“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วงั้นหรือ?แล้วในตอนที่ทำ เหตุใดถึงไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ?” มู่เซิ่งพูดดอกไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เศษเสี้ยวความหวังสุดท้ายภายในใจของหลิ่วเย่สลายลงไปในพริบตา
นางค่อยๆ หันหน้าไปมองใต้เท้าโจว “ข้ายอมรับผิดเจ้าค่ะ!เป็นข้าที่วางยาในแป้งท้อธวัลพรรณ จงใจทำลายโฉมหน้าของเหล่าฮูหยินฉิน หวังจะให้พวกนางเกลียดชังองค์หญิงใหญ่มากขึ้น เป็นข้าเองที่ซื้อตัวข่งซานฟางให้เขาสังหารภรรยาที่ป่วยเรื้อรังมานานและน้องสาวของตัวเองแล้วโยนความผิดให้กับมู่อวิ๋นซี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของข้าเองเจ้าค่ะ !”
ใต้เท้าโจวมองไปยังเจ้าสำนักอินทรีย์และมู่เซิ่งอย่างจดจ้อง ทว่ากลับไม่พูดสิ่งใดเลย ก่อนจะชำเลืองสายตาไปยังเจ้าหน้าที่ให้พวกเขานำสมุดบันทึกคำสารภาพของหลิวเย่ให้นางประทับรอยนิ้วมือ
“ป๊าบ!”
เขาทุบไม้ปลุกสติถือเป็นการตัดสินคดี “ด้วยเหตุที่หลิ่วเย่จงใจทำลายผู้อื่น ทั้งยังสั่งให้ข่งซานฟางสังหารคนแล้วใส่ร้ายอีกฝ่าย ซึ่งถือเป็นความผิดที่มหันต์อย่างยิ่ง ฉะนั้นในอีกสามวันข้างหน้าจะถูกตัดหัวประจานที่ปากตลาดซีซื่อ !ข่งซานฟางสังหารภรรยาและน้องสาวของตนเอง ไร้สำนึกต่อฟ้าดิน ถือเป็นความผิดมหันต์ ฉะนั้นในอีกสามวันข้างหน้าจะถูกทำการตัดหัวประจานที่ปากตลาดซีซื่อเช่นกัน!”
“ส่วนผู้ที่ให้การเท็จ ขัดขวางต่อการไต่สวน จะถูกโบยสามสิบไม้เพื่อไว้เป็นตัวอย่าง”
แล้วทันใดนั้น ยายรับใช้และสาวใช้ก็ถูกลากตัวออกไป ก่อนที่เสียงร้องไห้คร่ำครวญจะดังแทรกเข้ามาด้านใน
ใต้เท้าโจวลุกขึ้นยืนพลางมองไปยังเจ้าสำนักอินทรีย์ “เจ้าสำนัก เชิญ!”
เจ้าสำนักอินทรีย์ลุกขึ้นยืน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ!” มู่อวิ๋นซีลดเสียงเบากล่าวขอบคุณแก่เจ้าสำนักอินทรีย์ที่เดินผ่านหน้าตนไป
เขาชะงักฝีเท้าลง “คนที่ควรกล่าวขอบคุณคือข้าต่างหาก คราวนี้ข้าได้ผลประโยชน์อย่างมากเลย ”
มู่อวิ๋นซีถึงกับตกใจ พร้อมดีดตัวเดินตามเจ้าสำนักอินทรีย์ออกไปด้านนอก “เขามอบเงินให้ท่านเท่าไหร่กัน ?”
เฟิ่งเชียนเย่ช่วยเหลือนางมาตั้งมากมายขนาดนี้แล้ว จะให้เขาเสียทรัพย์อีกไม่ได้
“ยังมีผู้ใดที่มีทรัพย์สินมากกว่าตระกูลมู่ของเจ้าอีกหรือ ?” เจ้าสำนักอินทรีย์เหลียวสายตากลับไปมองมู่อวิ๋นซีอย่างมีนัย “เขาให้สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง”
“สัญญา?” มู่อวิ๋นซีนิ่งชะงัก
เช่นนั้น แม้แต่ทรัพย์สินจากตระกูลมู่ก็ยังสู้คำสัญญาเดียวของเฟิ่งเชียนเย่ไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?
“อวิ๋นซี!” ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวเดินตามมู่อวิ๋นซีที่กำลังนิ่งเหม่อ “คนล่ะ?เจ้าเห็นเขาหนีไปทางไหนแล้วหรือเปล่า?”
“ใคร?” มู่อวิ๋นซีมองฮั่วเสี่ยวเสี่ยวอย่างสงสัย
“ก็เจ้าสำนักอินทรีย์อย่างไรเล่า เมื่อสักครู่นี้เขาบอกว่ารู้สึกปวดศีรษะจะขอกลับไปทานยาเสียหน่อย แล้วอีกไม่กี่วันก็จะไปมอบตัวแก่พี่ชายของข้า แต่หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปเลย เจ้าเห็นบ้างหรือไม่ ?”
ยังไม่ทันที่มู่อวิ๋นซีจะตอบกลับ ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวก็ได้กล่าวอธิบายให้กับตัวเองออกมาเสียแล้ว “เจ้าคงกำลังกังวลเรื่ององค์หญิงใหญ่สินะ?อย่ากังวลใจเลย ท่านชายบอกแล้วไม่ใช่รึว่าน้องสาวญาติผู้น้องของท่านชายเป็นถึงหมอหญิงในพระราชวังหน่ะ ฝีมือการรักษาของนางในสำนักหมอหลวงถือว่าไม่เป็นสองรองใครเลย วันนี้ท่านชายได้เข้าไปดูแล้วว่านางเข้าเวรหรือไม่ ”
“ไม่……” คำปฏิเสธของมู่อวิ๋นซียังไม่ทันได้พูดออกมา ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวก็วิ่งแล่นออกไปเสียแล้ว มู่อวิ๋นซีเองก็ไม่ชักช้าเร่งเท้าไปยังห้องรมตงอย่างรวดเร็ว
“อ๊า อ๊า!” องค์หญิงใหญ่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงร้องตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นมู่อวิ๋นซีเดินเข้ามา พลางชี้มือที่แข็งกระด้างไปทางมู่อวิ๋นซี ภายในดวงตาอันบิดเบี้ยวที่มองมาล้วนเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ท่านย่า!”
มู่อวิ๋นซีคุกเข่าลงข้างเตียงพลางจับมือที่แข็งกระด้างขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ “ท่านอย่ากังวลใจเลย ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ทุกอย่างถูกไต่สวนอย่างกระจ่างแล้ว ทั้งหมดเป็นฝีมือของหลิ่วเย่ ตอนนี้ใต้เท้าโจวได้จับนางไปไว้ที่คุกแล้ว และในอีกสามวันข้างหน้าจะถูกตัดหัวเจ้าค่ะ”
“อ๊า อ๊า !” ทันทีที่องค์หญิงใหญ่อ้าปาก น้ำลายก็ไหลออกมาจากมุมปาก ทำเอามู่อวิ๋นซีที่ได้เห็นถึงกับปวดใจ
นางหันสายตามองไปยังแม่นมโจว ” แม่นม หมอหลวงว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?”
“หมอหลวงกล่าวว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนจากภายนอก ด้วยโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดภาวะเลือดลมโกลาหล จึงทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก ปากตาบิดเบี้ยว พูดไม่ได้เช่นนี้ ซึ่งได้จัดใบสั่งการรักษาเอาไว้แล้ว ตอนนี้ไป่หลิงกำลังดูแลการต้มยาอยู่เจ้าค่ะ หมอหลวงยังกล่าวอีกว่าองค์หญิงไม่ควรที่จะทำสิ่งใดที่หนักหน่วงเกินไป และไม่ควรได้รับแรงกระตุ้นใดๆ อีกเจ้าค่ะ”
แม่นมโจวแจ้งคำพูดของหมอหลวงได้กล่าวเอาไว้ให้กับมู่อวิ๋นซีฟังอีกครั้ง
“องค์หญิง ยาเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าป้อนเอง” มู่อวิ๋นซีรับยาที่ไป่หลิงนำมาให้ พลางตักยาขึ้นมาหนึ่งช้อนก่อนจะเป่าอย่างเบาๆแล้วป้อนไปยังปากขององค์หญิงใหญ่ที่ถูกแม่นมโจวประคองขึ้นมา
ริมฝีปากขององค์หญิงใหญ่สั่นเครือ ทว่ากลับไม่สามารถบังคับให้อ้าปากได้
มู่อวิ๋นซีออกแรงเล็กน้อยแล้วรินยาครึ่งหนึ่งเข้าไป “ท่านย่า ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทั้งที่ตัวข้าเข้ามาเยี่ยมท่านทุกวัน แต่กลับไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าสุขภาพของท่านไม่สู้ดีนัก”
“คุณหนูรองอย่าได้กล่าวโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ” แม่นมโจวถอนหายใจออกมาเบาๆ “ปกติร่างกายขององค์หญิงนั้นก็แข็งแรงดี แต่วันนี้เกรงว่าเป็นเพราะถูกยั่วโทสะมากจนเกินไป หลิ่วเย่คนนั้น ……ช่างเป็นคนชั่วร้ายจริงๆ เสียแรงที่ตอนนั้นองค์หญิงทรงใจดียินยอมให้นางเข้ามาในตระกูล”
มือที่จับช้อนยาของมู่อวิ๋นซีบีบแน่น พร้อมตักยาเข้าไปในปากขององค์หญิงใหญ่อีกครั้ง
“องค์หญิงต้องพักผ่อนแล้ว พวกเจ้ากลับไปเถิด”
หลังจากที่ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว นางถึงค่อยหันไปมองแม่นมโจว “แม่นม ท่านลองนึกให้ละเอียดสิว่าช่วงนี้ท่านย่ามีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ แขนขาชา มีอาการง่วงซึม หรือมีอาการหงุดหงิดผิดปกติหรือไม่ ?”
แม่นมโจวส่ายหน้าทันที “ไม่เคยมีเลยเจ้าค่ะ ร่างกายขององค์หญิงแข็งแรงมาโดยตลอด ทุกวันล้วนนอนเช้าตื่นเช้า มีเพียงก็แต่เมื่อคืนนี้ที่เป็นเพราะกังวลเรื่องของคุณหนูจึงนอนไม่หลับเท่านั้น มีอะไรหรือเจ้าคะ ?มีส่วนไหนผิดแปลกหรือเจ้าคะ?”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” มู่อวิ๋นซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดกับแม่นมโจวตามตรง “ข้าจำได้ว่าในตำราเน่ยจิงเคยกล่าวไว้ว่า โรคหลอดเลือดสมองถึงแม้จะรักษาได้ยาก แต่ก็สามารถที่จะป้องกันได้ และมักจะมีอาการวินเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ แขนขาชาเกิดขึ้นก่อนที่อาการจะกำเริบ”
น่าเสียดายยิ่งนัก ถึงแม้ช่วงหลังนางจะเคยได้ใช้ชีวิตในหุบสิ้นทุกข์ แต่เพราะการไปถึงที่หุบสิ้นทุกข์ช้า จึงทำให้การรักษาอาการแผลไฟไหม้ของนางใช้เวลานานหลายปี ซึ่งในเรื่องของการรักษาแล้ว นางก็รู้เพียงเรื่องสมุนไพร และการท่องจำตำราการแพทย์เท่านั้น หากเป็นอาการปวดศีรษะเป็นไข้ก็ยังพอที่จะรักษาได้ แต่หากเป็นอาการป่วยหนักนางไม่สามารถช่วยรักษาอะไรได้เลย
“แต่ว่าองค์หญิงไม่เคยมีอาการเหล่านี้เลยเจ้าค่ะ” แม่นมโจวลองพยายามนึกคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง
“บางทีคงเป็นเพราะข้าคิดมากเกินไปเอง บางทีท่านย่าอาจจะมีอาการ แต่แค่ไม่ได้กล่าวออกมาเท่านั้น ” มู่อวิ๋นซีใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาให้กับองค์หญิงใหญ่อย่างอ่อนโยน
“คุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกกล่าวรายงาน
“อวิ๋นซี เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?” มู่ซิ่วรีบสาวเท้าเข้ามาจากด้านนอก แล้วเข้าไปดูมู่อวิ๋นซีอย่างละเอียดด้วยสายตาที่มีน้ำตาเล็กน้อย
“ทำให้ท่านพี่เป็นห่วงแล้ว” สายตาของมู่อวิ๋นซีจ้องไปยังบาดแผลสาหัสบนหน้าผากของมู่ซิ่ว ทำเอามู่ซิ่วถึงกับรู้สึกเขินอายจนรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น
“อ๊า!อ๊า!” องค์หญิงใหญ่ยกมือที่แข็งกระด้างไปหามู่ซิ่ว ด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้นอีกครั้ง
“ท่านย่า!” น้ำตาของมู่ซิ่วไหลรินลงมา
“อ๊า!อ๊า!อ๊า!” ริมฝีปากขององค์หญิงใหญ่สั่นเทา ร้อง “อ๊าๆ” ออกมาไม่รู้ว่ากำลังพูดสิ่งใด โดยที่น้ำลายก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด
“ท่านย่า!” มู่อวิ๋นซีช่วยเช็ดน้ำลายให้นางอีกครั้ง “ท่านอย่าได้กังวลใจเลย เรื่องของท่านพี่ข้ามีวิธีการเจ้าค่ะ”
จากนั้นท่าทีขององค์หญิงใหญ่ก็ดูสงบลงมา
มู่อวิ๋นซีหันตัวไปแล้วมองมู่ซิ่วด้วยสายตาที่จริงจัง “ท่านพี่ เรื่องของท่านเมื่อวานนี้หลิ่วเย่ได้พูดออกมาหมดแล้ว พวกเรารู้แล้ว” นางมองไปยังบาดแผลบนหน้าผากของมู่ซิ่วอีกครั้ง “ที่จริงแล้วยาสร้างเนื้อที่ข้ามอบให้ท่านล้วนถูกมู่จื่อโหรวแย่งไปหมดแล้วใช่หรือไม่ ?”
“ข้าขอโทษ อวิ๋นซี” น้ำตาของมู่ซิ่วเอ่อล้นออกมาอย่างหนัก “ข้าไม่ควรที่จะโกหกเจ้า แต่ข้าไม่มีทางเลือก”
“มีทางเลือกสิ” มู่อวิ๋นซีกุมมือของมู่ซิ่วเอาไว้ แล้วมองนางอย่างแน่วแน่ “ท่านเพียงแค่บอกกับข้ามา ว่าท่านอยากจะออกจากจวนตระกูลเจี่ยหรือไม่ เลิกกับเจี่ยอี้ ท่านยินยอมหรือไม่?”