เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 56 ฉายเดี่ยว สถานการณ์เปลี่ยนอย่างรุนแรง

จิตสำนึก?
มู่อวิ๋นซีมองไปยังมู่เซิ่งอย่างทึ่ง นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะมีสิ่งนี้ด้วย
แต่คนที่ประหลาดใจยิ่งกว่ามู่อวิ๋นซีกลับเป็นหลิ่วเย่ เพราะนางใช้ชีวิตร่วมกับมู่เซิ่งมานานเกือบยี่สิบปี มีความเข้าใจมากเสียยิ่งกว่าใครว่าคำพูดเช่นนี้ของเขา การกระทำเช่นนี้ และโดยเฉพาะใบหน้าที่แสดงออกมานั้น มีความหมายว่าอย่างไร?
และความหมายนั้นก็คือเขาต้องการที่จะทอดทิ้งนางแล้ว!
นางไม่สนใจความอับอายของตัวเองก่อนหน้านี้อีกแล้ว พลางคว้าแขนเสื้อของมู่เซิ่งอีกครั้งพร้อมกับพูดด้วยเสียงร้อนรนที่แผ่วเบา
“ท่านกำลังกล่าวสิ่งใดกัน?อีกนิดเดียวพวกเราก็จะชนะอยู่แล้ว ต่อให้ข่งซานฟางจะไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังเหลือฮูหยินฉินอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ ?ขอเพียงแค่ทำให้นังเด็กแพศยานั่นเข้าคุกได้ ข้าก็มีวิธีการที่จะทำให้นางตายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยายแก่นั่นก็แทบจะลงโรงอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะยอม ……”
“เจ้ามันนังงูพิษ!”
มู่เซิ่งดึงสะบัดแขนเสื้อของตัวเองออกจากมือของหลิ่วเย่ พร้อมกับตบหน้านางในทันที
หลิ่วหย่ถูกตบหน้าจนล้มลงไปกับพื้น
มู่เซิ่งสบถคำด่าทอออกมาพลางเดินเข้าไปหา พร้อมกับจับตัวหลิ่วเย่ขึ้นมาจากพื้นแล้วตบนางต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านกำลังทำอะไรกัน?”
หลังจากที่ตกใจไปมู่จื่อโหรวก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง รีบพุ่งทะยานเข้าไปดึงตัวมู่เซิ่งออก ก่อนจะเข้าไปคว้าตัวหลิ่วเย่เอาไว้ “ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ?”
ไม่ทันรอให้หลิ่วเย่ได้ตอบกลับ นางก็หันหน้ากลับไปจ้องมู่เซิ่งที่กำลังโซซัดโซเซ “ท่านบ้าไปแล้วหรือไร?เหตุใดท่านถึงต้องตบนางด้วย?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไสหัวไปซะ !” มู่เซิ่งร้องคำรามหน้าเข้ม
“ท่านมีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้า?ท่านคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?” มู่จื่อโหรวกระทืบเท้าไม่พอใจ

เขา! มู่เซิ่ง คนที่เรียกตนว่าเป็นพ่อของนาง แต่กลับคอยช่วยเหลือมู่อวิ๋นซีในทุกๆ ครั้ง ก่อนหน้านี้ก็ตบหน้านางแทนมู่อวิ๋นซี คราวนี้กลับตบหลิ่วเย่เพื่อมู่อวิ๋นซีอีก
มู่อวิ๋นซี!ใช่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางคนเดียว
มู่จื่อโหรวกวาดสายตามองไปจ้องเขม็งที่มู่อวิ๋นซี โดยที่ไฟแห่งความโกรธแค้นกำลังปะทุในดวงตาอันกลมโต คือมู่อวิ๋นซี !คนที่แย่งชิงทุกอย่างของนางไป!
ก่อนที่มู่อวิ๋นซีจะปรากฏตัว นางเป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่สุดของจวนตระกูลมู่ ไม่ว่าใครก็ล้วนทำดีกับนางทั้งสิ้น ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่พูดคุยกับนางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่แล้วตอนนี้ล่ะ ?นางกลับได้เป็นเพียงสิ่งที่น่าขันที่สุดในตระกูลมู่เสียอย่างนั้น ทั้งยังต้องกลายเป็นสนมของผู้อื่นอีก
และตอนนี้แม้แต่คนที่ทำดีกับนางเพียงคนเดียวอย่างหลิ่วเย่ ก็ต้องถูกมู่เซิ่งตบให้อับอายเพราะนางแล้วด้วย
มู่อวิ๋นซี เจ้ามันสมควรตาย!
มู่จื่อโหรวดึงปิ่นปักผมสีทองบนหัวออกมาแทงเข้าไปหามู่อวิ๋นซี
มู่อวิ๋นซีตั้งสติ ไม่ถอยไม่หลบหลีก อีกทั้งยังเดินก้าวเข้าไปหาแล้วคว้าข้อมือของมู่จื่อโหรวเอาไว้แน่น “มู่……ฮูหยินเล็ก อยู่ในศาลเช่นนี้ กลับยังกล้าก่อเหตุอาชญากรรมอย่างโจ่งแจ้ง นี่เจ้าเบื่อชีวิตแล้วสินะ?”
“เจ้านังแพศยา ถ้า……”
“หุบปาก!” มู่เซิ่งร้องตะโกนขัดจังหวะของมู่จื่อโหรวทันที “หากยังพูดอีกที ข้าจะฉีกหน้าเจ้าเสีย ครั้งนี้ไม่มียาสร้างเนื้อให้กับเจ้าอีกแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าอยากจะเป็นสนมแค่ไหน ก็คงจะไม่มีใครต้องการอีกแล้ว ”
นางชำเลืองสายตามองไปยังเจ้าสำนักอินทรีย์ ก่อนจะหันมามองมู่เซิ่งแล้วพูด “ท่านรองมู่ คงจะไม่ได้ทำเพียงเพื่อยื้อเวลาอยู่หรอกนะเจ้าคะ ?”
มู่เซิ่งถึงกับใจเต้นแรง “คนใช้ เอาตัวคุณหนูสามออกไปแล้วจับตาดูให้ดี อีกเดี๋ยวหากเกี้ยวมาถึงแล้วก็ให้นางไสหัวไปเสีย ”
ในขณะนั้นเองยายรับใช้สองคนก็เดินเข้ามาประกบทั้งซ้ายและขวา พลางปิดปากมู่จื่อโหรวเอาไว้แล้วพาตัวออกไป
“ใต้เท้าโปรดอภัยด้วย!” มู่เซิ่งหันหน้าไปมองยังใต้เท้าโจว “เพราะหลิ่วเย่บังอาจเรียกพี่สะใภ้ของข้าว่ายายแก่ ทั้งยังต้องการให้ข้าร่วมมือกับนางทำร้ายพี่สะใภ้อีก จึงทำให้ข้าไม่สามารถควบคุมโทสะของตัวเองได้จริงๆ ”

“ใต้เท้า!ข้าผิดไปแล้ว เรื่องบางอย่างข้าไม่ควรที่จะปิดบังกับใต้เท้าเลย อันที่จริง นับตั้งแต่ที่หลิ่วเย่มอบแดงดุจท้อออกไป ก็เอาแต่เคืองแค้นมู่อวิ๋นซีผู้ที่ได้ครอบครองแดงดุจท้อมาโดยตลอด โกรธแค้นจนเข้ากระดูกดำ”
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางได้ข่าวว่ามู่อวิ๋นซีเดินทางไปยังตลาดตงซื่อ จึงได้ตามหาตัวหวงซานผ่านเหล่าแม่นางในหอมาลาที่นางมักคุ้นด้วย แล้วให้พวกเขาใส่ร้ายว่ามู่อวิ๋นซีเป็นแม่นางในหอมาลา เพื่อที่จะจับนางเข้าไปอยู่ในหอมาลา แต่ทว่าโชคยังดีที่ได้พบกับแม่นางฮั่ว อวิ๋นซีถึงได้หนีรอดมาจากเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ”
“แม้ว่าแผนการนี้จะล้มเหลว แต่หลิ่วเย่กลับได้บังเอิญไปพบกับข่งซานฟางที่กำลังจะไปยังโรงพนัน จึงได้คิดแผนการใหม่ขึ้นมา โดยนางได้มอบเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงให้กับข่งซานฟาง เพื่อให้เขาไปยังแดงดุจท้อเพื่อซื้อดอกท้อเสาวภาคย์หนึ่งตลับ จากนั้นก็ให้เขาแสร้งเดินเข้าไปชนกับมู่อวิ๋นซี ”
“และในคืนนั้นเอง นางได้ไปหาข่งซานฟาง และได้มอบเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงพร้อมกับดอกท้อเสาวภาคย์ที่ผสมกับโพผัน และโพผันของเกสรดอกบางชนิดที่นางทำขึ้นเป็นพิเศษให้กับเขา ” มู่เซิ่งเหลียวหันไปมองยังหลิ่วเย่ที่กำลังเบิกตากลมโต
“ข้าคิดว่านางเพียงต้องการที่จะสร้างความทุกข์ใจให้กับมู่อวิ๋นซี เพื่อให้มู่อวิ๋นซีคืนแดงดุจท้อให้กับนางเสียก็เท่านั้น ไม่คิดว่านางจะมีจิตใจที่โหดร้ายเช่นนี้ โดยการให้ข่งซานฟางวางยาสังหารภรรยาและน้องสาวของตัวเอง พลากไปถึงสองชีวิต”
เขาชำเลืองสายตามองไปยังฮูหยินฉิน “แป้งท้อธวัลพรรณสามตลับนั้นก็น่าจะเป็นหลิ่วเย่ที่เป็นคนทำเอง เพราะภายในห้องของนางนอกจากโพผันแล้ว ข้ายังได้เห็นเกสรดอกฝูซิ่วฉิวจำนวนมากอีกด้วย หากว่าใต้เท้าไม่เชื่อก็สามารถไปตรวจค้นห้องของนางได้เลย ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ ”
ใต้เท้าโจวโบกมือเป็นการสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้น
มู่เซิ่งเดินโซเซเข้าไปหาหลิ่วเย่ ” ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามากเสียจริงๆ เหตุใดเจ้าถึงได้ใช้ความรักที่ข้ามีต่อเจ้าเป็นข้ออ้างในการกระทำผิดอย่างเหิมเกริม และสังหารผู้อื่นเช่นนี้ด้วย ?นอกจากใส่ร้ายอวิ๋นซี เจ้ายังกลับกล้าทำร้ายแม้แต่พี่สะใภ้ของข้า ?”
“ข้า……”
“หลิ่วเย่!” มู่เซิ่งร้องคำรามด้วยเสียงต่ำ พลางเข้าไปจับไหล่ของหลิ่วเย่เอาไว้ “เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?”
เมื่อพูดจบ เขาก็กดเสียงลงต่ำแล้วพูดอย่างรวดเร็ว “ทางที่ดีเจ้าควรจะยอมรับความผิดทั้งหมดนี้เสีย แล้วข้าจะหาวิธีการช่วยเจ้าทีหลัง ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแค่เจ้า แต่ลูกสาวและลูกชายของเจ้าก็ต้องถูกตายทั้งเป็นไปพร้อมกับเจ้าด้วย”

“นายท่าน?” หลิ่วเย่มองมู่เซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ลูกสาวของนาง?ลูกชายของนาง?แล้วพวกเขาไม่ใช่ลูกสาว และลูกชายของเขาด้วยหรือไร ?
“จำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี”
มู่เซิ่งผลักหลิ่วเย่ออก “ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ ”
“ใต้เท้า!” เจ้าหน้าที่ที่ไปตรวจค้นเดินถือกล่องสองสามใบวิ่งเข้ามา “ภายในห้องของหลิ่วเย่พบดอกท้อเสาวภาคย์ แป้งท้อธวัลพรรณ ทั้งยังมีเกสรดอกฝูซิ่วฉิวและโพผันด้วยขอรับ ”
คราวนี้เกรงว่าหลิ่วเย่จะไม่สามารถหนีรอดได้อีกแล้ว
ยายรับใช้ผู้ทำงานในห้องดอกไม้ที่ก่อนหน้านี้เป็นพยานให้กับหลิ่วเย่คุกเข่าลง “ใต้เท้าเจ้าคะ เมื่อสักครู่นี้ข้าน้อยพูดปดไปแล้ว ข้าน้อยเองก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้ แต่ฮูหยินเล็กหลิ่วบอกว่าหากข้าน้อยไม่ช่วยเป็นพยานให้กับนาง นางก็จะฆ่าข้าน้อยเสีย ความจริงแล้วคุณหนูรองไม่เคยได้เห็นเกสรดอกฝูซิ่วฉิวเลยเจ้าค่ะ ”
“ใต้เท้าเจ้าคะ” สาวใช้ที่เป็นพยานเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ชีวิตของคนในครอบครัวข้าน้อยล้วนอยู่ในกำมือของฮูหยินเล็กหลิ่ว ข้าน้อยไม่อาจที่จะไม่พูดปด อันที่จริงแล้ววันนั้นฮูหยินเล็กหลิ่วมอบแป้งท้อธวัลพรรณให้คุณหนูรองเพียงสองตลับเท่านั้น ใต้เท้าได้โปรดไต่สวนให้กระจ่างด้วย อย่าได้ลงโทษคุณหนูรองโดยไม่เป็นธรรมเลยเจ้าค่ะ ”
“ป๊าบ!” ใต้เท้าโจวทุบไม้ปลุกสติลงไปหนึ่งที “เจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”
นี่มันคือการเห็นคนตกต่ำแล้วรุมกันซ้ำเติมชัดๆ !
หลิ่วเย่ไม่กล่าวสิ่งใด พลางชำเลืองสายตามองไปยังมู่เซิ่ง ที่กำลังแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง ราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือนางคนเดียวจริงๆ
ใช่ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของนางจริงๆ แต่ไม่ว่านางจะทำเรื่องอะไรก็จะต้องรายงานให้กับมู่เซิ่ง และได้รับคำอนุญาตจากเขาเสียก่อนนางถึงจะกล้าลงมือทำ
ค่อยหาวิธีการช่วยนางทีหลังหรือ?
นางติดตามเขามาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว มีหรือที่จะไม่เข้าใจเขาอีก ?
นางถูกเขาทอดทิ้ง ดั่งเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง และรองเท้าเก่าที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้วันนี้นางจะดิ้นรนจนหลุดพ้นความผิดไปได้ เขาก็จะหาวิธีการอื่นมาเพื่อเอาชีวิตนางอยู่ดี
ภายในก้นบึ้งหัวใจของหลิ่วเย่ว่างเปล่าลงทันที นางคิดมาตลอดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น นางยอมทำเรื่องผิดบาปมากมายเช่นนี้เพื่อเขา แต่ใครจะคิดว่าในตอนสุดท้าย เขาจะทอดทิ้งนาง เช่นเดียวกับหมากทุกตัวที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้
นางจ้องไปยังมู่เซิ่งแน่นิ่งอย่างไร้เสียงใดๆ ท่านอยากให้ข้ารับผิดอย่างนั้นหรือ ?

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset