ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวจ้องมองข่งซานฟางอย่างสงสัย ไม่นานได้ตบมือแล้วพูดว่า “อ้อ ข้านึกออกแล้ว เขาคือคนที่ขายดอกท้อเสาวภาคย์คนนั้นใช่หรือไม่? ตอนนั้น เขายังบอกว่าดอกท้อเสาวภาคย์ของเขานำมาจากเมืองดอกท้อ มีการเกิดไฟไหม้ถึงได้ขายราคาถูก หนึ่งตลับสิบตำลึงเงิน”
“ท่านพี่!” นางหันไปเรียกใต้เท้าโจว เห็นใต้เท้าโจวตาโต หัวเราะฮ่าๆ แล้วเปลี่ยนคำเรียก “ใต้เท้าโจว ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ? ก็ตลับที่ดำๆ นั่น ตอนนั้นข้าไม่ใช่ให้ท่านดูแล้วหรือ?”
ใต้เท้าโจวพยักหน้าเล็กน้อย บ่งบอกถึงว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง
ใบหน้าของข่งซานฟางมีหลากสีสัน สุดท้ายหน้าซีดขาวมองที่มู่อวิ๋นซี “ข้า……ข้ายอมรับว่าเคยเป็นชาวไร่ดอกไม้ที่ห้องดอกไม้ของตระกูลมู่ของพวกท่าน แต่ไม่เคย……ไม่เคยขโมยของอะไร”
“จริงรึ?” มู่อวิ๋นซีได้หยิบเอาตลับไม้ไผ่ดำๆ ออกมาจากแขนเสื้อ “เชิญใต้เท้าตรวจสอบ ดูว่าส่วนประกอบแป้งชาดนี้กับดอกท้อเสาวภาคย์ของแดงดุจท้อ เหมือนกันหรือไม่”
“เจ้า……” ข่งซานฟางมือเท้าอ่อน “เจ้าจงใจโยนความผิดให้คนอื่น”
“โยนความผิด?” มู่อวิ๋นซียกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ก่อนหน้าเมื่อคืน ข้าไม่รู้ว่าดอกท้อเสาวภาคย์ของแดงดุจท้อได้คร่าชีวิตไปแล้วสองชีวิต แต่หลังจากที่ข้ารู้ ใต้เท้าโจวได้เชิญให้ข้าเข้าคุกของจิงจ้าวอิ่น ช่วงเช้าวันนี้ได้คุมข้ามาที่นี่ด้วยท่านตัวเอง ข้า จะโยนความผิดได้เยี่ยงไร?”
“อีกทั้งบนเส้นทางจากแปลงดอกไม้ไปยังวัดเชียนฝู……”
ข่งซานฟางสีหน้าเทาขาว
“มีบ้านไม้อยู่หนึ่งห้อง จนตอนนี้ในบ้านไม้ยังหลงเหลือแป้งชาดที่เป็นสัญลักษณ์ของแดงดุจท้ออยู่เล็กน้อย……”
ข่งซานฟางตัวสั่นเทา
“นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของแป้งชาดบางส่วนที่ได้ถูกทำลาย เพียงแค่ใต้เท้าโจวส่งคนไปค้นหาก็อาจจะหาเจอ”
ข่งซานฟางถึงกับเหงื่อตก “ข้า……ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร”
“คนตัดไม้บนภูเขา พระภิกษุของวัดเชียนฝูต่างเคยเจอกับเจ้าของบ้านไม้ พระภิกษุของวัดเชียนฝูก็ได้เห็นว่าเขาเผาสิ่งเหล่านั้นด้วยตาตัวเอง……”
หลิ่วเย่มองข่งซานฟางกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียด ปรากฏว่าแป้งน้ำที่หายไปพวกนั้นคือได้ถูกเขาขโมยไป
ข่งซานฟางหวาดกลัวครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าทั้งตัวกำลังจะลอยขึ้น
ตายแล้ว ตายแล้วตายแล้ว! จะทำอย่างไรดี?
เขาได้กัดฟัน พรวดพราดหันกลับไปที่มู่อวิ๋นซีแล้วโขกศีรษะ เสียงดังขึ้นสามครั้ง จากนั้นหันไปมองใต้เท้าโจว ยังไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร ก็ยกมือขึ้นไปตบที่ใบหน้าตัวเอง
“ข้าผิดไปแล้ว! ภรรยาและน้องสาวของข้าป่วยตายอย่างกะทันหัน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูรอง เป็นที่ข้าที่โลภหลงเงินจนไม่สนอะไร พอดีกับรู้เรื่องของฮูหยินฉิน ถึงได้คิดหาวิธีใส่ร้ายคุณหนูรองขอรับ”
“ในดอกท้อเสาวภาคย์ตลับที่ชดใช้ให้กับคุณหนูรองนั้นข้าได้เติมโพผันใส่เข้าไป และได้ถูโพผันไป บนศพของภรรยากับน้องสาวของข้า เพื่อต้องการรีดไถคุณหนูรองและตระกูลมู่ ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วขอรับ!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษการใส่ร้ายป้ายสีรีดไถนั้นคืออะไร?” ใต้เท้าโจวตีไปที่ไม้ปลุกสติ
“ไม่ว่าจะเป็นโทษอะไร ข้ารับผิดทั้งหมดขอรับ” ข่งซานฟางยอมรับโทษอย่างตรงไปตรงมา แล้วหันไปหามู่อวิ๋นซีโขกศีรษะไปหนึ่งที “ข้าจงใจใส่ร้ายป้ายสีท่าน ขอประทานโทษด้วยขอรับ”
“เฮอะ!”
มู่อวิ๋นซียิ้มเยาะ “ขอโทษแค่คำเดียวก็จบแล้ว?”
ข่งซานฟางสะดุ้ง รีบน้อมคำนับอีกครั้ง “จากนี้ต่อไป ชีวิตที่ไร้ค่าของข้าจะขายให้คุณหนูรองแล้ว ถือเสียว่าชดเชยการสูญเสียให้ท่านไม่มากก็น้อย ท่านคิดว่าอย่างไรขอรับ?”
มู่อวิ๋นซีหัวเราะเยาะ “ข่งซานฟาง เจ้านี้คำนวณได้ดีมากจริงๆ!”
หากนางยอม ข่งซานฟางนั่นก็ถือเป็นคนของคนตระกูลมู่ไปโดยปริยาย เขาได้ขโมยแป้งน้ำ เรื่องที่รีดไถนาง ทุกอย่างสามารถทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ และเรื่องเล็กก็จะหายไป
“ข้าต้องการรับผิดอย่างจริงใจ” สีหน้าของข่งซานฟางดูอย่างจริงจัง “หวังว่าคุณหนูรองจะให้โอกาสสักครั้ง”
“ข้าก็อยากให้โอกาสเจ้า น่าเสียดายที่ภรรยาและน้องสาวที่ตายไปของเจ้าไม่เห็นด้วย” นางยื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้กับใต้เท้าโจว “นี้คือคำให้การของหมอที่ไปตรวจภรรยาของข่งซานฟาง เขาบอกว่าภรรยาของข่งซานฟางเป็นโรคแพ้หลางชวง และสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาตรงเวลา”
“น่าเสียดาย เงินอันน้อยนิดของตระกูลข่งนั้น รวมถึงเงินได้จากการขายแป้งน้ำแดงดุจท้อที่ถูกเขาขโมยถูกส่งไปยังบ่อนพนันแล้ว น้องสาวของเขาก็อยู่ดูแลพี่สะใภ้จนติดโรคแพ้หลางชวงไปด้วย ทั้งสองคนไม่มีเงินไปซื้อยา ได้เพียงแค่รอดูผิวหนังของตัวเองค่อยๆ เปื่อยเน่าไป
บนใบหน้าของข่งซานฟางปรากฏถึงความหวาดกลัวออกมา เหมือนกับว่าได้เห็นท่าทางที่น่าเศร้าสลดของพวกนางสองคนอีกครั้ง
“บางทีอาจกลัวว่าจะเห็นใบหน้าอันน่ากลัวของพวกนาง ข่งซานฟางถึงไม่ยอมกลับบ้านอีกเลย แต่ไปอาศัยอยู่ในบ้านไม้บนภูเขา วันนี้ ได้มีคนตามหาเขาจนเจอ”
ข่งซานฟางเงยหน้ามองมู่อวิ๋นซี เหมือนได้เห็นผี พวกนี้นางรู้ได้อย่างไร?
“ที่เหลือ ให้เจ้าพูด? หรือจะให้ข้าพูด……หรือจะให้คนอื่นพูด?” มู่อวิ๋นซีใช้หางตามองไปที่หลิ่วเย่ ทำให้นางตกใจ รีบมองไปที่ข่งซานฟาง
ข่งซานฟางกะพริบตา ควรจะอธิบายตามจริงหรือไม่? ไม่อธิบาย มู่อวิ๋นซีพูดออกมาก็กลัวว่าจะหนีความตายไม่พ้น แต่หากพูดออกมาเขาก็กลัวว่าจะต้องตายเช่นกัน
ใต้เท้าโจวก็ไม่ได้เร่งรัด รอให้ข่งซานฟางเลือกเองอย่างเงียบๆ เพียงแค่เห็นว่าสายตาของมู่อวิ๋นซีดูซับซ้อนเล็กน้อย
หลังจากที่เขาได้รับรายงาน เรื่องพวกนี้ก็ได้ไปตรวจสอบแล้ว แต่ที่เขาสืบหาออกมากับที่มู่อวิ๋นซีสืบหามาได้นั้นช่างแตกต่างกันมากจริงๆ อีกทั้งดูท่าทางของข่งซานฟางแล้ว ที่มู่อวิ๋นซีพูดออกมานั้นเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดพลาดเลย
และในตอนนี้ มู่อวิ๋นซีได้ถอนหายใจเบาๆ “ข่งซานฟาง ในเมื่อเจ้ายินยอมที่จะรับโทษแทนคนอื่น ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
“แต่น่าเสียดาย หากว่าคนคนนั้นตามหาตัวเจ้าไม่เจอ ตอนนี้คิดว่าเจ้าคงมีความสุขอยู่ที่บ่อนการพนันแล้ว ถึงแม้วันนี้จะโชคไม่ดี แต่พรุ่งนี้ไม่แน่อาจจะพลิกผันก็เป็นได้? ตอนนี้มีเงิน แต่ไม่มีชีวิตที่จะได้กลับไปเล่นพนันแล้ว”
คำพูดนี้เหมือนกับต้นหญ้าที่อยู่บนตัวอูฐต้นสุดท้ายที่พร้อมจะกดทับข่งซานฟางลงไป
ใช่แล้ว หากไม่ใช่หลิ่วเย่ เขายังสามารถเล่นพนันได้อย่างมีความสุข ถึงแม้เงินในมือจะไม่เยอะ แต่ก็พึ่งพาการขโมยแป้งน้ำพวกนั้นก็ทำให้มีความสุขไปได้ในแต่ละวัน แต่ตอนนี้ เขากลับกลายเป็นฆาตกรไปแล้ว
ทั้งหมดนี้คือนางกลัวเขา
“ใช่นาง!” เขายกมือชี้ไปที่หลิ่วเย่ ดวงตาแดงๆ พูดว่า “เป็นนางขอรับ นางบอกว่าไม่ว่าเยี่ยงไรอาการป่วยของภรรยาและน้องสาวของข้าก็ไม่อาจจะหายได้ เป็นเช่นนี้แล้ว แทนที่จะเปลืองเงินไปกับพวกนาง คงดีกว่าถ้าเปลี่ยนชีวิตที่ไร้ประโยชน์ของพวกนางมาแลกเป็นเงิน นางได้ให้ข้ามาหนึ่งพันตำลึงเงินกับตลับดอกท้อเสาวภาคย์ที่ได้ผสมกับโพผันหนึ่งตลับ และยังมีเกสรดอกของโพผันอีกจำนวนมาก”
ในแววตาของหลิ่วเย่ดูวุ่นวาย ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เจ้าพูดเหลวไหล! ข้าไม่เคยรู้จักเจ้า”
“เป็นท่านที่ให้ข้านำเกสรดอกไปทาบนใบหน้าของภรรยากับน้องสาวของข้า แล้วนำเกสรดอกส่วนที่เหลือไปป้อนให้พวกนางกินจนหมด เป็นท่านที่ทำร้ายพวกนาง” ขอบตาข่งซานฟางได้แดงไปทั่วใบหน้าที่อัปลักษณ์ “แล้วเป็นท่านที่ทำให้ข้าไม่อาจจะไปเล่นที่บ่อนพนันได้อีก”
“ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน” ปากของหลิ่วเย่ค่อยๆ แหบแห้ง “เขาจงใจที่จะดึงข้าให้ผิดไปด้วย เขาบ้าไปแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นท่านดูนี้คืออะไร?”
ข่งซานฟางได้หยิบผ้าสีชมพูหนึ่งผืนออกมาจากแขนเสื้อ และมุมผ้ายังมีการปักชื่อหลิ่วเย่เป็นสีชมพูอยู่ด้วย