เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 69 แย่งชิง เจ้าว่าข้าเป็นสุนัข

“มีเรื่องอะไรกลางวันทำไมถึงไม่พูดเล่า มีเรื่องอะไรถึงไม่บอกกล่าวเจ้า ไม่บอกข้าให้พูดแทน ทำไมสองคนนั้นคุยยื้อยุดกับที่ประตูด้วย?” มู่จื่อหลันทลายความคิดเพ้อฝันของมู่ซิ่วอย่างไม่เกรงใจ
“ไม่ เป็นไปไม่ได้” ตามมู่ซิ่วแดงก่ำ
“ซิ่วซิ่ว” ภายในตามู่จื่อหลันเสียดสีถากถาง แววตามองที่รอยแผลเป็นบนหน้าผากนาง แผลเป็นรอยเส้นแล้ว ฉวยโอกาสที่จิตใจนางว้าวุ่นพูดว่า “แต่ทว่าคุณหนูรองท่านนี้ก็ดีกับเจ้าคนที่เป็นพี่สาวนาง แล้วนางให้ยาสร้างเนื้อกับเจ้าอีกใช่หรือไม่?”
มู่ซิ่วมองมู่จื่อหลันอย่างงุนงง “ยาสร้างเนื้ออะไรกัน”
มู่จื่อหลันยิ้ม “ข้าไม่ต้องการอะไรจากเจ้าแล้ว ดูท่าทำให้เจ้ากังวล รายแผลเป็นบนหน้าผากนั่น คุณหนูรองให้ยาสร้างเนื้อกับเจ้าทาใช่หรือไม่?”
“เปล่า” มู่ซิ่วจับที่หน้าผากอย่างมึนงง “สองวันนี้ข้าเป็นห่วงท่านย่าตลอด จะมีเวลาไปสนใจสิ่งนี้ได้อย่างไร ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันดีขึ้น สงสัยจะเป็นของยาจินชวงเย่าก่อนหน้านี้กระมัง”
มู่จื่อหลันจ้องมองมู่ซิ่ว มองแววตานางมิได้โกหก จึงเผยยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หายแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี เจ้าอย่าคิดมาก สุดท้ายคนเราไม่คิดอ่านกระทำการใด ย่อมประสบหายนะทั้งนั้น”
นางมองดูใบหน้าซีดขาวของนาง หันตัวเดินออกไปด้วยความพอใจ
มู่เซิ่งและฮูหยินเล็กเติ้งกำลังรออยู่ที่ด้านนอกลานหย่งเหอด้วยความร้อนใจ เห็นนางปรากฏตัวขึ้น ก็รีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหา “เป็นอย่างไรบ้าง มู่อวิ๋นซีให้ยาสร้างเนื้อให้กับนางหรือไม่”
มู่ซิ่วส่ายหัว “นางบอกว่าไม่มี ดูท่าทางนางคงไม่ได้พูดโกหก”
“ลูกเวร!” มู่เซิ่งด่าทอ “ถ้ารู้นะ น่าจะเผานางให้ตายตั้งแต่แรกซะ”
ด่าไปไม่กี่ประโยค เขาหันมามองฮูหยินเล็กเติ้ง ใบหน้าลำบากใจ “เจ้าว่ายาสร้างเนื้อนั่น ไม่มีจริงๆ แล้วใช่หรือไม่”
“ไม่มีทาง”ฮูหยินเล็กเติ้งเอ่ยทันที “ถ้าไม่ใช่ยาสร้างเนื้อ เหตุใดบาดแผลมู่ซิ่วถึงหายเร็วเช่นนี้? เจ้าเด็กคนนี้สับปลับ นางมองออกว่ามู่ซิ่วเป็นคนไม่ทันคนจึงแอบใช้ยาสร้างเนื้อกับนาง”
“นายท่าน” ฮูหยินเล็กเติ้งมองทางมู่เซิ่ง “ในเมื่อยาสร้างเนื้อไม่อยู่ในห้องของนาง เช่นนั้นก็ต้องอยู่ติดตัวกับนาง ในเมื่อนางไม่ยอมให้ พวกเราก็ไปแย่งชิง! ”
“นางจะไปแปลงดอกไม้มิใช่หรือ? พอนางออกจากเมืองไป เราก็ลงมือ ได้ยินว่าท่านชายจะไปส่งนางด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นก็เข้าไปได้พอดี ไม่ต้องพูดถึงยาสร้างเนื้อ แม้แต่ตระกูลมู่ เป็นของนายท่านทั้งสิ้น”
“ฮัดเช่ย!”

มู่อวิ๋นซีที่เพิ่งนำตัวเฟิ่งเชียนเย่ขึ้นรถม้าจามไม่หยุด
“คุณหนู” เสียงไป่หลิงดังขึ้นจากนอกรถม้า “ท่านจะไม่ให้ข้าน้อยไปด้วยจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“ไป่หลิง!” มู่อวิ๋นซีเปิดม่านมองไป่หลิงที่ค่อนข้างน้อยใจอยู่ “ถ้าเจ้าไปกับข้า ใครจะดูแลท่านย่าให้ข้าเล่า ใครจะช่วยข้าแอบให้ยาแก่คุณหนูใหญ่? เจ้าวางใจเถิด ข้าแค่จะทดสอบสูตรแป้งชาดเท่านั้น ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว”
ไป่หลิงพยักหน้า “เช่นนั้นคุณหนูระวังตัวด้วย”
มู่อวิ๋นซีปิดม่านลง มองทางมู่จื่อชวน “ท่านพี่ พวกเราไปเถิด”
“นั่งเรียบร้อย!” มู่จื่อชวนจูงม้าเดินไปทางประตูเมือง
“ท่านชายเย่?” มู่อวิ๋นซีกระซิบเรียกเฟิ่งเย่เชียนที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นบนรถม้า
เมื่อก่อนนางพึ่งกลับมาที่ลานชิงจื่อ ทันใดนั้นนางพบเฟิ่งเชียนเย่สลบอยู่บนพื้น บาดแผลบนร่างกายมีจุดที่เลือดไหลมิใช่น้อย หลังจากนั้นนางให้ยาโสมกับเขา เขาถึงฟื้นขึ้นมา เพียงแต่ไม่ค่อยรู้สึกตัว
“ไม่ตายหรอก” ริมฝีปากบางของเฟิ่งเชียนเย่ขยับ
“เจ้าอดทนไว้ รอถึงแปลงดอกไม้ตอนบ่ายก็ไม่เป็นไรแล้ว”
รอจนถึงแปลงดอกไม้ นางไม่กลัวให้คนอื่นพบเห็นเฟิ่งเชียนเย่แล้ว ถึงเวลานั้น นางจะบอกทุกคนอย่างเปิดเผยว่านางช่วยเฟิ่งเชียนเย่กลางทาง
“ข้าจะให้ยาเจ้า” นางเปิดตลับไม้จันทน์ เทยาสร้างเนื้อโรยลงไปบนปากแผลของเฟิ่งเชียนเย่อย่างแผ่วเบา “ใครทำร้ายเจ้ากันแน่?”
เฟิ่งเชียนเย่ยกมุมปากยิ้มซีด มองดวงตากลมใสของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าอยากจะแก้แค้นให้ข้าหรือ?”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า “ไม่เพียงอยาก ข้าลงมือแน่ๆ ”
เฟิ่งเชียนเย่ยื่นมือ มือเรียวยาวลูบบนหัวคิ้วนางที่กำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาเองตัวไม่ร้อนเหมือนเมื่อคืนนี้ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา
“อย่าขมวดคิ้วสิ น่าเกลียด!”

มู่อวิ๋นซีอึ้ง แปลกใจจริงๆ เดิมทีมือเขาเย็นๆ ตอนนี้กลับทำให้ที่เขาลูบไปร้อนขึ้นมา
หัวใจนางลนลาน เอียงหัวไปมา ปล่อยมือเขาลง หลังจากนั้นนางจ้องบาดแผลฉกรรจ์บนแผ่นหลังของเขา “ข้าจริงจังนะ อย่างไรเสียเจ้าคือองครักษ์ของข้า รังแกเจ้าเท่ากับรังแกข้า ตีสุนัขยังต้อง….”
ในรถอากาศเย็นเฉียบขึ้นมา มู่อวิ๋นซีหยุดปาก ราวกับนางสติหลุดลอย พูดพลาดไปแล้ว
“เจ้าว่าข้าเป็นสุนัขหรือ”
ดวงตาดำขลับของเฟิ่งเชียนเย่กำลังจ้องมองมู่อวิ๋นซี ทั้งร่างเขามีรังสีความเย็นชา
เขาพูด ว่าเขาเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่เขาชุบเลี้ยง บิดาเขากล่าว เขาเป็นเพียงสุนัขของตระกูลพวกเขา
ทันใดนั้นนางก็…..
ความเยือกเย็นผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจมู่อวิ๋นซีจนกลายเป็นร่างแห บีบรัดนางแน่น
สภาพท่าทางของเขาในตอนนี้ เหมือนตอนที่นางพึ่งเจอเขาครั้งแรกมาก แววตาที่เขามองนาง ราวกับต้องการชีวิตนางตลอดเวลา
“ท่าน….ท่านชายเย่….”
ดวงตามู่อวิ๋นซีร้ายกาจ ดวงตาทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าดำมืดราวกับราตรีในยามค่ำคืน มองไม่เห็นสว่างแม้แต่นิด
“เจ้าพูดว่าข้าเป็นสุนัข?”
มู่อวิ๋นซีจะร้องไห้แล้ว “ที่จริงข้าแค่…”

“ยู้ว!”
มู่จื่อชวนอยู่นอกรถม้าตะโกน “ยู้ว” ม้าหยุดในทันควัน
มู่อวิ๋นซีที่กำลังไม่ระวัง ตัวเอียงชนเจ้ากับเฟิ่งเชียนเย่ที่อยู่ด้านหน้า จมูกชนจมูก ปากชนปาก ชนกันอย่างแรง
ภายใต้ความเจ็บ ก็มีความอ่อนโยนนุ่มนวลที่ไร้สิ้นสุด
ปึ้ง! สมองมู่อวิ๋นซีเหลือแต่ความว่างเปล่า
ความอ่อนโยนนุ่มนวล หอมหวานดั่งบุปผา  ละลายความโกรธความคืนของเฟิ่งเชียนเย่ มันทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ทั้งหัวใจก็อ่อนลงทันตั้งตัวโดยอธิบายมิได้
“ขอ..ขอโทษ..”
มู่อวิ๋นซีดึงสติกลับมา ลนลานลุกขึ้น บังเอิญว่ากดบนร่างเฟิ่งเชียนเย่นั้น เขาทำเสียงอู้อี้ แล้วปัดมือมู่อวิ๋นซีที่วางบนหน้าอกเขาออกไปด้วยสัญชาตญาณบนมือของเขา
ปั้ง!
ไม่ห่างกันแม้นิดเดียว ปากของทั้งสองสัมผัสกันอีกครั้ง
มีกลิ่นคาวเลือดกระจายออกมาบริเวณริมฝีปากมู่อวิ๋นซี
เลือดไหลแล้ว นางอยากเอาลิ้นเข้าไปเลีย แต่ลิ้นหนึ่งที่นุ่มนวล เปียกชื้นเลียบาดแผลของนางได้เร็วกว่า
ฮึก! หัวสมองมู่อวิ๋นซีว่างเปล่าอีกครั้ง พลังทั้งร่างกายราวกับถูกลิ้นนั้นล่วงล้ำ จนร่างกายอ่อนยวบลงโดยไม่รู้ตัว แต่ได้ยินเสียงเฟิ่งเชียนเย่ร้องฮึก
เขาเจ็บหลัง
“ขอ…ขอโทษ….” มู่อวิ๋นซีลนลานลุกขึ้นอีกครั้ง สมองด้านหลังกลับถูกมือใหญ่ประคองไว้ดึงกลับเข้าไป ประสานกับริมฝีปากนั้นพอดี
“ท่าน..”
“พวกเจ้าจะกำลังทำอะไร?” เสียงมู่จื่อชวนกำลังโมโหดังขึ้นมาทันที
“ภูเขานี้ข้าเป็นผู้เปิด ต้นไม้นี้ข้าเป็นผู้ปลูก ถ้าอยากจะเดินผ่านไปที่นี้ ต้องจ่ายค่าผ่านทาง” มีเสียงดังไล่ตามมา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset