“ปั้ง!”
ใต้เท้าโจวตีไม้ปลุกสติ “เวลานี้ที่นี่คือศาล อยู่ในศาล อนุญาตให้เจ้าพูดเหลวไหลหรือ?”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายใช้ไม้เฆี่ยนใหญ่ตีพื้นพร้อมกัน ได้เปล่งเสียงร้องยาวออกมาพร้อมกันว่า “แหว—วู—”
“หุบปาก!” เจ้าสำนักอินทรีย์ตะคอกเสียงขึ้น เจ้าหน้าที่ราวกับว่าเจอคลื่นลมแรง ในขณะนั้นได้เซไปมา ยังมีสองคนที่ไม่ระวัง ได้ล้มก้นกระแทกลงไปบนพื้น
“ใต้เท้าโจว!” เขาหัวเราะเสียงดัง ไม่มีความรุนแรงเมื่อครู่แล้ว จากนั้นมองไปที่ใต้เท้าโจวที่กำลังครุ่นคิดอยู่ “ข้าฟังคำที่ใต้เท้าพูดแล้วสิ่งที่เสียใจคือ คือ……อดไม่ไหวแล้ว ใต้เท้าวันนี้หากไม่ยอมให้ข้าสารภาพ เช่นนั้นพวกเราก็ถ่วงไปแบบนี้”
ใบหน้าของใต้เท้าโจวก็ครึ้มอกครึ้มใจ
“อ้อ ใช่” เจ้าสักนักอินทรีย์เคาะไปที่ศีรษะแล้วพูดว่า “ข้านึกออกแล้ว ลูกน้องข้าเหมือนจะฆ่าคนขององค์หญิงใหญ่ไปแล้ว ใต้เท้า ท่านว่า นี่ใช่โทษมหันต์หรือไม่?”
มู่เซิ่งตากเบิกกว้างแทบจะหลุดออกมา ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเจ้าสำนักอินทรีย์วันนี้มาไม่ใช่เจตนาดี!
“พูด!” ใต้เท้าโจวตีไม้ปลุกสติหนึ่งที เรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ยืดเยื้อเขาต่อไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น ในมือเขายังมีอีกหลายคดี ทั้งที่รู้เป็นเจ้าสำนักอินทรีย์ที่ทำ แต่ไม่มีหลักฐานมาโดยตลอด
“ได้เลย” เจ้าสำนักอินทรีย์มองมู่เซิ่ง “เมื่อหนึ่งเดือนก่อน มีคน ส่งมอบเงินให้ข้าหลายหีบ ให้ข้าส่งคนไปซุ่มโจมตีรถม้าที่นอกเมือง ยังบอกว่าแม้แต่คนและม้าก็ต้องฆ่าให้หมด ห้ามไม่ให้เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียว”
มู่เซิ่งเหงื่อไหลที่แผ่นหลัง
มู่อวิ๋นซีนึกได้ทันที ที่แท้ ที่นางเห็นอยู่นอกเมืองนั่นก็คือคนของสำนักอินทรีย์
“ขณะนั้น ข้าคิดว่าเป็นแค้นศัตรูธรรมดา ก็รับทำตามคำสั่ง ต่อมาถึงได้รู้ว่า กองกำลังคนและม้าที่แท้คือคนขององค์หญิงใหญ่ ทั้งหมดคือข้าถูกคนหลอกใช้ ใต้เท้า ข้าเสียใจมาก” เจ้าสำนักอินทรีย์ได้ร้องไห้คร่ำครวญ
มู่เซิ่งเกือบจะยืนไม่นิ่ง จ้องมองไปที่เจ้าสำนักอินทรีย์ กฎของสำนักอินทรีย์ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเรื่องดีๆ ผ่านไปราวกับควันไฟ จะไม่พูดถึงบุคคลที่สามหรือ?
เจ้าสำนักอินทรีย์ยิ้มให้มู่เซิ่ง แล้วพูดต่อว่า “ไม่กี่วันต่อมา คนนั้นได้ส่งเงินให้ข้าอีกจำนวนหนึ่ง ขอให้ข้าไปลอบสังหารเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้คนหนึ่ง ท่านว่า นี้หน้าไร้ยางอายหรือไม่? จะมียางอายสักหน่อยหรือไม่? ข้านี่อายแทนเขามาก!”
ฟันกรามหลังของมู่เซิ่งแทบจะกัดจนหักแล้ว ตอนนั้นใช่ว่าเขาจะรับเงินนั้นมาอย่างมีความสุข หากต่อไปยังทำให้เขามีเรื่องดีๆ เช่นนี้อีกยังจะคิดถึงสำนักอินทรีย์ของพวกเขาอยู่หรือไม่?
“ปัง!”
ใต้เท้าโจวตีไปที่ไม้ปลุกสติหนึ่งที ขัดจังหวะการแสดงอันงุ่มง่ามของเจ้าสำนักอินทรีย์ “พูดประเด็นหลัก!”
“ต่อมาข้าถึงได้รู้ว่า คนที่เขาต้องการให้ลอบฆ่านั้น ก็มีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่ ท่านว่านี่ไม่ใช่พุ่งเป้าไปที่องค์หญิงใหญ่หรือ? นี่ไม่ใช่การพุ่งเป้าไปที่ราชวงศ์หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การท้าทาย……อำนาจจักรพรรดิหรือ? และนี่ไม่ใช่การเนรคุณ พยายามก่อกบฏหรอกหรือ?” ข้อหาของเจ้าสำนักอินทรีย์แต่ละคดีใหญ่กว่าอีกหนึ่งคดีขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าของมู่เซิ่งเป็นสีดำแล้วก็ขาว ขาวแล้วเขียว เขียวแล้วก็แดง เหงื่อก็ได้ไหลเปียกเต็มแผ่นหลังแล้ว ไม่อาจจะปล่อยให้เขาพูดเหลวไหลอีกต่อไปได้
“บอกมา!” เขาได้พุ่งไปอยู่ด้านหน้าของเจ้าสำนักอินทรีย์ทันที เพื่อที่จะปิดบังสายตาของทุกคน “เป็นใคร ใครที่จ้องจะทำร้ายพี่สะใภ้ข้า?”
จากนั้น เขาได้กระซิบเบาๆ ว่า “เงินก็ให้เจ้าไปแล้ว หากไม่พอ เจ้าบอกมา ยังต้องการเท่าไหร่?”
มีชีวิตใช้นั้นเรียกว่าเงิน ไม่มีชีวิตใช้นั้นมันแตกต่างอะไรกับก้อนหิน?
เข้าสำนักอินทรีย์พูดเหยียดหยาม “ข้าต้องการความยุติธรรม”
“ความยุติธรรมอะไร?” มู่เซิ่งสงสัย และได้พูดขึ้นอย่างเสียงดังว่า “ข้าขอร้องท่านล่ะ คิดดีๆ ใครกันที่ต้องการทำร้ายพี่สะใภ้ข้า?”
มู่เซิ่งใจสั่น เขากล่าวว่าทำไมเจ้าสำนักอินทรีย์ไม่ยอมรับกิจการของเขา ทำไมการลอบสังหารมู่อวิ๋นซีถึงไม่ได้ผล ที่แท้คือเจ้าเด็กสารเลวนี่ไม่รู้ไปสมคบคิดกับเจ้าสำนักอินทรีย์ตั้งแต่เมื่อไร
“ความยุติธรรมนี่ เจ้าจะให้ หรือไม่ให้?”
มู่เซิ่งลังเลไม่ตัดสินใจ เมื่อครู่เพิ่งจะทำทุกวิถีนางให้มู่อวิ๋นซีอับอาย และนี่จะเป็นพยานให้นางได้อย่างไร?
เป็นพยาน? มู่เซิ่งสีหน้าดูไม่ดี เมื่อครู่ที่มู่อวิ๋นซีก็บอกแล้วว่าเขาจะเป็นพยานให้นาง นังสารเลวนี่ คงจะสมคบคิดกับผู้ที่ตระบัดสัตย์อย่างเจ้าสำนักอินทรีย์ไว้นานแล้วกระมัง?
เจ้าสำนักอินทรีย์หมดความอดทน ยืดคอมองไปที่มู่เซิ่ง “ใต้เท้าโจว นอกจากคดีของอย่างนี้แล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้ายังทำเรื่องเลวร้ายอีกมากมาย ช่างเป็นการสูญเสียจิตสำนึกไปโดยสิ้นเชิง ทั้งฆ่าคน วางเพลิง ปล้นร้านของคนอื่น……”
“ข้าให้!” มู่เซิ่งกัดฟันแน่น ความคิดที่อยากตายก็มีแล้ว “ความยุติธรรมนี้ ข้าให้!”
ไม่เช่นนั้น หากไอ้สารเลวที่อยู่ตรงหน้านี้พูดถึงทุกอย่างที่ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกไป การตายร้อยครั้งคงเพียงพอกับเขาแล้ว
เสียหน้า ยังดีกว่าจะเสียชีวิตน้อยๆ นี้ไป
นับว่าเจ้ารู้จักเอาตัวรอด เจ้าสำนักอินทรีย์ผลักมู่เซิ่งออกด้วยสีหน้าที่น่ารังเกียจ “ดูเข้า เพราะท่านเข้าวุ่นวาย จึงทำให้สิ่งที่ข้าจะพูดออกมานั้นได้ถูกท่านจ้องมองจนลืมไปเสียหมดแล้ว”
“ใต้เท้าโจว” เจ้าสำนักอินทรีย์มองไปที่ใต้เท้าโจว “ข้าคิดว่า ที่ท่านพูดมาก็ถูก ที่นี่ตอนนี้ไม่เหมาะสมที่ข้าจะเข้ามอบตัวรับโทษ ถ้าเช่นนั้น ท่านพิจารณาคดีของท่านก่อน ให้ข้าคิดดีๆ อีกครั้งว่าข้าทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้บ้าง จากนั้นจะพูดให้ท่านฟังทีละคดี”
“ก็ดี” ใต้เท้าโจวช่วยไม่ได้กับเขา เหลือบมองไปที่มู่เซิ่ง “เมื่อครู่ท่านว่า มู่อวิ๋นซีกับตระกูลมู่ของท่านว่าอย่างไร?”
ใบหน้าของมู่เซิ่งราวกับสีตับหมู เมื่อครู่เขาต้องการจะบอกว่ามู่อวิ๋นซีกับตระกูลมู่จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้…….
หางตาของเขาเหลือบมองเจ้าสำนักอินทรีย์ ชู้ของมู่อวิ๋นซี คำนี้ เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร?
มู่เซิ่งกดทับความโกรธที่อยู่ในใจไว้ มองไปที่ใต้เท้าโจว และพูดอย่างหน้าด้านว่า “ข้าจะพูดว่า มู่อวิ๋นซีกับตระกูลมู่ของข้าจะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันต่อไป” กลับคำแล้ว?
มู่อวิ๋นซีมองมู่เซิ่งด้วยความประหลาดใจ และได้หันไปมองเจ้าสำนักอินทรีย์ มองตรงไปที่รอยยิ้มที่ได้แย่งเอาความดีความชอบของเขา
ดังนั้น เจ้าสำนักอินทรีย์คือมาช่วยนาง?
เขาคือแรงเสริมที่เฟิ่งเชียนเย่เชิญมา
นางก็รู้ ทำไมหลังจากวันนั้น ถึงไม่เห็นคนของสำนักอินทรีย์มาตามรังควานนางอีก ที่แท้เขาได้แก้ไขปัญหาให้นางอย่างลับๆ
แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรกับนาง
ใจของนางไหวสั่น
“นายท่าน? ท่านพูดอะไร?” หลิ่วเย่มองมู่เซิ่งอย่างไม่เชื่อ มู่อวิ๋นซีกับตระกูลมู่ของข้าจะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันต่อไป?
นางดึงแขนเสื้อของมู่เซิ่งไว้ ถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “ท่านเลอะเลือนแล้วหรือ? นางแย่งลานชิงจื่อของจื่อโหรว แย่งแดงดุจท้อของข้า ทำไมท่านถึงยังช่วยนางพูดอีกล่ะ?”
“เจ้านังงูพิษ!”
มู่เซิ่งยกแขนขึ้นเพื่อที่จะเอาแขนเสื้อตัวเองออกจากมือของหลิ่วเย่ มองนางด้วยสายตาที่โมโห “ตระกูลมู่ของข้าเลี้ยงเจ้าไม่ดีหรือ? ข้าเลี้ยงเจ้าไม่ดีหรืออย่างไร? คิดถึงตอนแรก เจ้าก็แค่นางร้องเพลงชั้นต่ำของหอมาลา เป็นข้าที่ซื้อเจ้าเข้ามาอยู่ตระกูลมู่ ได้มอบเสื้อผ้าและอาหารที่อุดมสมบูรณ์ให้แก่เจ้า”
ใบหน้าของหลิ่วเย่ขาวราวกับกระดาษ เรื่องที่นางสุดที่จะรับได้ที่สุด ได้ถูกมู่เซิ่งเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้
“แต่เจ้าล่ะ? ทำกับข้า ทำกับตระกูลมู่ ไม่มีความกตัญญูแม้แต่น้อย และยังได้ทำเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ขึ้นด้วย หลิ่วเย่ ข้ายอมรับว่าข้าชอบเจ้า แต่ไม่ว่าจะชอบอย่างไร ก็ไม่อาจจะเข้าข้างเจ้าจนไม่ขอบเขต จิตสำนึกของข้าไม่อนุญาต!”
ใบหน้าที่มีวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรมของมู่เซิ่ง