เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 60 ความไร้ยางอายอย่างสิ้นสุด อาการทรุดหนัก

“เจ้า……” มู่เซิ่งโกรธจนแทบจะหงายหลัง “สิ่งของล้ำค่าเช่นนั้นนำมาทาหน้าได้อย่างไรกัน?”
นั่นสิ สิ่งของล้ำค่าเช่นนั้นจะนำมาทาหน้าได้อย่างไร มู่อวิ๋นซีจะต้องโกหกเขาอยู่แน่นอน นางโกรธที่เมื่อวานนี้เขาตบนาง ดังนั้นถึงได้จงใจสร้างความลำบากให้แก่เขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าของมู่เซิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “อวิ๋นซี เจ้าคงจะไม่ได้ฝังใจเรื่องที่ท่านปู่น้อยตบหน้าเจ้าเมื่อวานนี้หรอกใช่ไหม ?เจ้าคิดดูในสถานการณ์เช่นนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าท่านย่าของเจ้าถูกเจ้ายั่วโมโหจนล้มป่วย และเกิดความไม่พอใจในตัวเจ้า ข้าตีเจ้าก็ถือว่าเป็นการลงโทษเจ้า เช่นนั้นคนอื่นจะได้ไม่มองเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ อีก ความหวังดีนี้ของปู่เจ้าพอจะเข้าใจหรือไม่ ?”
“ดังนั้น เมื่อวานนี้ท่านปู่น้อยทำไปก็เพื่อหวังดีกับข้าหรือเจ้าคะ?” มู่อวิ๋นซียิ้มออกมาอย่างสะกดออารมณ์เอาไว้ นางเองก็จะทำดีกับเขาสักครั้งเหมือนกัน
“แน่นอน!”
มู่เซิ่งมองไปยังมู่อวิ๋นซีอย่างเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยความจริงจัง “อวิ๋นซี เจ้าจะต้องจำเอาไว้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นลูกสาวของตระกูลมู่ เมื่อตระกูลมู่ดีขึ้นเท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถดีขึ้นได้ ทุกอย่างของเจ้าล้วนเป็นของตระกูลมู่ มา เอายาสร้างเนื้อมาให้ปู่ ปู่ขอดูสิว่าจะสามารถนำมันไปสร้างผลกำไรให้มากที่สุดได้อย่างไร”
อย่าว่ามู่อวิ๋นซีเลย แม้แต่แม่นมโจวที่อยู่ข้างๆ ยังต้องเบิกตากว้าง หลังจากผ่านสักพัก สุดท้ายนางก็ไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป “ท่านรองเจ้าคะ ยาสร้างเนื้อนั้นเป็นสิ่งของของคุณหนู ท่านเป็นผู้อาวุโสเหตุใดถึงได้เรียกขอสิ่งเหล่านี้จากผู้น้อยได้เจ้าคะ ?”
“ที่แท้แม่นมเองก็รู้ว่าข้าเป็นผู้อาวุโสของนาง เช่นนั้นในเมื่อนางมีของดี ก็ควรที่จะนำมาตอบแทนให้กับผู้อาวุโสใช่หรือไม่ ?” มู่เซิ่งชำเลืองสายตามองไปยังแม่นมโจว ก่อนจะหันกลับมามองมู่อวิ๋นซีอีกครั้ง “ดังนั้น อวิ๋นซี ไหนล่ะยาสร้างเนื้อ ?”
มู่เซิ่งยื่นมือมาตรงหน้าของมู่อวิ๋นซีอีกครั้ง สิ่งที่เขาพูดนั้นช่างมีเหตุผลและถูกต้องยากที่จะขัดแย้งได้
ช่างพูดได้ดีจริงๆ!
มู่อวิ๋นซีถึงกับลิ้นจุกปาก เป็นอีกครั้งที่มู่เซิ่งทำให้นางได้ปรับเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความไร้ยางอายอีกครั้ง
มุมปากของนางกระตุกรอยยิ้มสดใสขึ้นราวกับดอกบัวที่เบ่งบานในยามเช้า “ท่านรองมู่พูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ข้าเป็นคนของตระกูลมู่ และตระกูลมู่ก็เป็นของท่านรองมู่”
มู่เซิ่งพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

มู่อวิ๋นซีกวาดสายตามองไปยังแม่นมโจวก่อนจะหันกลับไปมองมู่เซิ่ง พลางดวงตาอันคมชัดนั้นก็กะพริบด้วยใบหน้าที่สงสัย “เช่นนั้นสิ่งใดที่เป็นของท่านย่าเจ้าล่ะคะ?แล้วสิ่งใดที่เป็นของข้าบ้าง?”
มู่เซิ่งถึงกับหน้าชา แล้วในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด องค์หญิงใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงกลับตื่นขึ้นมา “อ๊า!อ๊า!”
“ท่านย่า!”
มู่อวิ๋นซีไม่ได้สนใจมู่เซิ่งอีก แล้วรีบเดินเข้าไปช่วยองค์หญิงใหญ่เปลี่ยนผ้ารองคอที่เปียกไปด้วยน้ำลาย
“หมอหลวงจ้าวมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เข้ามารายงาน
“หมอหลวงจ้าว ท่านรีบดูเร็วเข้าว่าองค์หญิงใหญ่พอจะมีอาการดีขึ้นบ้างหรือไม่ ?” แม่นมโจวลุกขึ้นแล้วหลีกทางให้กับหมอหลวงจ้าว
มู่อวิ๋นซีหยุดการกระทำในมือลง แล้วมองดูหมอหลวงจ้าวตรวจดูอาการขององค์หญิงใหญ่อย่างเงียบๆ แต่เมื่อเห็นคิ้วของเขาที่ขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ นางก็ร้องกังวลออกมาอย่างอดไม่ได้ “หมอหลวง?”
“อาการในวันนี้ขององค์หญิงไม่ต่างอะไรกับเมื่อเลยขอรับ ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ……” หมอหลวงจ้าวกลืนคำพูดที่จะพูดจากนั้นกลับไป แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้ววันพรุ่งนี้ข้าจะกลับมาดูอีกครั้งขอรับ”
ทุกคนตกอยู่ในความกังวลใจมาแล้วหนึ่งวัน จนในวันถัดมาหมอหลวงจ้าวก็กลับมาตรวจดูอาการให้กับองค์หญิงใหญ่อีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของเขายิ่งดูย่ำแย่ลงไปอีก
“หมอหลวง?ท่านย่าของข้าเป็นอย่างไรกันแน่?”
หมอหลวงจ้าวดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นซี เขานั่งอยู่นานก่อนที่จะถวายการคำนับองค์หญิงใหญ่อย่างนอบน้อม แล้วหันไปพูดกับมู่อวิ๋นซี “คุณหนูรอง พวกท่านเร่งจัดเตรียมพิธีงานศพให้แก่องค์หญิงเถิด”
มู่อวิ๋นซีนิ่งอึ้ง ผ่านไปนานกว่าที่จะเข้าใจว่าหมอหลวงพูดถึงสิ่งใด “เหตุใดถึงต้องจัดเตรียมพิธีงานศพด้วย ท่านย่าไม่ได้เป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือเจ้าคะ ?”

ถึงแม้ว่าโรคหลอดเลือดสมองจะมีอาการขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่อาการเพิ่งกำเริบแล้วให้จัดเตรียมพิธีงานศพเลย
“ขอรับ!” หมอหลวงจ้าวถอนหายใจออกมา “องค์หญิงเป็นโรคหลอดเลือดสมองจริง แต่หลังจากที่ได้รับยาแล้ว อาการของหลอดเลือดสมองนอกจากจะไม่มีท่าทีดีขึ้นแล้ว กลับยังทรุดลงอีกด้วย เมื่อดูอาการกำเริบในตอนนี้แล้ว เกรงว่าองค์หญิงจะทนได้อีกไม่เกินเจ็ดวัน ……พวกท่านเร่งจัดเตรียมพิธีงานศพเถิด เพื่อที่พอถึงเวลาแล้วจะได้ไม่วุ่นวาย”
“จัดเตรียมอะไรกัน?เหตุใดต้องจัดเตรียมด้วย ?” มู่อวิ๋นซีโมโหขึ้นมา “ก็แค่โรคหลอดเลือดสมองเท่านั้น เหตุใดถึงต้องจัดเตรียมพิธีศพแล้ว ?หมอหลวงจ้าว!ท่านสั่งยาผิดไปหรือใช้ยาผิดไปใช่หรือไม่?”
“คุณหนูรองโปรดอย่าได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้” คราวนี้สีหน้าของหมอหลวงจ้าวบึ้งตึงทันที “ใบสั่งการรักษา และยาที่ใช้ขององค์หญิงล้วนถูกจัดเก็บในคลังของสำนักหมอหลวง ยิ่งกว่านั้นบันทึกเหล่านี้ล้วนมีหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบในทุกๆ วัน หากว่ามีส่วนใดผิดพลาด ไม่จำเป็นต้องรอให้คุณหนูรองมากล่าวถามหรอกขอรับ เพราะหมอหลวงจะต้องมาสอบถามข้าก่อนแล้ว”
“แต่ว่า……”
เมื่อเอ่ยปากพูดอีกครั้ง เสียงของมู่อวิ๋นซีก็เหือดหายไปราวกับถูกความโกรธเมื่อสักครู่นี้กลืนกินหายไปหมดแล้ว “ก็แค่โรคหลอดเลือดสมอง เหตุใดถึงไม่ไหวแล้ว ?”
นางค่อยๆ นั่งลงข้างเตียงขององค์หญิงใหญ่ มองดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวของนาง ตอนนี้หัวใจของนางราวกับถูกใครบางคนมาควักออกไปจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก นางเพิ่งจะได้สัมผัสถึงความรักของท่านย่า แต่นางกลับต้องจากนางไปแสนไกลแล้วงั้นหรือ ?
ในตอนที่องค์หญิงใหญ่ป่วยเป็นหลอดเลือดสมอง แม้ในใจของนางจะทุกข์อย่างมาก แต่กลับไม่เคยสิ้นหวังเลย เพราะนางรู้ว่าหากเพิ่งวิชาการรักษาของอาจารย์และศิษย์พี่ของนางแล้ว ขอเพียงแค่องค์หญิงใหญ่ยังมีลมหายใจ พวกเขาจะต้องช่วยนางกลับมาได้เป็นแน่
แต่ว่าตอนนี้เวลากลับเหลือเพียงเจ็ดวัยเท่านั้น และนางก็ไม่มีทางที่จะสามารถติดต่อไปยังหุบสิ้นทุกข์ได้เลยด้วย
เพราะในเดือนต้อนรับปีใหม่เช่นนี้ในทุกๆ ปีหุบสิ้นทุกข์จะทำการปิดหุบเขา ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ซึ่งตอนนี้หุบสิ้นทุกข์น่าจะทำการปิดหุบเขามาได้ห้าวันแล้ว

“คุณหนูฮั่วกับ……”
“มู่อวิ๋นซี รีบไปดูเร็วเข้าว่าข้าพาผู้ใดมา ?”
สาวใช้ยังไม่ทันได้กล่าวรายงาน ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวก็ได้พาตัวของหญิงสาวในชุดนางในคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว “น้องสาวผู้น้องของข้าสองวันนี้ต้องเข้าเวรอยู่ตลอด วันนี้เพิ่งจะมีเวลา ท่านชายจึงพานางมาด้วย”
“ขอบคุณยิ่งนัก” ดวงตาอันมัวหมองของมู่อวิ๋นซีประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง พลางจ้องมองไปยังหญิงสาวในชุดนางใน “หมอหญิงโจว ต้องรบกวนแล้ว!”
หมอหญิงโจวพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากที่หันไปโน้มเคารพหมอหลวงจ้าวแล้วจึงหันไปตรวจชีพจรให้กับองค์หญิงใหญ่เพื่อทำการตรวจดูอาการอีกครั้ง จากนั้นถึงค่อยหันไปสอบถามพวกของมู่อวิ๋นซีเกี่ยวกับอาการกำเริบขององค์หญิงใหญ่ พลางคิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย จนผ่านไปสักพักจึงเหลียวมองไปยังหมอหลวงจ้าว “ท่านรู้สึกว่าอาการโรคหลอดเลือดสมองขององค์หญิงใหญ่มีความแปลกประหลาดบ้างหรือไม่ ?”
หมอหลวงพยักหน้า “จริงที่ว่าความแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณใดๆ จู่ๆ ก็กำเริบขึ้น อีกทั้งยาเหล่านั้นที่สามารถใช้ในการยับนั้งหลอดเลือดสมอง กลับไม่ได้ผลใดๆ กับองค์หญิงอีกด้วย”
หมอหญิงโจวพยักหน้ารับอย่างเบาๆ
ดวงตาที่เพิ่งเปล่งประกายของมู่อวิ๋นซีเมื่อสักครู่นี้หมองลงไปอีกครั้ง ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวที่เห็นอย่างนั้นก็ถึงกับร้อนรนขึ้นมา “ท่านน้อง แม้แต่เจ้าเองก็ช่วยไม่ได้หรือ ?”
หมอหญิงโจวส่ายหน้า แล้วมองไปยังมู่อวิ๋นซีด้วยความเสียใจ “โชคชะตาฟ้าลิขิต ถึงข้าจะช่วยฝังเข้มให้แก่องค์หญิง รวมกับใบสั่งการรักษาของหมอหลวงจ้าวแล้ว ก็สามารถยื้อนางได้เพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น อย่างไรเสียพวกท่านก็เตรียมใจ ……”
“หนึ่งเดือน?” ดวงตาของมู่อวิ๋นซีประกายขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับกุมมือของ หมอหญิงโจว “เจ้าพูดว่าท่านย่าของข้ายังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนใช่หรือไม่ ?”
หมอหญิงโจวพยักหน้า “วิชาการรักษาของข้ามีขีดจำกัด และนี่ก็คือขีดจำกัดสูงสุดแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” มู่อวิ๋นซีมองไปยังพวกเขาทั้งสองด้วยใบหน้าที่ตื้นตันใจ ขอเพียงมีเวลาหนึ่งเดือน หุบสิ้นทุกข์ก็จะสิ้นสุดการปิดหุบเขาแล้ว เช่นนั้นนางก็สามารถไปเชิญศิษย์พี่มาดูองค์หญิงใหญ่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะต้องมีหนทางรักษาแน่นอน
จากนั้นมู่อวิ๋นซีก็ออกไปส่งฮั่วเสี่ยวเสี่ยวและหมอหญิงโจวด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างมาก และในตอนที่มู่อวิ๋นซีกำลังเตรียมจะกลับจวนจู่ๆ ก็ถูกหญิงในสมรสคนหนึ่งขวางทางไปเอาไว้
“ชุนถาว?” มู่หยุนมองไปยังชุนถาวที่สวมชุดของหญิงในสมรส “มู่จื่อโหรวคิดจะทำอะไรอีก?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset