เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 59 เจ้าเป็นใครกันแน่ ความไร้ยางอาย

มู่อวิ๋นซีชะโงกหัว “พรืบ” ขึ้นมาจากน้ำ แต่กลับไม่กล้ามองไปยังเฟิ่งเชียนเย่ พลางระมัดระวังหมุนตัวหันหลังให้กับเขาแล้วค่อยๆพูดออกมา “เจ้า เจ้าพูดมาเถิด”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเขินอาย หรือเพราะความร้อนที่อบอวลทำให้เสียงของนางดูแผ่วเบาอย่างมาก แต่นั่นกลับทำให้เฟิ่งเชียนเย่ได้ยินเป็นคำว่า “สระ สระผมหน่อย”
เฟิ่งเชียนเย่อึ้งชะงักเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปหยิบขันน้ำขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง
น้ำอุ่นถูกรดลงบนหัวของมู่อวิ๋นซีอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ไหลลงมาตามผมอันดกดำดุจหมึกของนาง
ร่างกายของมู่หยนุซีแข็งทื่อในทันที จากนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือขนาดใหญ่ที่กำลังกดอยู่บนหัวของนาง ทุกๆ นิ้วมือเป็นดั่งถ่านไฟที่กำลังแผดเผานาง จนทำให้นางไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ฝ่ามือขนาดใหญ่ค่อยๆ นวดหัวของนางอย่างเบาบางพร้อมกับน้ำอุ่นที่เทลงมา
ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆกดลงไปบนหัวพร้อมกับน้ำอุ่นที่เทลงมาค่อยลูบไล้ไปบนเส้นผมของนาง และในทุกๆ ครั้งหัวใจของนางก็ราวกับถูกกระตุ้นให้เกิดความหวั่นไหวขึ้น พร้อมกับความรู้สึกสบาย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะนางรู้สึกผิดไปเองหรือว่าอย่างไร แต่มู่อวิ๋นซีรู้สึกว่าน้ำร้อนที่ไป่หลิงเตรียมไว้ให้ครั้งนี้ร้อนอย่างมาก ร้อนกว่าปกติจนแทบจะต้มนางให้สุกอยู่แล้ว
ใช่แล้ว หากนางยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง อีกนิดคงจะต้องถูกต้มจนสุกเป็นแน่
“ท่านชายเย่!” นางตั้งหน้าตรงแล้วพูดโพร่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงอ่อนนุ่มแผ่วเบาดั่งเคย “เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ?”
มือของเฟิ่งเชียนเย่นิ่งชะงักลง ราวกับปลาเข้าไปติดแน่นอยู่ในแห ก่อนที่จะสะบัดหางแล้วแหวกว่ายไปมาอย่างเบาๆ
“ใต้เท้าโจวเป็นคนที่ทำงานอย่างมีหลักการมาโดยตลอด ในเมื่อวันนี้เขาได้ให้การพิพากษาในศาลแล้ว วันข้างหน้าต่อให้จะมีคนไปร้องขอ หรือติดสินบน เขาไม่มีทางเปลี่ยนคำพิพากเด็ดขาด ดังนั้น เจ้าไม่ต้องกังวลใจอีกแล้ว คราวนี้หลิ่วเย่หนหมดทางหนีแล้วแน่นอน ”
“อืม”
มู่อวิ๋นซีตอบรับอย่างเบาๆ พลางนึกถึงคำพูดของเจ้าสำนักอินทรีย์ที่ได้กล่าวไว้ก่อนจากไป ยังจะมีผู้ใดที่มีทรัพย์เทียบเท่ากับตระกูลมู่อีก ……เขาให้สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง
นางเหลือบกลับไปมองเฟิ่งเชียนเย่ที่กำลังเช็ดผมให้นางอยู่ “ท่านชายเย่ ขอบคุณเจ้าอย่างมาก”
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
เขาไม่พูดถึงข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับเจ้าสำนักอินทรีย์?

มู่อวิ๋นซีจ้องมองเฟิ่งเชียนเย่ด้วยสายตาที่มีคำถาม มีคำพูดมากมายหลั่งไหลออกมาเต็มปาก จนสุดท้ายมันก็ถูกพูดออกมาเสียที “เจ้าเป็นใคร เป็นใครกันแน่?”
เมื่อชาติที่แล้ว ในตอนที่นางได้พบกับเขา ตอนนั้นเขาถูกพิษจนหมดสติอยู่บนถนน ส่วนนางหลังจากที่ป้อนยาถอนพิษให้กับเขาเสร็จก็จากไปแล้ว ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ชาตินี้ อาจเป็นเพราะว่านางเร่งรีบไป ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่หมดสติ และเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง นางจึงได้ทำข้อตกลงกับเขา จากนั้นเขาจึงบอกให้นางเรียกเขาว่าท่านชายเย่
เฟิ่งเชียนเย่วางผ้าเช็ดในมือลง พร้อมชันเข่าลงหนึ่งข้างแล้วมองไปยังใบหน้าที่มีรอยฝ่ามือจางๆ ด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย
“เป็นผู้คุ้มกันของเจ้าอย่างไรเล่า ลืมไปแล้วงั้นหรือ ?เจ้าช่วยถอนพิษให้แก่ข้า ข้าก็จะช่วยเจ้าทำธุระเป็นเวลาครึ่งปี ”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ คือ……”
“อย่าขยับ!”
เฟิ่งเชียนเย่ขัดคำพูดของนาง พร้อมกับหยิบเอายาสร้างเนื้ออีกครึ่งหนึ่งที่มู่อวิ๋นซีวางเอาไว้บนโต๊ะออกมาวางไว้บนฝ่ามือ พลางใช้นิ้วกลางปาดเอาเนื้อยาค่อยๆ แตะลงไปบนใบหน้าของมู่อวิ๋นซี ก่อนที่จะละปลายนิ้วนั้นออกมาอย่างอ่อนโยน
ความเย็นค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในผิว ทันใดนั้นความเจ็บและแสบร้อนของแผลก็หายไป
แต่ทันใดนั้น เปลวไฟก็ปะทุขึ้นอีกครั้งบนบริเวณที่นิ้วของเขาได้เคยสัมผัสลงไป
มู่อวิ๋นซีรู้สึกว่าใบหน้าของตนคงจะแดงก่ำไปแล้ว “บาดแผลเพียงเท่านี้ใช้ยาสร้างเนื้อน่าเสียดายเกินไปแล้ว”
“น่าเสียดาย?นี่ไม่น่าเสียดายที่สุดแล้วต่างหาก” ในแววตาของเฟิ่งเชียนเย่ฉายแววห่วงใยออกมา “อย่าลืมไปสิ ว่าข้าเป็นผู้คุ้มกันของเจ้า ชีวิตและความปลอดภัยของเจ้าขึ้นอยู่กับข้า ส่วนมู่เซิ่ง ฮื้ม !”
“เจ้าอย่าทำอะไรผลีผลามเด็ดขาด ” มู่อวิ๋นซีรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย ” เขายังตายไม่ได้ ไม่ใช่เพราะข้าเห็นใจเขาหรอกนะ แต่การให้เขาตายไปง่ายดายแบบนี้ จะเป็นการดูถูกเขามากเกินไป”
“อีกอย่างหลังจากที่ได้รับช่วงต่อแดงดุจท้อ ข้าเพิ่งจะพบว่าธุรกิจการค้าจำนวนมากของตระกูลมู่ตกไปอยู่ในนามของเขาแล้ว หากเขาตายไปในตอนนี้ ทุกอย่างก็จะตกไปอยู่ในมือของลูกชายเขาทันที  “จากนี้อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องระวังตัวเสียหน่อย ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องไปจัดการ ไม่ได้อยู่ด้วย ”
“ได้”
เฟิ่งเชียนเย่จ้องมองมู่อวิ๋นซีอย่างจริงจังอีกครั้ง ก่อนที่จะหายตัวไป

“เจ้านาย!” เงามืดที่อยู่ด้านนอกจวนตระกูลมู่มาตั้งนานแล้วทันทีที่ได้เห็นก็รีบปรากฏตัวออกมา “ดีจริงๆ ที่ท่านมาเสียที”
“เรื่องอะไร เหตุใดถึงได้รีบร้อนเช่นนี้?”
“วันนี้ท่านชายใหญ่สมรสสนมขอรับ ซึ่งเขาเป็นผู้ที่ช่วยแนะนำให้กับท่านชายใหญ่ ”
เฟิ่งเชียนเย่ยิ้มเยาะ ดวงตาที่มองไปยังเงามืดพลันเย็นชาลง “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จำเป็นต้องมารายงานแก่ข้าด้วยงั้นหรือ?”
“สนมคนนี้ของท่านชายใหญ่ คือมู่จื่อโหรวแห่งครอบครัวลูกคนที่สองของตระกูลมู่ขอรับ ”
แววตาของเฟิ่งเชียนเย่ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น “หลายวันนี้ เขายังทำอะไรอีก ?”
“ในขณะที่เขาส่งคนไปผนวกร้านค้าต่างๆ ในตลาดซีซื่อ ก็ได้แอบสอบถามถึงที่อยู่ของท่านชายตงหลีด้วยขอรับ ซึ่งจากความเห็นของข้าน้อย เกรงว่าเขาคิดจะยืดตลาดซีซื่อขอรับ”
ตลาดซีซื่อ?
ตามที่ตัวเขารู้เกี่ยวกับเขาคนนั้นแล้ว หากเป้าหมายของเขามีเพียงแค่ตลาดซีซื่อเท่านั้นจริงล่ะก็ แล้วเขาจะรบเร้าให้ท่านชายใหญ่รับมู่จื่อโหรวเป็นสนมไปทำไม แล้วเขาจะจงใจจัดระเบียบให้กับผิงจุ่นลิ่งไปเพื่อะไร ตลาดซีซื่อและตลาดตงซื่อ คิดแล้วเขาคงอยากจะได้ทั้งหมดสิไม่ว่า ?ช่างไม่กลัวตายเสียจริง
“ไป!กลับกันเถิด”
“ไม่รู้ว่าถ้าเขาได้เห็นว่าเจ้านายยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะมีสีหน้าเช่นไรจริงๆ”
หลังจากที่สายลมพัดผ่าน ใบไม้แห้งปลิวว่อน ร่างของพวกเขาทั้งสองก็หายไปในพริบตา
ในเช้าวันถัดมา มู่อวิ๋นซีไปยังลานหย่งเหอ ซึ่งในขณะที่กำลังกล่าวถามเรื่องอาการขององค์หญิงใหญ่กับแม่นมโจว เสียงของสาวใช้ก็กล่าวขานขึ้นมา

“ท่านรองมู่มาเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีหันไปเห็นมู่เซิ่งที่มีใบหน้าฟกช้ำ เดินเข้ามาอย่างกะโผลกกะเผลกก็ถึงตกใจรีบลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว แต่ภายในใจกลับรู้สึกดีใจ
“ท่านรองมู่เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?” แม่นมโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวถามอย่างแปลกใจ
“พอดีไม่ทันได้ระวังจึงสะดุดลมไปทีหนึ่ง” มู่เซิ่งตอบกลับอย่างอึดอัดใจ เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้ล้มเพียงแค่ครั้งเดียว แต่สะดุดล้มแล้วสะดุดล้มอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหาก ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเช่นนี้ได้หรือ ?
“อวิ๋นซีก็อยู่ด้วยงั้นหรือ”
เขากระตุกมุมปากเล็กน้อย พร้อมกับหายใจเข้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหันมองไปยังแม่นมโจว “อาการขององค์หญิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
แม่นมโจวส่ายหน้า “ยังคงเป็นเช่นเดียวกับเมื่อวานเจ้าค่ะ ในส่วนที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้องรออีกสักครู่ให้หมอหลวงจ้าวมาแล้วถึงจะรู้เจ้าค่ะ”
มู่เซิ่งพยักหน้ารับ พลางหันไปมองยังองค์หญิงใหญ่ที่ยังคงนอนหลับอยู่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ “พี่สะใภ้ ท่านรีบดีขึ้นมาเถิด เห็นท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ใจของข้ารู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ”
เมื่อพูดไป เขาก็หันสายตามองไปยังมู่อวิ๋นซี “อวิ๋นซี เรื่องเมื่อวานนี้ ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว เจ้าอยากได้สิ่งใด โปรดบอกกับท่านปู่น้อยเถิด”
มู่อวิ๋นซีลดสายตาลง “ท่านรองมู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
“นั่นสมควรอยู่แล้ว” มู่เซิ่งหัวเราะแห้งๆ ออกมา “เจ้าดูบาดแผลนี้ของท่านปู่น้อยสิ สาหัสไปหน่อยหรือไม่?”
มู่อวิ๋นซีชะงักเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวรอให้หมอหลวงจ้าวมาแล้ว ให้เขาช่วยตรวจดูให้ท่านด้วยน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“บาดแผลเพียงเท่านี้ จะให้ไปรบกวนหมอหลวงได้อย่างไร” มู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้มู่อวิ๋นซีพลางยื่นมืออันอวบอิ่มไปหานาง
“ยาสร้างเนื้อของเจ้าให้ผลดีกว่าจินชวงเย่าไม่ใช่หรือ ?มา!เอาให้ปู่สักสองสามเม็ดสิ งานเทศกาลปีใหม่นี้ใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว ปู่ยังต้องไปร่วมงานรื่นเริงอีกมากมาย คงจะให้ออกไปด้วยใบหน้าที่มีบาดแผลเช่นนี้ไม่ได้หรอกใช่ไหมเล่า เช่นนี้ผู้อื่นจะหัวเราะตระกูลมู่ของเราเอาได้ง่ายๆ ”
เหอะ!
ที่ทำมาขนาดนี้ ที่แท้ก็ต้องการยาสร้างเนื้อนี่เอง คิดว่าจะสามารถหลอกนางได้ง่ายดายเช่นนั้นเชียว ไร้ยางอายเสียจริง !
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ท่านรองมู่ มันหมดแล้ว”
“หมดแล้ว?” ดวงตาของมู่เซิ่งเบิกกว้างในทันที
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า “เมื่อวานนี้ท่านตบหน้าข้าไปหนึ่งทีไม่ใช่หรือ ?ข้ารู้สึกเจ็บปวดบนใบหน้าอย่างมาก ดังนั้นจึงได้ใช้ยาสร้างเนื้อเม็ดสุดท้ายมาทาบนใบหน้าเสียแล้ว”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset