เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 54 ขอร้อง ประมุขสำนักอินทรีย์

“พยาน? ชาติหน้าเถิด!” มู่เซิ่งยิ้มอย่างเย็นชา “มู่อวิ๋นซี! ตระกูลมู่ของข้าไม่มีลูกหลานที่นอกคอกอย่างเจ้า นับแต่นี้ต่อไป เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลมู่ของข้า หลังจากคดีนี้เสร็จสิ้น เจ้าจะไปไหนก็ไป และหากกล้าที่จะย่างก้าวเข้ามาในตระกูลมู่รวมทั้งกิจการของตระกูลมู่เพียงแค่ก้าวเดียว ข้าจะหักขาเจ้า”
จะหักขา? เฮ้อ!
มู่อวิ๋นซีหัวเราะอย่างเย็นชา เรื่องนี้ มู่เซิ่งคิดคงจะไม่ใช่แค่วันสองวันกระมัง?
“มีสิทธิ์อะไร?” นางพบกับแววตาของมู่เซิ่ง พูดย้อนอย่างประชดประชัน “ข้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ขององค์หญิงใหญ่ เป็นลูกสาวของครอบครัวลูกคนโตของตระกูลมู่ มันเกี่ยวอะไรกับพวกท่านครอบครัวลูกคนที่สอง? เรียกท่านว่าท่านปู่น้อย ท่านก็คิดว่าท่านเป็นท่านปู่ของข้าจริงๆ นั้นหรือ? ท่านนี่ให้หน้าตัวเองเสียจริง”
ชิว! ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวผิวปากหนึ่งที มองมู่อวิ๋นซีด้วยใบน่านับถือ เก่งมาก คำพูดนี้ก็กล้าพูดออกมา
ซี๊ด! เจี่ยอี้สูดหายใจเข้าลึกๆ มองมู่อวิ๋นซีด้วยสายตาที่สดใส ถึงใจจริงๆ และเขาจะต้องเอานางมาให้ได้
เฮอะ! หลิ่วเย่เยาะเย้ย สายตาที่มองมู่อวิ๋นซีเหมือนกับมองคนตายอย่างไรอย่างนั้น บางครั้งอาจมีแค่พวกนางไม่กี่คนที่รู้ มู่เซิ่งเกลียดมากที่สุดคือคนอื่นมาพูดอะไรครอบครัวลูกคนโต ครอบครัวลูกคนที่สอง
ถุย มู่จื่อโหรวเปล่งเสียงออกมา โดยไม่ปิดบังความไม่พอใจที่มีอยู่บนใบหน้าตัวเอง กล้าแค้นมู่เซิ่งแบบนี้ และยังต้องการจะให้มู่เซิ่งพูดแทนนาง นังสารเลวนี้โง่มากจริงๆ
มู่จื่อหลันกะพริบตา และได้เริ่มคิดหาวิธีจะพูดเรื่องการขอยาสร้างเนื้อกับมู่อวิ๋นซีได้อย่างไร
“ท่านปู่น้อย!”
สีหน้าที่บูดบึ้งของมู่เซิ่งได้เอ่ยปาก มู่ซิ่วก้าวเข้าไปข้างหน้า และแทรกเข้าไปตรงกลางระหว่างมู่อวิ๋นซีกับมู่เซิ่ง เพื่อขัดขวางแววตาที่ลุกเป็นไฟของทั้งสอง ให้มู่อวิ๋นซีอยู่ด้านหลังเพื่อมองไปที่มู่เซิ่ง
“ท่านใจเย็นก่อน อวิ๋นซีนางถูกทำให้ตกใจจนเลอะเลือนถึงได้พูดแบบนั้นออกมา ให้ท่านเห็นแก่ใบหน้าของท่านย่าเถิด อย่าได้มีความแค้นกับนางเลย”
มู่อวิ๋นซีอึ้งทื่อ

มู่ซิ่วที่อยู่ข้างหน้านางได้ค่อยๆ คุกเข่าลงไปต่อหน้ามู่เซิ่ง “ท่านปู่น้อย อวิ๋นซียังเด็กนัก ท่านอย่าไล่นางออกจากตระกูลมู่เลย ท่านจะให้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนางจะใช้ชีวิตอย่างไร? ท่านพ่อ ท่านแม่ที่อยู่ด้านล่างรู้เข้า เกรงว่าจะเสียใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ ท่านปู่ ซิ่วซิ่วขอร้องท่านล่ะ ขอให้อวิ๋นซีได้อยู่ที่นี้เถิดนะเจ้าคะ”
มู่เซิ่งหน้าดำราวกับก้นหม้อ ถอนหายใจแรงๆ “ซิ่วซิ่ว ไม่ใช่ว่าปู่จะหักหน้าเจ้า เพียงแต่ว่าจะไล่มู่อวิ๋นซีออกไปนั้นเป็นความต้องการของท่านย่าเจ้า ข้าก็ไม่มีทางเลือก เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด”
“ท่านปู่!”
“ท่านพี่!” มู่ซิ่วยังจะขอร้องอีกครั้ง แต่มู่อวิ๋นซีได้ก้มพยุงนางให้ลุกขึ้นแล้ว “อย่าขอร้องเขา ไม่ต้องสนใจเขา และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจที่ให้ข้าอยู่หรือไป”
“อวิ๋นซี!” มู่ซิ่วรู้สึกร้อนรนขยิบตาให้นาง และได้เห็นใบหน้าของนางที่ยังดื้อรั้นอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดกล่อมนางเบาๆ “ตอนนี้ท่านย่ายังป่วยอยู่ ในบ้านต้องฟังตามที่ท่านปู่สั่ง เจ้าจะพูดจาอ่อนหวานกับท่านได้ใช่หรือไม่?”
พูดจาอ่อนหวาน?
นางจะพูดจาอ่อนหวานสักครั้ง เขาก็ต้องตบไปนางแล้วหนึ่งครั้ง ยังด่าว่านางเป็นเด็กเวร
หากนางคุกเข่าลง เขาคงจะเหยียบศีรษะนางไว้ใต้เท้าของเขา
หากนางขอร้องเขา เขาคงจะเตะนางลงเหวลึกอย่างโหดร้าย
สิ่งที่มู่เซิ่งต้องการคือทรัพย์สินความมั่งคั่งของพวกเขาครอบครัวลูกคนโต หรือไม่ก็ต้องการให้พวกเขาไม่ตายดี และจะเป็นไปได้อย่างไรเพียงแค่ให้พูดอ่อนหวานหนึ่งคำแล้วจะปล่อยพวกเขา?
“ท่านพี่ ท่านไปดูแลท่านย่าเถิด” มู่อวิ๋นซีตบไปที่มือมู่ซิ่วเบาๆ
มู่ซิ่วจะวางใจได้อย่างไร “แต่เจ้าต้อง……”

“ซิ่วซิ่ว!” เจี่ยอี้มองอยู่นานจู่ๆ ก็เอ่ยปากพูดว่า “เจ้าไปดูแลฝ่าบาทเถิด ข้าจะเกลี้ยกล่อมอวิ๋นซีให้”
ตัวของมู่ซิ่วได้สั่นขึ้น และได้จ้องมองมู่อวิ๋นซีลึกๆ แล้วหันหลังออกไป
“อวิ๋นซี!” เจี่ยอี้ฉวยโอกาสเดินเข้าใกล้มู่อวิ๋นซี “ข้อเสนอของข้าเมื่อครู่ ยังใช้ได้อยู่นะ และยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านรองมู่จะต้องการขอร้องผิงจุ่นซือของพวกข้า ดังนั้นคำพูดของข้ายังมีความสำคัญอยู่มาก เพียงแค่เจ้ารับปากจะมาเป็นสนมของข้า ข้าก็จะทำให้เขาปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่”
มู่อวิ๋นซีจ้องมองเจี่ยอี้อย่างเย็นชา โดยไม่พูดอะไรสักคำ
“อวิ๋นซี” เจี่ยอี้พูดด้วยใบหน้าเข้มขรึมพร้อมขู่ว่า “หากเจ้าถูกไล่ออกจากตระกูลมู่จริงๆ เรื่องที่ทำให้ฮูหยินฉินเสียโฉมนั้นไม่ใช่แค่อธิบายว่าผิดพลาดแล้วจะเสร็จสิ้นนะ พูดเบานี่เป็นการพยายามฆ่า พูดแบบจริงจังก็คือเจตนาฆ่าข้าราชการของราชสำนัก และถึงตอนนั้นเจ้ารู้หรือไม่จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? หัวหลุดจากบ่า!”
“นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด ที่แย่ที่สุดคือเจ้าอยู่ในคุกเพื่อรอวันถูกประหารชีวิต เจ้าดูใบหน้าเรียวเล็กที่สวยงามของเจ้า พวกผู้คุม นักโทษจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร พวกเขาจะเปลี่ยนวิธีทรมานเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้ายังไม่ทันได้ถูกประหาร และตัวเจ้าเองก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
อ้อ! มู่อวิ๋นซีกวาดสายตาไปที่มู่เซิ่ง รีบร้อนที่จะไล่นางออกไปจากตระกูลมู่เช่นนี้ เพื่อที่จะบอกใต้เท้าโจว บอกฮูหยินฉิน บอกกับทุกคน นางไม่มีที่พึ่งใดๆแล้ว สามารถตัดสินโทษหนักได้ สามารถตัดสินโทษตายได้ และสามารถรังแกเหยียดหยามได้ตามต้องการ!
ช่างเป็นอุบายที่ดีเสียจริง!
“อวิ๋นซี เจ้ารีบตัดสินใจซะ” เจี่ยอี้พูดเร่ง
มู่อวิ๋นซียิ้มมุมฝีปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน ไม่สนใจเจี่ยอี้ แต่กลับมองไปที่มู่เซิ่ง “ท่านมีเวลามาจัดการเรื่องของครอบครัวลูกคนโตของเรา คงจะดีมากกว่านี้หากท่านไปสนใจลูกเขยของท่านเอง”

“เด็กเลว!” มู่เซิ่งด่าขึ้น แล้วเดินตรงไปคำนับใต้เท้าโจว “ใต้เท้า จากวันนี้เป็นต้นไป มู่อวิ๋นซีกับตระกูลมู่ของข้าจะไม่มี……”
“ใต้เท้า!”
มีเสียงดังกังวานได้ขัดคำพูดของมู่เซิ่ง
ทุกคนมองไปตามเสียง ได้เห็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีดำตัวใหญ่โบกมือให้เจ้าหน้าที่แยกออกจากประตู แล้วเดินเข้ามาอย่างองอาจ พร้อมที่เดินตรงไปคำนับใต้เท้าโจว “ข้ามาเพื่อมอบตัวขอรับ!”
เขาเหลือบมองมู่เซิ่งแล้วคำนับพร้อมพูดว่า “โย่! ท่านรองมู่ ไม่ได้เจอกันนาน ท่านอ้วนขึ้นอีกแล้ว! ประโยชน์ที่ได้มาจากตระกูลมู่ต้องดีมาก” มู่เซิ่งยิ้มแห้งๆ “ท่าน……ท่านมาได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่พูดแล้วหรือ? ข้ามาวันนี้คือมาเพื่อมอบตัว” เขาย้ายสายตาไปหยุดบนใบหน้ามู่อวิ๋นซี จากนั้นมองไปที่ใต้เท้าโจว
“ใต้เท้า ดังที่คำโบราณว่าไว้นั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีสางเคาะประตู ข้าทำเรื่องไม่ดีมากเกินไปแล้ว ช่วงนี้ถึงนอนไม่ค่อยหลับ ท่านดูรอยคล้ำที่ขอบตาข้าสิ”
เขายกมือขึ้นไปจิ้มที่ขอบตาล่างของตัวเอง “มันเป็นผลที่ก่อเรื่องไม่ดีขึ้น ท่านเป็นผู้สูงส่งคงยุ่งมาก และไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะตรวจมาถึงคดีของข้า ข้าคิดๆ ดูแล้ว คิดว่ามามอบตัวด้วยตัวเองเถิด”
ใต้เท้าโจวใบหน้าคล้ำแล้วคล้ำอีก “วันนี้ข้ากำลังพิจารณาคดีของเครื่องประทินโฉมแดงดุจท้อ สำหรับเจ้าสำนักอินทรีย์หากต้องการจำนนต่ออะไร รอให้ข้ากลับไปที่จิงจ้าวอิ่นแล้ว แล้วจะฟังท่านพูดทีละคดี”
เจ้าสำนักอินทรีย์?
มู่อวิ๋นซีมองไปยังชายที่นั่งลงอยู่ข้างๆ อย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อคืนนั้นที่สองคนถูกเฟิ่งเชียนเย่จับตัวได้คือคนของสำนักอินทรีย์ ที่เขาได้ปรากฏตัวที่นี่ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมาคิดบัญชีแค้นหลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว?
หัวใจของนางเย็นลงเล็กน้อย มาจนถึงตอนนี้มู่เซิ่งยังคงคิดที่จะต้องการทำให้นางตาย และนี่ก็ได้เพิ่มเจ้าสำนักอินทรีย์ขึ้นอีกคน แผนของเฟิ่งเชียนเย่กลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปกระมัง?
เจ้าสำนักอินทรีย์ได้ยิ้มให้มู่อวิ๋นซี จากนั้นมองไปที่ใต้เท้าโจวและปฏิเสธตำแนะนำของเขา “ไม่ได้! ตอนนี้ข้าทุกข์ใจกับสิ่งที่ข้าได้ทำลงไปทั้งหมด มันเป็นบทเรียนที่แสนจะเจ็บปวดในอดีต และอวัยวะทั้งห้าของข้าช่างเป็นทุกข์ทรมานเสียจริง ไม่พูดคงไม่ได้!”
มือของใครที่ดำมาก ไม่พูด เจ้าก็อาจถูกเฆี่ยนตีจนตาย

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset