เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 77 ไม่ได้ยิน เป็นพวกเจ้าที่ตาบอด

“ฮูหยินเล็กเติ้ง อย่าโกหกเลย” มู่อวิ๋นซีไม่ไว้หน้ามาก “เมื่อครู่ท่านรองมู่พูดชัดเจน เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ต่อไปแดงดุจท้อและแปลงดอกไม้ทั้งหมดนั้นต้องยกให้ท่านเป็นผู้ดูแล”
“นายท่านพูดด้วยความโกรธ ไม่เป็นความจริง” ฮูหยินเล็กเติ้งพยักหน้าใส่มู่เซิ่งอย่างถี่ๆ การฟ้องร้องจวนเจ้าพระยาหย่งชาง ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เกรงว่าพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
มู่เฉิงหน้าดำคล้ำราวก้นหม้อ แต่จำต้องพูด “เมื่อครู่ข้าแค่พูดด้วยความโกรธ เจ้าคือผู้ดูแล”
“ท่านรองมู่พูดว่าอะไร? เสียงมันเบาเกินไป ข้าไม่ได้ยิน” มู่อวิ๋นซีเม้มเส้นผมที่ห้อยอยู่ข้างหูไปเกี่ยวไว้ที่หลังหู
มู่เซิ่งโมโหมาก แต่ก็อดไม่ได้จึงต้องยกเสียงให้ดังขึ้น “ข้าว่า เจ้า มู่อวิ๋นซียังคงเป็นผู้ดูแลแปลงดอกไม้และแดงดุจท้อ”
“จริงเหรอ?” มู่อวิ๋นซีทำหน้าสงสัย “ท่านคงไม่ใช่เช้าออกคำสั่งเย็นก็เปลี่ยนแปลง ฉวยโอกาสที่ท่านย่าของข้าป่วย แล้วก่อเรื่องเหลวไหลกระมัง?”
“เขากล้า?” ไม่รอให้มู่เซิ่งได้หายใจ ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวก็พูดออกมาอย่างชอบธรรม “ถ้าเขากล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในช่วงที่องค์หญิงใหญ่ป่วยหนัก องค์หญิงใหญ่ที่โกรธมากจนทำให้อาการป่วยหนักขึ้น เจ้าวางใจเถิด พี่ชายข้าเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไป”
ใบหน้าโกรธจัดของมู่เซิ่งเปลี่ยนไปอีกหลายสี สุดท้ายก็กัดฟันกลืนความโกรธนี้ลง มองใต้เท้าโจวอย่างไม่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าโจว มีอะไรจะพูดข้าอยากจะพูดให้ชัดเจนก่อน ว่าคนดูแลแปลงดอกไม้คือมู่อวิ๋นซี ไม่เกี่ยวอะไรกับข้ากับตระกูลมู่เลย”
“ในแปลงดอกไม้นี้ ยังมียาสมุนไพรที่ข้าปลูกไว้เล็กน้อย ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมู่อวิ๋นซีเลย” ฮูหยินเล็กเติ้งรีบเสริมต่อ แม้ว่าแปลงดอกไม้ประสบปัญหา แต่สมุนไพรของนางก็ยังต้องรักษาไว้ได้
“มียาสมุนไพรของเจ้า ทำไมข้าถึงไม่รู้?” มู่อวิ๋นซีสงสัย “ฮูหยินเล็กเติ้งคงไม่ใช่ต้องการฉกฉวยผลประโยชน์หรอกนะ?”
ใบหน้าของฮูหยินเล็กเติ้งเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีช่องโหว่ให้โจมตี “คุณหนูรองพูดตลกแล้ว เรื่องในสวนดอกไม้ตามแต่พ่อบ้านอู๋จัดการ ยาสมุนไพรในแปลงดอกไม้ตามแต่ฉีอินจัดการ โดยแบ่งแยกอย่างชัดเจนอยู่เสมอ ไม่ผิดแน่นอน”
มู่อวิ๋นซีกวาดสายตามองฉีอินที่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง
ที่แท้ นางเป็นคนของฮูหยินเล็กเติ้ง ไม่แปลกใจเลยที่นางได้รายงานพ่อบ้านอู๋ต่อนาง บอกเป็นนัยว่านางไล่พวกเขาออกไป ไม่แปลกที่อู๋ฉางเสิ้งบอกว่ากุหลาบหินแดงเป็นครั้งแรกที่เขาขโมยไป

“มู่อวิ๋นซี!” เสียงของใต้เท้าโจวขัดจังหวะความคิดของมู่อวิ๋นซี “เจ้าคิดจะฟ้องจวนเจ้าพระยาหย่งชางที่จงใจสร้างปัญหา และก่อเรื่องทำร้ายผู้อื่นอย่างป่าเถื่อน?”
“เจ้าค่ะ!”
มู่อวิ๋นซีสบตากับใต้เท้าโจว ยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่แก้มบวมๆ มวยผมที่ยุ่งเหยิง รวมทั้งรอยเลือดแห้งที่ติดมุมปาก
“พวกนี้ นับว่าเป็นหลักฐานที่ถูกพวกเขาทำร้ายหรือไม่เจ้าคะ? แม้ว่าท่านชายเฟิ่งจะบอกว่ามู่จื่อโหรวไม่เกี่ยวข้องกับจวนเจ้าพระยาหย่งชางของพวกเขา แต่นี่เป็นมู่จื่อโหรวตบจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะจวนเจ้าพระยาหย่งชาง นางมีความกล้าเช่นนี้หรือ?”
“ข้า…… ข้า มู่อวิ๋นซี” มู่จื่อโหรวหน้าซีดเผือด ลูกตากลอกไปมา “เพราะข้าโกรธแค้นเจ้า”
มู่อวิ๋นซีกลับเมินนาง สายตาหันไปหาจันเยว่ที่อยู่ข้างๆ เฟิ่งเชียนเว่ย “เมื่อคืน สาวรับใช้ของจวนเจ้าพระยาหย่งชางยังตัดชิงช้าของข้า ที่ข้าชอบที่สุดคือชิงช้า”
เฟิ่งเชียนเว่ยเหลือบมองจันเยว่ “พวกเราชดใช้ให้!”
“ตอนนั้น บนชิงช้ามีข้าที่ยังนั่งอยู่” มู่อวิ๋นซีพูดต่อ “ข้าตกจากชิงช้ากระแทกอย่างแรง จนถึงตอนนี้ขยับก้นยังเจ็บเลย ส่วนหน้าอกก็แน่น ศีรษะก็เจ็บ ยังมีอาการเวียนหัวหูอื้อ และเมื่อครู่ที่มู่จื่อโหรวตบข้า ข้าหรือจะหลบไม่ได้?”
ในที่สุดสีหน้าเฉยเมยของเฟิ่งเชียนเว่ยได้เปลี่ยนไป และถลึงตาใส่จันเยว่แล้วหันไปมองมู่อวิ๋นซี
“เรื่องเกิดขึ้นต้องมีสาเหตุ ตอนนั้นจันเยว่ก็ร้อนใจจนเผลอทำชิงช้าพัง หากคุณหนูมู่สามารถมอบกุหลาบหินแดงได้ตรงเวลา แล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร? ท้ายที่สุดแล้ว คุณหนูมู่หมดความน่าเชื่อถือก่อน”
“อะไรคือหมดความน่าเชื่อถือก่อน?” มู่อวิ๋นซีมองเฟิ่งเชียนเว่ยด้วยความประหลาดใจ “โปรดให้ท่านชายเฟิ่งพูดให้ชัดเจนด้วย”
“เพื่อเป็นการฉลองวันเกิดของท่านแม่ของข้า เมื่อครึ่งปีก่อน จวนเจ้าพระยาหย่งชางของเราได้จองกุหลาบหินแดงไว้สี่สิบหกกระถางที่แปลงดอกไม้ของพวกเจ้า แต่เห็นวันเกิดของท่านแม่ที่ใกล้มาถึงแล้ว พวกเจ้ากลับเตรียมกุหลาบหินแดงเพียงสี่สิบสี่กระถาง เท่านั้น นี่ไม่ใช่ขาดความไม่น่าเชื่อถือแล้วมันคืออะไร?”

“เจ้าก็น่าจะรู้ เพราะขาดความน่าเชื่อถือของเจ้า อาจทำให้งานเลี้ยงวันเกิดของท่านแม่ข้าถูกทำลายลงได้ ด้วยเหตุนี้ จันเยว่จึงโกรธจนทำลายชิงช้าของเจ้า” เฟิ่งเชียนเว่ยหันไปมองใต้เท้าโจว “ใต้เท้าโจวโปรดตัดสินด้วย”
“ไร้สาระ! ใส่ร้ายคนอื่นอย่างชั่วช้าสามานย์! คนต่ำช้า!”
มู่อวิ๋นซีหายใจหอบออกมาอึกใหญ่ ราวกับถูกคำพูดของเฟิ่งเชียนเว่ยทำให้โกรธ
เมื่อเห็นทุกคนมองไปที่นาง มู่อวิ๋นซีจึงยอมข่มอารมณ์ตัวเองให้สงบลง “พวกเจ้าต้องการกุหลาบหินแดงสี่สิบหกกระถาง ข้าก็จัดเตรียมกุหลาบหินแดงสี่สิบหกกระถางให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับข่มขู่ข้า บอกให้ข้านำกุหลาบหินแดงสี่สิบหกกระถางนี้ส่งไปให้จวนเจ้าพระยาหย่งชางของพวกเจ้าแบบไม่ให้คิดเงิน เพื่ออะไร?”
“เพราะท่านย่าของข้าป่วย ตระกูลมู่ของข้าไม่มีที่พึ่ง ดังนั้น พวกเจ้าจึงแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเข้ามาเหยียบย่ำสักหน่อย ใช่หรือไม่? มิฉะนั้น ทำไมก่อนนั้นพวกเจ้าถึงไม่บอก เมื่อตอนที่พวกเจ้าสั่งจองกุหลาบหินแดงนี้ทำไมไม่บอกว่าต้องการให้พวกเราส่งแบบไม่คิดเงิน?”
“ไร้ยางอายจริงๆ! ถุย! “ฮั่วเสี่ยวเสี่ยวถ่มน้ำลายใส่เฟิ่งเชียนเว่ย
สีหน้าของเฟิ่งเชียนเว่ยดูไม่ได้เล็กน้อย จากนั้นหันไปมองจันเยว่ จันเยว่รีบส่ายหน้า เขาได้หันไปมองมู่จื่อโหรวอีกครั้ง มู่จื่อโหรวตกใจจนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง และส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้าไม่เคยพูดเช่นนี้มาก่อนเลย”
นางครุ่นคิด “ท่านชาย ท่านอย่าหลงกลนางเลย มู่อวิ๋นซีเจ้าเล่ห์มาตลอด นางคงเห็นว่าไม่มีทางส่งเรื่องแล้ว ดังนั้นจึงจงใจใส่ร้ายจวนเจ้าพระยาของพวกเรา”
“จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าที่เจ้าเล่ามานั้นคือความจริง?” เฟิ่งเชียนเว่ยมองมู่อวิ๋นซี “หากเจ้าพิสูจน์ไม่ได้ นั่นก็เท่ากับใส่ร้ายจวนเจ้าพระยา คิดว่าคำพูดของใต้เท้าโจวเจ้าคงได้ยินแล้ว นั่นคือต้องโทษจำคุกสามเดือน และโทษโบยอีกหนึ่งร้อยครั้ง”

“พิสูจน์?” มุมปากของมู่อวิ๋นซีปรากฏเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย “ข้าจะพิสูจน์ได้อย่างไร?”
นางยกนิ้วชี้ไปที่มู่จื่อโหรวกับจันเยว่ “ตอนนั้นที่พูดประโยคนี้ ก็มีแค่พวกเราสามคน พวกนางสองคนสมรู้ร่วมคิดกันนานแล้ว และข้าจะพิสูจน์อย่างไร?”
“นั่นหมายความว่า เจ้ากำลังพูดเท็จ” เฟิ่งเชียนเว่ยไม่สะทกสะท้าน
“ข้าเปล่า!”
มู่อวิ๋นซีถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองพ่อบ้านอู๋แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “ข้าให้เจ้าเตรียมกาน้ำไว้ล่ะ?”
“อยู่ขอรับ!” พ่อบ้านอู๋ส่งกาน้ำทองแดงหนักให้มู่อวิ๋นซี
มู่อวิ๋นซีรับมา “ข้าบอกแล้ว ว่าพวกนางสองคนสมรู้ร่วมคิดกันแล้ว ข้าไม่มีวิธีจะต้องพิสูจน์ แต่กุหลาบหินแดงอยู่ในห้องดอกไม้นี้ พวกเจ้ามาดู……”
นางถือกาน้ำทองแดงเดินทีละก้าว ทีละก้าวจนไปถึงกำแพงด้านทิศเหนือ ที่นั่นมีกระถางกุหลาบหินแดงสีส้มแดงที่วางเรียงรายอยู่
มู่อวิ๋นซียกกาน้ำทองแดงขึ้น น้ำได้เทลงมา “หนึ่ง สอง สาม สี่……สี่สิบสาม สี่สิบสี่”
“ดูสิ มีแค่สี่สิบสี่กระถางเท่านั้น!” มู่จื่อโหรวหัวเราะอย่างพอใจ
“นี่ไม่ใช่โกหกแล้วคืออะไร?” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมุมปากของเฟิ่งเชียนเว่ย
“พวกเจ้าตาบอดหรือ”
มู่อวิ๋นซีเปิดกล่องไม้สีแดงที่บ่าวรับใช้วางไว้ข้างๆ จากนั้นหยิบกระถางกุหลาบหินแดงสองกระถางออกมา แล้วรดน้ำ “สี่สิบห้า สี่สิบหก!”
นางวางกาน้ำทองแดงลง แล้วมองเฟิ่งเชียนเว่ยด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ตระกูลมู่ของข้าทำธุรกิจ เปิดประตูก็ต้องทำธุรกิจ ข้ามีกุหลาบหินแดงสี่สิบหกกระถาง เจ้าอยากได้กุหลาบหินแดงสี่สิบหกกระถาง พวกเราเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง พวกเจ้าเป็นจวนเจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์ ข้าหรือจะทำ หรือจะกล้า ที่จะไม่ขายกุหลาบหินแดงให้พวกเจ้า?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset