต”
“ว่ากันว่า ภรรยาของเจ้าได้นอนป่วยติดเตียงโดยตลอด และยาต้มมีอย่างต่อเนื่อง?”
“นั้น……เช่นนั้นแล้วอย่างไร เดิมทีข้าก็ทำใจไม่ได้ที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้นซื้อแป้งหนึ่งตลับ เพียงเพราะนั้นเป็นความต้องการครั้งสุดท้ายของภรรยาข้า ข้าถึง……”
“เจ้าบอกว่าเป็นความต้องการครั้งสุดท้ายของภรรยาเจ้า ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าตอนนั้นภรรยาของเจ้าก็ใกล้ตายแล้ว?” มู่อวิ๋นซีพูดขัดคำพูดของข่งซานฟาง
ข่งซานฟางลูกตาลุกลน มู่อวิ๋นซีพูดขึ้นอีกครั้ง
“อย่างไรภรรยาของเจ้าก็ใกล้ตายแล้ว และทำไมเจ้าถึงหยุดยาต้มของนางเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมา? หรือว่าเจ้าต้องการดูนางป่วยตายเพื่อที่จะไปแต่งงานกับคนอื่น? หากไม่ใช่เช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงทำใจเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาซื้อแป้งน้ำ?”
“หรือไม่ก็จริงๆ แล้วเจ้าไม่มีเงินไปซื้อยาต้ม แม้แต่เงินซื้อยาต้มเจ้าก็ไม่มีแล้ว และจะไปเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาจากไหนซื้อดอกท้อเสาวภาคย์?”
“นี้……” ข่งซานฟางตื่นตระหนก อดที่จะมองหลิ่วเย่ไม่ได้แต่ถูกนางจ้อง จึงได้แต่กลืนน้ำลาย ละหันสายตากลับมาเชิดคอพูดว่า “หยุดยาต้ม นั้นเป็นเพราะความต้องการของนาง ข้า ข้าได้แต่ทำตามเท่านั้น”
“ดังนั้น ยาต้มครึ่งเดือนของภรรยาเจ้าต้องการเงินหนึ่งร้อยตำลึง? ใช่หรือไม่?” สายตาของมู่อวิ๋นซีราวกับตาข่าย ที่ดักจับข่งซานฟางไว้แน่น
ข่งซานฟางตื่นตระหนกมากขึ้น “ใช่!”
“ดีมาก อย่างนั้นดูจากสิ่งนี้ ภรรยาของเจ้าป่วยใกล้จะตายแล้ว ครึ่งเดือนก็ต้องการหนึ่งร้อยตำลึง นั้นคือหนึ่งเดือนก็ต้องเป็นสองร้อยตำลึง หนึ่งปีก็ต้องเป็นสองพันสี่ร้อยตำลึง สองปีก็ต้องเป็นสี่พันแปดร้อยตำลึง เกือบจะห้าพันตำลึง ขอถามหน่อย เจ้าทำอะไรเลี้ยงชีพ ถึงสามารถเก็บเงินได้เยอะขนาดนี้? ภรรยาเจ้าป่วยเป็นโรคอะไร?ถึงได้ต้องใช้ยาที่แพงขนาดนี้?”
“และเป็นหมอท่านไหนที่รักษา เขียนยาให้ และเจ้าได้รับยาจากร้านยาที่ไหน? ยาห้าพันตำลึง นี่มันไม่ใช่จำนวนน้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านยาหรือคนที่ร่วมมือ สำหรับเจ้าต้องจำได้แม่นแน่นอน? พูด!”
พูดๆ เขาพูดอะไร
ข่งซานฟางปากลิ้นแห้ง สุดท้ายยืดคอขึ้น “ทำไมข้าต้องบอกเจ้า?”
“ปัง!” ใต้เท้าโจวตีไม้ปลุกสติหนึ่งที พูดเสียงดังขึ้นมา “พูด! หากว่าเจ้ามีข้อใดข้อหนึ่งตอบไม่ได้ ข้านี้แหละจะลงโทษเจ้าข้อหาใส่ร้ายเบื้องสูง ไม่แค่หัวเจ้าจะหลุดจากบ่า แต่ยังเป็นเก้าชั่วโคตร!”
“นี่……ข้า……ใต้เท้า ข้าก็แค่คนธรรมดา จะมีเงินที่ไหนมากขนาดนั้น โรคที่ภรรยาของข้าเป็นแท้จริงก็ไม่ได้ใช้เงินเท่าไหร่” ข่งซานฟางร้องไห้เสียใจ
“อ้อ!” มู่อวิ๋นซีอ้อยาวอย่างมีความหมาย “นั้นที่เจ้าบอกเมื่อกี้ที่ว่ายาต้มครึ่งเดือนภรรยาของเจ้าต้องใช้หนึ่งร้อยตำลึงเงินก็แสดงว่าเจ้าพูดเท็จ? อยู่ในศาล เจ้ายังกล้าพูดเท็จ ภายหลังคงเลวสุดจะทนได้”
สมควรตาย!
ข่งซานฟางจ้องมู่อวิ๋นซีตาเขม่น
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก มู่อวิ๋นซีก็พูดต่อว่า “ดังนั้น เจ้ามีหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ยอมที่จะไปซื้อดอกท้อเสาวภาคย์หนึ่งตลับที่คร่าชีวิตนางไป แต่ไม่ยอมที่จะไปซื้อยามารักษาอาการป่วยของนาง? ดังนั้น ทั้งที่ภรรยาเจ้าสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่นี่จะตายก็ต้องขอตายแบบสวยงาม?”
นี้จะเป็นไปได้อย่างไร? หากสามารถมีชีวิตอยู่ได้ มีใครที่จะยอมไปตาย?
นอกเสียจากว่านางเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ข่งซานฟางนี้คิดว่าเป็นการขู่เข็ญ
ฮูหยินฉินขยับไปอีกด้านหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย เพื่อรักษาระยะห่างจากข่งซานฟาง
ข่งซานฟางหาเหตุผลที่จะอธิบายไม่ได้จริงๆ “ใจผู้หญิง ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“ใจของผู้หญิง เจ้าผีพนัน ขโมย แน่นอนว่าไม่รู้” มู่อวิ๋นซีหันไปมองใต้เท้าโจว “ใต้เท้า อวิ๋นซีเพิ่งนึกออกว่า ข่งซานฟางนั้นมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ของข้า”
“แป้งของแดงดุจท้อของข้านั้นต้องใช้กลีบดอกไม้มากมาย ที่นอกเมืองได้มีการสร้างแปลงดอกไม้ขึ้น ก่อนหน้านั้น ข่งซานฟางเคยทำงานเป็นชาวไร่ดอกไม้ที่แปลงดอกไม้นั้น ต่อมาเขาเกียจคร้านติดการพนัน ได้ถูกพ่อบ้านของแปลงดอกไม้ไล่ออก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะโกรธแค้นฝังใจและได้แอบเข้าไปแปลงดอกไม้แล้วขโมยแป้งของข้า”
นางเหลือบไปมองฮั่วเสี่ยวเสี่ยว “เจ้าดูเขาให้ดีๆ จะรู้ว่าคุ้นหน้า?”