“ฉีอินมาคารวะท่านชาย คารวะคุณหนูรอง!”
ไม่รอพ่อบ้านอู๋แนะนำ นางก็ได้คารวะมู่จื่อชวนกับมู่อวิ๋นซีแล้ว จากนั้นมองไปหาพ่อบ้านอู๋ “ข้าเห็นนางอู๋กำลังตามหาท่านอยู่ เกรงว่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า”
เห็นพ่อบ้านอู๋มีสีหน้าที่ลำบากใจ มู่อวิ๋นซีเอ่ยปากว่า “มีเรื่องเจ้าก็ไปทำเลย ”
“ขอประทานอภัย “พ่อบ้านอู๋กล่าวขอโทษกับท่านสองคน มองไปทางฉีอิน “รบกวนแม่นางฉีอินพาท่านชาย คุณหนูไปพักผ่อน”
ฉีอินพยักหน้า นำพามู่อวิ๋นซีกับมู่จื่อชวนไปข้างหน้าต่อ ชี้ไปที่น้ำพุที่มีไอร้อนแล้วพูดว่า “ท่านชาย คุณหนูรองพวกท่านดูสิ นี้ก็คือน้ำพุของแปลงดอกไม้ สวนลานที่พวกท่านอยู่ก็มีน้ำที่รองมาจากน้ำพุ หากว่าอยากจะอาบน้ำ อาบในห้องได้เลยเจ้าค่ะ”
อ้อมจากน้ำพุ ต่อจากซากุระพื้นหนึ่ง ก็คือลานที่สวยงาม ตรงกับประตูคือซากุระที่สวยและสูงใหญ่ ด้านล่างของซากุระคือชิงช้าที่เกาะไปด้วยเถา เถากำลังคายดอกสีม่วงที่เหมือนกระดิ่งเป็นดอกๆ
“รู้ว่าคุณหนูรองจะมา พ่อบ้านอู๋ก็สั่งคนมาเก็บกวาดลานซากุระออกมา “ฉีอินมองไปหามู่จื่อชวนกับมู่อวิ๋นซีที่กำลังสังเกตบรรยากาศของสวนอยู่ “ท่านชาย คุณหนู เชินด้านในเจ้าค่ะ ”
“เดี๋ยวก่อน” มู่อวิ๋นซีเหลือบมองมู่จื่อชวน
ทั้งสองคนเอาเฟิ่งเชียนเย่ที่อยู่ในรถม้าลงมา
ฉีอินตะลึงทันที เสื้อคลุมไหมสีดำนั้น ท่านชายหน้าขาวเหมือนหยกขาวนั้น ค่อย…ทีละก้าว ทีละก้าว เปรียบเสมือนเหยียบดอกบัวมา แม้แต่การชำเลืองมองที่ผ่านเธอไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เหมือนตามด้วยกลิ่นดอกไม้จางๆ เพียงแปบเดียวก็ทำให้นางใจละลายแล้ว
“สมกับเป็นจวนตระกูลมู่จริงๆ !”เฟิ่งเชียนเย่ชมจากใจ
ลมฤดูใบไม้ผลิพาดปลิวไปหนึ่งร้อยลี้ ทิวทัศน์ที่ดอกไม้สวยทุกดอกไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้านำทิวทัศน์ของวสันตฤดูเก็บไว้ในเหมันต์ฤดู อีกทั้งยังเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก นี่ไม่เพียงแต่เป็นแค่มีใจก็สามารถทำได้ ยิ่งกว่านั้นคือต้องใช้เงินจำนวนมาก
“ท่านนี้คือ?”ฉีอินเดินก้าวหน้าขึ้น แววตาที่มองเฟิ่งเชียนเย่แทบจะมีแสงเปล่งประกาย
“ท่านชายเย่ เขาไม่ค่อยสบาย พักผ่อนอยู่นี้วักสองสามวัน”
มู่อวิ๋นซีกับมู่จื่อชวนประคองเฟิ่งเชียนเย่เข้าห้อง จัดการเขาเสร็จแล้ว เมื่อหันมา ฉีอินก็เด็ดซากุระมาหนึ่งช่อแล้ว ไม่เหมือนปกติเสียบไว้บนแจกัน แค่เพียงผูกกิ่งไม้เข้าด้วยกันแล้ววางไว้บนโต๊ะยาวข้างหน้าต่าง
ไฟในห้องสว่างขึ้นเหมือนจะเป็นเพราะเช่นนี้
“นี่มันสวยจริงๆ เลยนะ”มู่จื่อชวนชื่นชม
“ท่านชายชมเกินไปแล้ว แปลงดอกไม้ไม่มีอย่างอื่น เพียงแต่ดอกไม้เยอะ โดยเฉพาะซากุระ บานเกือบเสมอไม่ร่วงโรย “ฉีอินหันแววตามองเฟิ่งเชียนเย่ “ท่านชายเย่ชอบหรือไม่ ถ้าไม่ชอบ ข้าเปลี่ยนดอกไม้อย่างอื่นให้ท่าน ”
เฟิ่งเชียนเย่ไม่บอกได้หรือไม่ได้ เพียงแต่มองดูมู่อวิ๋นซี
มู่อวิ๋นซีเข้าใจ “งั้นเจ้าพักผ่อนดีๆ ละ ข้าไปส่งท่านพี่”
เมื่อส่งมู่จื่อชวนออกจากลานซากุระ มู่อวิ๋นซีก็นั่งลงชิงช้าที่อยู่ใต้ต้นซากุระ แกว่งไปแกว่งมา ดูดอกซากุระร่วงโรยเป็นแผ่นๆ เวลาผ่านไป หันมองฉีอินข้างนางที่มีเรื่องค้างค้าใจ “เจ้ามีไรจะพูด พูดเลย”
ตั้งแต่มู่จื่อชวนไปแล้ว ฉีอินก็เป็นสภาพที่จะพูดไม่พูดอยู่เช่นนี้ นางไม่มีความอดทนที่จะรอต่อไปอีกแล้วจริงๆ เมื่อคืนนางดูเฝ้าเฟิ่งเชียนเย่มาทั้งคืน รถม้าก็กระแทกมาทั้งทาง ตอนนี้กำลังง่วงเป็นระยะๆ
“ถ้าลำบากจริง ก็ไม่ต้องพูดแล้ว “มู่อวิ๋นซีลุกขึ้นจากชิงช้า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูรอง “ฉีอินเร็วกว่ามู่อวิ๋นซีหนึ่งก้าว ขวางนางไว้ “ไม่ใช่ลำบาก ข้ากำลังคิดว่าจะพูดกับคุณหนูรองเยี่ยงไร ที่จริง ต่อให้ข้าไม่พูด ผ่านไปช่วงหนึ่ง คุณหนูรองก็อาจจะรู้ แต่ช่วงนี้ ก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับแปลงดอกไม้อยู่บ้าง”
“ความเสียหายพวกนี้คุณหนูรองอาจจะไม่ได้สนใจ แต่ข้ารู้สึก เขื่อนพันไมล์ถูกทำลายในรังมด เรื่องแบบนี้หักไม่ห้าม ย่อมชักนำให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม ย่อมไม่ดีเสมอ “ฉีอินกังวลอย่างยิ่ง
“เรื่องอะไร?เจ้าพูดเถิด”
ฉีอินเหลือบมองที่ประตูอีกครั้ง จากนั้นจึงชิดใกล้มู่อวิ๋นซีพูดด้วยเสียงต่ำ “นางอู๋หาพ่อบ้านอู๋อย่างรีบร้อนเช่นนี้ อาจเป็นเพราะอู๋ฉางเสิ้งลูกชายของพวกเขาสร้างปัญหาอีกครั้งเจ้าค่ะ ข้าก็เห็นหลายครั้งแล้ว เขาขโมยดอกไม้จากแปลงดอกไม้ไปขายที่ด้านนอก”
“มีเรื่องอย่างนี้รึ?”สีหน้าของมู่อวิ๋นซีดูเคร่งขรึมขึ้น
ฉีอินพยักหน้า “ตอนนี้ตรงกับปีใหม่ ในเมืองบ้านคนธรรมดาไม่ได้ติดตั้งเรือนกระจก เพราะฉะนั้นดอกไม้ในแปลงของเรานี้ก็ถือว่าเป็นของที่หายาก ก็เหมือนดอกเบญจมาศที่ไม่สะดุดตา ในฤดูใบไม้ร่วงก็แค่สิบกว่าเหวินหนึ่งกระถาง แต่ว่าตอนนี้อย่างน้อยต้องขายถึงเงินสองตำลึงหนึ่งกระถาง ราคาพลิกกลับถึงยี่สิบเท่าเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “นอกจากเขา ยังมีคนอื่นที่ทำแบบนี้รึ?”
“คนอื่นต่อให้ไปขโมย ก็ขโมยแค่ดอกเบญจมาศ ดอกกุหลาบที่มีอยู่ทุกที่แล้ว ส่วนดอกพวกนี้ เข้าสายตาของอู๋ฉางเสิ้งไม่ได้แน่นอน เข้าจะขโมยดอกเบญจมาศ ก็ขโมยดอกเบญจมาศสีเขียว ถ้าขโมยดอกโบตั๋น ก็ขโมยดอกโบตั๋นสองสี ดอกพวกนี้ถึงจะเป็นฤดูกาลปกติราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้ หนึ่งกระถางอาจจะขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึง”
“แต่ดอกไม้แต่ดอกไม้อันล้ำค่าเหล่านี้ แม้แต่ในแปลงดอกไม้ของเราก็มีจำนวนจำกัด น้อยไปหนึ่งถาง ก็จะต้องรับรู้แน่นอน ก่อนหน้านี้ก็เป็นพ่อบ้านอู๋ช่วยเขาปกปิดไป ทว่าครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาแอบขายอะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ ”
มู่อวิ๋นซีจิกตาเบาๆ “ถ้าอย่างที่เจ้าพูด อู๋ฉางเสิ้งขโมยดอกไม้ในแปลงไม่ใช่สองสามวันแล้วสิ ก่อนหน้านี้ฮูหยินเล็กหลิ่วรับรู้เรื่องนี้หรือไม่?”
ฉีอินพยักหน้า “รู้เจ้าค่ะ ฮูหยินเล็กหลิ่วเคยลงโทษตีเขาไปหนึ่งครั้ง บอกว่าหากยังทำซ้ำ ก็จะให้เขาทั้งบ้านออกไปจากแปลงดอกไม้”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด มีเรื่องข้าค่อยหาเจ้า”
ฉีอินลังเลไปแป๊บหนึ่ง “คุณหนูรองอย่างปล่อยไว้ไม่สนอย่างเด็ดขาด หญ้าและต้นไม้ที่นี่ล้วนเป็นการทุ่มเทกำลังกายและใจขององค์หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
“เจ้ามีใจแล้ว ตอนอาหารค่ำ เจ้าให้พ่อบ้านอู๋พาอู๋ฉางเสิ้งมาพบข้าที่นี่”
ส่งฉีอินเสร็จ มู่อวิ๋นซีเดินตรงไปที่ห้องของเฟิ่งเชียนเย่ หลังจากยืนยันว่าเขาไม่มีไข้อีกแล้ว ก็ล้มลงบนด้านข้างตั่งนอนเตี้ย หลับไปอย่างสนิท
นางเพิ่มนอนหลับ ซึ่งแต่เดิมบนตั่งนอนเฟิ่งเชียนเย่ที่นอนหลับอย่างสนิทอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่ที่เข้มเหมือนหมึก
เขาค่อยๆ ลุกขึ้น ก้าวไปที่ตั่งนอนเตี้ยทีละก้าว นั่งลง จ้องมองหญิงที่นอนสนิทอยู่บนตั่งนอน มองดูขนตาที่ปิดแน่ของนาง มองดูจมูกที่พัดโบกเล็กน้อย หายใจเข้าอย่างสม่ำเสมอ ดูหน้าอกของเธอนูนขึ้นลงตามด้วยลมหายใจ
ผ่านไปนานๆ เขายกมือนำปิ่นปักผมกระดูกที่ปักไว้บนผมนางออกมา ผมที่ดำเข้มก็เทลงบนหมอน และเขาก็ยกมือหยิบผมเส้นหนึ่งที่อยู่บนใบหน้าของนางไปสอดไว้หลังหูนาง
เจ้าหนูนี้!นอนหลับแล้วเงียบ อ่อนโยน เชื่อฟัง ดั่งแมวตัวน้อยที่อ่อนแอ แต่ที่จริงแล้ว เขารู้ ว่ากรงเล็บเล็กๆ ของนางคมมากเชียว
เหมือนกับว่าตั้งแต่รู้จักนางครั้งแรกมา ไม่ว่าในใจนางจะตื่นตกใจมากเท่าไหร่ สถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด นางจะไม่ท้อถอย ยังคงเงยหน้าขึ้น ย้อนลมเดินไปสู่ข้างหน้าทีละก้าวๆ ต่อให้หัวแตกเลือกออก ก็จะไม่ยอมถอยหลัง
เขาโน้มตัวเล็กน้อย นำริมฝีปากไปประทับบนหน้าผากที่สะอาดของนาง
คนที่นอนอยู่ส่งเสียงฮึ่มฮึ่มสองครั้ง มุมปากเฟิ่งเชียนเย่ก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยขึ้น ปากก็เลื่อนลงอีก กำลังจะประทับลงไป นัยน์ตาหดตัวอย่างกะทันหัน
เขาค่อยๆ ลุกขึ้น อุ้มคนบนตั่งนอนเตี้ยขึ้นขมวดคิ้ว ค่อยๆ เดินไปที่ตั่งนอนใหญ่ที่เขานอนไปเมื่อครู่ ห่มผ้าห่มให้นาง วางมุ้งลง แล้วค่อยพูด “เข้ามาเถิด”