“กินข้าว”
“กินข้าว?”ฉีอินแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เตือนว่า “คุณหนู ท่านรองมู่ไม่เหมือนฮูหยินเล็กมู่ที่หลอกลวงง่ายเช่นนั้นเจ้าคะ ถ้าหากเขา……”
“ข้าหิวแล้ว เรื่องพรุ่งนี้พรุ่งนี้ค่อยพูดเถิด “มู่อวิ๋นซีตัดขัดคำพูดของฉีอิน
“เจ้าค่ะ!”ฉีอินกลืนคำพูดกลับลงไป เดี๋ยวก็นำอาหารค่ำมาส่ง
มู่อวิ๋นซีปฏิเสธความดีของเธอ ถือกล่องอาหารเข้าไปห้องที่เฟิ่งเชียนเย่อยู่
“ท่านชายเย่ ทานข้าวแล้ว!”
นางวางโต๊ะเตี้ยไว้บนตั่งนอน นำขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่อยู่ในกล่องอาหารออกมา “นี่คือขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่ทำด้วยดอกกุหลาบสด ดอกจำปี และกลีบดอกเบญจมาศเจ้าลองชิมดู”
“ยังมีขนมกุหลาบมันขาว ไป่เหอปลาแผ่น หอมหมื่นลี้ผัดซานจา เต้าหู้อบหวยฮวา โจ๊กดอกท้อ” นางนำอาหารแต่ละอย่างวางไว้บนโต๊ะเตี้ย “ถือได้ว่าเป็นลักษณะเด่นของแปลงดอกไม้แห่งนี้ ทุกอย่างก็มีดอกไม้สดประกอบ”
มู่อวิ๋นซีนั่งลงตรงหน้าเฟิ่งเชียนเย่ ยิ้มหวานๆ ใช้ตะเกียบคีบมันขาวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “ว้าว——อร่อยจังเลย เข้าปากละลาย ยังมีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ ท่านชายเย่ เจ้ารีบชิมดูสิ”
เฟิ่งเชียนเย่มองดูหญิงตรงหน้าอย่างนิ่ง “เจ้า ไม่มีอะไรที่อยากถามข้ารึ?”
“อา?”มู่อวิ๋นซีมองดูเขา คีบซานจามาอันหนึ่ง “ถ้าเจ้าอยากพูด ก็ต้องบอกข้าแน่นอน แต่ถ้าเจ้าไม่อยากพูด ต่อให้ข้าถาม เจ้าก็ไม่พูดรึ”
วันนั้นนางอาบน้ำอยู่ จู่ๆ เขาก็โผล่มา เธอโพล่งถามว่าเขาเป็นใคร? ข้าก็พูดมั่วผ่านด่านไป
เฟิ่งเชียนเย่ตกตะลึงน้อย ก็หยิบมันขาวขึ้นมาหนึ่งชิ้น เหมือนที่นางพูด หวานนุ่ม พร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้
“ข้าไม่ได้แซ่เย่ เย่ คือชื่อของข้า พูดอย่างแท้จริงว่า ชื่อของข้าคือเชียนเย่ เชียนเย่!”
เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเฟิ่งเชียนเย่ก็จางลงทันที
มู่อวิ๋นซีตกตะลึงน้อย จู่ๆ ก็เอื้อมมือเล็กไปจับมือใหญ่ที่ถือตะเกียบไว้ “ถึงจะเป็นเชียนเย่* เจ้าก็เคยผ่านมันมาพอแล้ว พอสมครัวแล้ว เบิกเมฆเห็นตะวัน นับตั้งแต่วันนี้ไปจะมีแต่แสงสว่าง”(*เชียนเย่ แปลว่าหนึ่งพันคืน
เฟิ่งเชียนเย่เงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาที่สดใสของนาง
มู่อวิ๋นซีพยักหน้าอย่างหนัก สื่อว่าสิ่งที่นางพูดนั้นไม่ได้ผิด
ความร้อนของควันที่ผสมผสานกับกลิ่นดอกหอมลอยขึ้นข้างกายทั้งคู่ เขาผ่านความมืดมามากพอแล้ว เพียงพอแล้ว
กลางคืน สีจางลงอย่างเงียบๆ อบอุ่น ดวงตะวันสีแดงค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาศูนย์กลางทีละน้อย
คนสองคนที่อยู่ลานซากุระ คนหนึ่งใช้เถา ดอกไม้ถักพวงดอกไม้ อีกคนกำลังซ่อมแซมชิงช้าที่จินเยว่ทำเสียเมื่อวาน
“ท่านชายเย่ เจ้าระวังหน่อย อย่าดึงโดนแผล” มู่อวิ๋นซีนำดอกไม้สีม่วงดอกสุดท้ายในมือใส่ลงในพวงดอกไม้
“เสร็จแล้ว “เฟิ่งเชียนเย่ปล่อยมือ ชิงช้าแกว่งไปแกว่งมาเบาๆ ใต้แสงแดด
“ดีมากเลย!”มู่อวิ๋นซีเดินไปอย่างรวดเร็ว “เพื่อแสดงความขอบคุณของข้า อันนี้……”นางเอาพวงดอกไม้ที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมากะทันหัน ยืดขายืนเขย่งนำพวงดอกไม้ใส่ไว้บนหัวเฟิ่งเชียนเย่ “ถือว่าเป็นของขวัญขอบคุณ”
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สังเกตชายตรงหน้า เสื้อดำเหมือนหมึก หน้าขาวเหมือนหยก เพิ่มพวงดอกไม้สีม่วงเข้าไป ไม่ได้ดูไม่เหมาะสม กลับยังทำให้เขาดูหล่อราวกับปิศาจ สวย มีเสน่ห์มากกว่า
นางหันสายตาไปดูฉีอินที่กำลังเดินช้าๆ เขามาที่ลานซากุระ “เป็นไงบ้าง สวยไหม?”
ฉีอินได้ดูอึ้งไปนานแล้ว ไม่ได้ยินมู่อวิ๋นซีพูดอะไรไป จนรูปเงาของเฟิ่งเชียนเย่หายไปในลานถึงหันกลับมามองมู่อวิ๋นซี “คุณหนู ท่านรองมู่มาแล้ว เชิญท่านไปที่ห้องดอกไม้ทางด้านทิศตะวันตก ท่านคิดออกจะทำไงดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“อวิ๋นซี!”
มู่อวิ๋นซียังไม่ได้ตอบ เสียงเฟิ่งเชียนเย่ก็ดังขึ้นในห้อง
“มาแล้ว!”มู่อวิ๋นซีตอบกลับไปคำหนึ่ง เดินเข้าไปอย่างเร็ว สักครู่ก็ออกมา “ฉีอิน เจ้าช่วยข้าหาข้ารับใช้มาสองคน”
“คุณหนู นั้นคืออะไร?”ฉีอินมองกล่องสีแดงที่ข้ารับใช้สองคนยกอยู่อย่างสงสัย “ท่านคงไม่ใช่จะเตรียมของขวัญให้ท่านรองมู่ จริงหรือไม่เจ้าคะ?ข้าดูสีหน้าของเขาไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”
“เดี๋ยว เจ้าก็รู้แล้ว”
ในห้องดอกไม้ทางด้านทิศตะวันตก สีหน้ามู่เซิ่งเพียงแต่ไม่ดีสักเท่าไหร่ละ เกือบจะโมโหควันออกหูแล้ว
พ่อบ้านอู๋ขอประทานผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังถูกเตะหลายครั้งติดต่อกัน พอหันหลังมา ก็เห็นมู่อวิ๋นซีเข้ามาพอดี ก้าวเท้าใหญ่ไปข้างหน้า ยกมือก็ตบไปที่หน้าของนางเลย
มู่อวิ๋นซีเตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว บิดเอวหลบไป หลีกเลี่ยงไปได้ มองท้าทายมู่เซิ่งที่กำลังโมโหอยู่ “ท่านรองมู่ นิสัยที่เห็นหน้าแล้วตบเขาเนี้ยมันไม่ดีเลยนะ ต่อให้ข้ามียาสร้างเนื้อมากแค่ไหน ก็ทนไม่ได้กับการทำลายแบบนี้”
“ไอ้กรรมเวร!”มู่เซิ่งโกรธจนหายใจเข้าจมูกหอบอย่างหนัก หันตามองมู่จื่อโหรวที่กำลังดูละครดีอยู่ “ข้ารู้ว่าเจ้ากับไม่ถูกกันมานานจื่อโหรว แต่ตอนนี้จื่อโหรวมาแทบเหมือนจวนเจ้าพระยาหย่งชาง หากเจ้าเคารพนางก็แสดงว่าเจ้าไม่เคารพจวนเจ้าพระยาหย่งชาง เจ้ารู้ไม่?”
“ไอ้กรรมเวร ยังกล้าพูดว่าจะเผาแปลงทิ้ง?เจ้ารู้ไม่ว่านี่เป็นเลือดเนื้อของท่านย่า ท่านพ่อเจ้า เจ้ากล้าดียังไงที่คิดจะทำลายมันไปเช่นนี้ มู่อวิ๋นซีข้าดูออกแล้ว มอบแดงดุจท้อให้เจ้า เป็นความผิดพลาดจริงๆ เลย”
พึ่งพูดไปสองคำ หางจิ้งจอกก็ซ่อนไม่อยู่แล้ว
มู่อวิ๋นซีหัวเราะเยาะเย้ย ไม่ถอยแม้แต่นิดเดียว “อยากให้ข้าเคารพนาง นางก็ต้องทำเรื่องที่ให้ข้าน่ายกย่องสิ เอาไฟเผาแปลงดอกไม้ ตกลงเป็นข้าเสนอก่อน หรือนางเสนอก่อน ท่านรองมู่ เจ้าทำความเข้าใจแล้วรึ?”
ฉีอินแอบดึงมู่อวิ๋นซี พูดกับท่านรองมู่เช่นนี้ คงไม่ได้อะไรดีรึ?
มู่อวิ๋นซีดึงแขนเสื้อจากมือฉีอินออก ไม่กลัวมู่เซิ่งแม้แต่ซิกเดียว ต่อให้นางขอยังไง ประจบประแจงอย่างไม่รู้อาย มู่เซิ่งก็ไม่อาจปล่อยนางไปได้ เช่นนี้ ทำไมนางต้องก้มหัวให้กับเขาด้วย?
“เจ้า……”มู่เซิ่งโกรธมาก “เจ้ายังจะมีเหตุผล?เรื่องกุหลาบหินแดงเกิดอุบัติเหตุ เป็นความผิดเจ้าอยู่แล้ว จื่อโหรวพูดเจ้าสักสองคำจะเป็นไรไป?”
“ท่านรองมู่ เป็นความผิดข้าเอง ไม่เกี่ยวกับคุณหนู “พ่อบ้านอู๋ดิ้นรนลุกขึ้น
“ไสหัวไป!”มู่เซิ่งเตะไปอย่างแรง มองมู่อวิ๋นซีอย่างไม่ยอดแพ้ “เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าหาคนมารับโทษแทน เรื่องนี้ก็จะถูกปกปิดไปได้”
“พ่อบ้านอู๋ เจ้าถอยไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า “มู่อวิ๋นซีห้ามพ่อบ้านอู๋ที่จะลุกขึ้นขอมู่เซิ่งอีก แล้วมองมู่เซิ่ง “รายการกุหลาบหินแดงนี้หลิ่วเย่เป็นคนรับเอง ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นมา ถ้าเจ้าอยากโทษจริง คนแรกที่ต้องโทษก็ต้องเป็นหลิ่วเย่ซินะ?”
“เจ้านี่มันเก่งจริงเลย ยังจะโยนโทษไปให้คนตาย?”มู่เซิ่งหัวเราะเยาะเย้ย สีหน้าเข้มเย็นลง พูดเสียงดังว่า “มู่อวิ๋นซี เจ้าไม่คู่ควรที่จะดูแลธุรกิจสกุลมู่ นับแต่วันนี้ไป แดงดุจท้อ แปลงดอกไม้……”
นัยน์ตาของเขาประกายแสงสว่างไสวผ่านนัยน์ที่สว่างของมู่จื่อโหรว หยุดไว้ที่ฮูหยินเติ้งที่อยู่ข้างๆ “มอบให้ฮูหยินเติ้งว่าการดูแล”
เขาหันมองมู่อวิ๋นซี ด้วยหน้าตาดุร้าย”คนมา!นำมู่อวิ๋นซีมัดไว้ ส่งไปที่จวนเจ้าพระยาหย่งชาง จะตี จะฆ่า แล้วแต่ท่านเลย!”
ว่าแล้ว ตราบใดที่ยังมีโอกาส มู่เซิ่งก็จะเอาเขาให้ตาย
มู่อวิ๋นซีมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ท่านรองมู่ หากท่านย่าข้าตื่นมา เจ้าจะอธิบายกับท่านอย่างไร?”
“รอนางตื่นแล้วค่อยว่ากัน” มู่เซิ่งไม่สนใจ “ยังนิ่งเฉยไว้ทำไมละ มัดสิ!”