เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 52 เจ้าโง่ ข้ายอมชดใช้ใบหน้านี้ของข้าให้แก่ท่าน

ความหวาดกลัว ทันใดนั้นปรากฏในก้นบึ้งหัวใจของหลิ่วเย่ ผ้าเช็ดหน้าที่นางทำหายไปทำไมถึงได้มาอยู่ในมือของข่งซานฟาง?
“ฮูหยินเล็กหลิ่ว ท่านคงจะคุ้นนะขอรับ?” ข่งซานฟางสะบัดผ้าที่อยู่ในมือ “คิดไม่ถึงสินะขอรับ? คืนนั้นที่ท่านไปหาข้า ท่านได้ทำผ้าตกไว้ที่นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“เจ้าพูดเหลวไหล!” สีหน้าหลิ่วเย่ได้เปลี่ยนไป กับน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ผ้าผืนนั้นของข้าได้หายไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว และได้สั่งคนตามหาแต่หาไม่เจอ คาดไม่ถึงว่าจะถูกขโมยอย่างเจ้าขโมยไป”
“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนั้นฮูหยินได้ตามหาอยู่ที่แปลงดอกไม้ทุกที่แล้ว” มีสาวใช้ได้เป็นพยานให้หลิ่วเย่ทันที
“ไม่พูดถึงผ้าผืนนี้” ข่งซานฟางนำผ้ากลับไปไว้ที่อ้อมแขน โดยที่มุมหนึ่งยังโผล่ออกมาข้างนอก และได้จัดเสื้อคลุมที่อยู่บนตัวของตัวเอง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบหนึ่งพันตำลึงเงินให้ข้า ข้าจะสามารถซื้อเสื้อคลุมไหมตัวนี้ได้เยี่ยงไร? ข้ากับคุณหนูรองไม่มีความแค้นต่อกัน แล้วจะให้ข้าจงใจใส่ร้ายนางได้อย่างไร?”
“ใจเจ้าคิดอะไร ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร?” หลิ่วเย่เบ้ปากแล้วพูดอย่างดูถูก “ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคำพูดที่ออกมาจากปากคนอย่างเจ้า มันเชื่อถือไม่ได้”
นางเหลือบมองมู่อวิ๋นซี “คุณหนูรอง ต้องการยัดเยียดโทษให้ข้า ก็ต้องขอร้องคนที่สามารถพึ่งพาได้สิ”
“ใช่การยัดเยียดหรือไม่ ท่านเองคงรู้อยู่แก่ใจ” มู่อวิ๋นซีเหล่มองข่งซานฟาง “อีกอย่าง พยานของข้าก็ไม่ใช่เขา”
“เจ้ายังมีพยาน?” ในใจหลิ่วเย่เครียด พูดด้วยความสงสัย “คือใคร? หากมีจริงให้เขาออกมาได้เลย!”
“ท่านรองมู่ไปดูแลท่านย่าแล้ว ไม่นานคงมาแล้ว”
หลิ่วเย่อึ้งอยู่สักพัก ถึงเข้าใจว่ามู่อวิ๋นซีพูดนั้นเป็นใคร จึงได้หัวเราะดังลั่น “เจ้าจะบอกว่านายท่านของข้าจะเป็นพยานให้แก่เจ้า?”
มันเป็นเรื่องตลกมาก!

คนที่รอคอยให้เธอตายก็คือมู่เซิ่ง หากไม่มีการยินยอมและการสนับสนุนอย่างลับๆ จากมู่เซิ่ง นางจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?
กล้าที่จะให้มู่เซิ่งเป็นพยานให้นาง คิดว่าศีรษะของมู่อวิ๋นซีนี้คงจะถูกมู่เซิ่งตบเข้าไปให้แล้วกระมัง?
“ได้” นางมองมู่อวิ๋นซีเหมือนกับมองคนโง่คนหนึ่ง “นายท่านของข้าไม่เคยพูดโกหก หากเขาบอกว่าข่งซานฟางได้รับคำสั่งจากข้า ข้าจะไม่ปฏิเสธเลยแล้วแต่คำเดียว”
“ได้ยินฮูหยินเล็กพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็สบายใจ” มู่อวิ๋นซีคิดถึงการเยาะเย้ยบนใบหน้าของหลิ่วเย่
นางเองก็ไม่เชื่อว่ามู่เซิ่งจะเป็นพยานให้กับนาง แต่เฟิ่งเชียนเย่ได้เขียนไว้ในกระดาษไว้อย่างนี้
อย่างไรเขาก็พูดแล้ว เช่นนั้นนางก็ยอมที่จะเชื่อ
นางเหลือบไปที่ฮูหยินฉินที่สวมเหวยเม่าที่อยู่ด้านข้าง และได้พูดกับนางว่า “ต้องขอบใจฮูหยินฉินที่เต็มใจมาเป็นพยานให้ในวันนั้น”
“ฮึ!” ฮูหยินฉินฮึออกมาหนึ่งที แล้วหันหนี ไม่อยากดูมู่อวิ๋นซี ตอนนี้ เรื่องที่นางเสียใจที่สุดคือการยอมรับคำขอร้องขององค์หญิงใหญ่
มู่อวิ๋นซีก็ไม่สนใจ และได้พูดต่อว่า “ฮูหยินฉินเป็นคนฉลาด วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านเองก็เห็นอย่างชัดเจน ท่านคิดให้ดีๆ อีกรอบ เรื่องขององค์หญิงใหญ่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่นางพูดจริงๆ หรือ? มันเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ หรอกหรือ?”
ฮูหยินฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ วันนั้น……นางสังเกตเห็นว่าความบังเอิญที่องค์หญิงใหญ่พูดนั้นค่อนข้างที่จะเหลือเชื่อ แต่เนื่องจากองค์หญิงใหญ่พูดแบบนั้นแล้ว ตัวนางเองจะสามารถพูดอะไรได้อีก
“ฮูหยินฉิน” มู่อวิ๋นซีพูดต่อ “ท่านลองคิดดูอีกที หากทุกอย่างนั้นเป็นความจริง……เมื่อตอนที่ท่านจากไป ท่านยังได้รับแป้งท้อธวัลพรรณตลับนั้นด้วย เพราะนั้นได้เตรียมไว้ให้ท่านนานแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ใบหน้าของท่านก็จะประมาณนี้ ท่านจะไม่ยอมพูดอะไรเพื่อองค์หญิงใหญ่สักคำเลยหรือ?”
แน่นอนว่าไม่ยอม!

ถึงตอนนั้น นางต้องเกลียดชังองค์หญิงใหญ่มากแน่ เพียงแค่ปรารถนาว่านางไม่อาจจะตายอีกครั้งได้ แล้วยังจะสนใจว่านางจะตายอย่างไร?
คำพูดของมู่อวิ๋นซีดูคลุมเครือ แต่ในใจของฮูหยินฉินนั้นได้เข้าใจแล้ว มู่อวิ๋นซีหมายถึงว่าวันนั้นมีคนต้องการสังหารองค์หญิงใหญ่ และหลังจากนั้นก็มอบแป้งท้อธวัลพรรณที่เป็นปัญหาให้กับพวกนาง ให้พวกนางได้เกลียดองค์หญิงใหญ่ และเพื่อจะได้ไม่มีใครค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริงขององค์หญิงใหญ่ได้
คิดอย่างรอบคอบ เหมือนว่าวันนั้นจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
เพียงแค่……
ฮูหยินฉินหันหน้ามองมู่อวิ๋นซี “แล้วเยี่ยงไร? ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นปัญหาของตระกูลมู่ของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้า? อีกทั้งใบหน้าของข้าได้ถูกทำลายก็เป็นเพราะใช้แป้งท้อธวัลพรรณของตระกูลมู่ ดังนั้นมันเป็นความผิดของพวกเจ้าตระกูลมู่”
นางถูกดึงเข้าไปร่วมด้วยอย่างไร้เหตุผล
“ใช่! เป็นความผิดของตระกูลมู่ของข้า” มู่อวิ๋นซียอมรับแบบตรงไปตรงมา แล้วโค้งตัวคำนับอีกรอบ “อวิ๋นซีต้องขอโทษท่านด้วย!”
ฮูหยินฉินสะดุ้ง แล้วฮึออกมาเบาๆ พร้อมกับเหล่ตาไปทางอื่น “สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่การขอโทษ แต่ต้องการให้พวกเจ้าชดใช้ครั้งนี้”
“ตระกูลมู่ของเราจะต้องชดใช้อย่างที่ควรจะเป็น แต่นอกเหนือจากนั้น ข้าคิดว่าที่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งนี้” มู่อวิ๋นซีได้นำตลับไม้ไผ่กลมๆ หนึ่งตลับออกมาจากแขนเสื้อ ตลับเขียวๆ อยู่บนฝ่ามือและยื่นส่งไปด้านฮูหยินฉิน “นี้คือแป้งน้ำหยกวิไลที่ข้าได้ปรับปรุงขึ้นมาใหม่”

ฮูหยินฉินเดินถอยไปข้างหลังสามก้าว เพื่อหลีกเลี่ยงตลับไม้ไผ่ที่มู่อวิ๋นซีมอบให้นางราวกับว่าเป็นหลบหนีภัยพิบัติอันใหญ่หลวงอย่างไรอย่างนั้น “สิ่งของของตระกูลมู่ ข้าคงไม่กล้าที่จะใช้อีกแล้ว”
ใบหน้าของนางตอนนี้จะล้างก็ยากลำบาก แล้วจะกล้าใช้แป้งชาดอีกได้อย่างไร? โดยเฉพาะเป็นแป้งชาดของตระกูลมู่
มู่อวิ๋นซีสะดุ้งเล็กน้อย แต่มือที่ยื่นออกไปไม่ได้ถอยกลับมา นางได้พึมพำเล็กน้อยแล้วเหลือบมองใต้เท้าโจว และมองไปที่ฮูหยินฉินอีกครั้ง
“ฮูหยินฉิน หยกวิไลตลับนี้ข้าได้มอบให้ท่านต่อหน้าใต้เท้าโจว ทุกวันเช้าเย็นท่านใช้หนึ่งครั้ง หลังจากที่ใช้แล้วอย่าบอกว่าอาการบนใบหน้าของท่านยิ่งแย่ลง แม้ว่าจะยังรักษาสภาพที่เป็นอยู่นี้ไว้…….ข้า มู่อวิ๋นซี จะมอบใบหน้านี้ของข้าให้แก่ท่าน!”
“ถุย เช่นนั้นฮูหยินฉินก็จะไม่ได้กลายเป็นหน้าหนาสองชั้นหรือ?” หลิ่วเย่ยิ้มเยาะเย้ยอยู่ข้างๆ
มู่อวิ๋นซีไม่สนใจนาง มองแค่เพียงฮูหยินฉิน “สามวัน หากหลังจากที่ท่านใช้ไปแล้วสามวันอาการยังไม่ดีขึ้น บนใบหน้ายังมีบาดแผล ข้าจะทำกรีดใบหน้าของข้าให้มีแผลเช่นกัน และบนใบหน้าท่านยังมีการเปื่อยเน่า ข้าก็จะลวกใบหน้าของข้าให้เกิดแผลเปื่อยออกมาเช่นกัน”
หญิงสาวในห้องโถง สวมชุดสีขาวพระจันทร์ที่รัดด้วยที่รัดเอว ดูอ่อนแอราวกับก้านดอกไม้ แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสายลมและสายฝนอย่างภาคภูมิ
รอยตบบนใบหน้าเล็กๆ ของนางนั้นคล้ายกับกลีบดอกบัวเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่อาจจะซ่อนความเจิดจรัสในสายตาของนางได้ ราวกับว่าในนั้นได้ซ่อนดวงดาวและทะเลไว้
นางยื่นมือที่มีตลับไม้ไผ่สีเขียวที่สวยงามออกไปอยู่อย่างนั้น ได้ยืนอยู่ที่นั่นอย่างดื้อรั้น ดึงดันและจริงจัง เหมือนดั่งกล้วยไม้ในหุบเขาที่ลึกกำลังเบ่งบานอย่างเงียบๆ และลูกแก้วที่เลอะฝุ่นนำไปชำระล้างออกให้สะอาดแล้ว ทำให้ใจคนต่างรักสงสารและเคารพศรัทธา
ใต้เท้าโจวได้ปล่อยมือที่ถือไม้ปลุกสติออก แม้จะรู้ว่านางกำลังเสี่ยง แต่เขาก็ยอมที่ช่วยเหลือนางให้บรรลุความสำเร็จ
ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวจ้องไปที่มู่อวิ๋นซี ด้วยดวงตาที่สดใส นี่เป็นครั้งแรกของนางที่แสดงความเคารพศรัทธาต่อคนที่ไม่อาจจะเอาชนะนางได้ ในขณะนี้ แม้แต่นางก็ไม่อาจจะปกป้องตัวเองได้ แต่ก็ยังนึกถึงใบหน้าของฮูหยินฉินอีก
มู่อวิ๋นซีโง่จริงๆ บ้าไปแล้ว!
หลังจากตกใจหลิ่วเย่ก็ได้เยาะเย้ย นั้นเป็นพิษของดอกฝูซิ่วฉิว ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าของฮูหยินฉินจะดีขึ้น แค่ไม่เน่าเปื่อยอีกก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
มีผ้าคลุมยาวๆ บังอยู่ ไม่อาจจะเห็นสีหน้าของฮูหยินฉินได้ชัดเจน แต่สามารถมองเห็นว่านางเดินตรงไปยังมู่อวิ๋นซี แล้วยกมือขึ้นหยิบเอาตลับไม้ไผ่สีเขียวอันสวยงามตลับนั้น “จะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset