เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 81 ช่วยคุณหนูใหญ่ ชดเชย

ในแปลงดอกไม้มิแสดงฤดูกาลอย่างชัดเจน หากเวลากลับผ่านไปเร็วนัก
สิบวันพริบตาเดียวผ่านผัน ภายใต้ซากุระในลานซากุระ บนชิงช้านั่งอยู่สองคน เฟิ่งเชียนเย่นั่งพิงเถาวัลย์อีกด้านหนึ่ง เหล่มองสาวงามข้างตน
นางยกมือขึ้นเบื้องหน้า ให้แสงตะวันค่อยๆลอดผ่านช่องว่างของนิ้วมือนางลงมา ประหนึ่งทรายกลุ่มหนึ่งค่อยๆไหลผ่านง่ามนิ้วมือนาง ไม่เอียงขวาหรือซ้าย สาดส่องลงมาที่หน้าอกนางพอดิบพอดี
สายตาของเฟิ่งเชียนเย่จับจ้องที่แสงตะวันนั้นอยู่นานโข “หากมิอยากไป มิสู้อยู่ที่นี่สักหลายวัน? ทางด้านองค์หญิงใหญ่มีหมอหญิงโจวกับพี่ชายพี่สาวเจ้าคอยดูแล มิเป็นกระไรดอก”
“ข้า…”
“คุณหนูรอง!”
ฉีอินเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน สายตาส่อประกายปวดร้าวชั่วครู่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก่อนรีบหลุบตาลง “แม่นางไป่หลิงมาเจ้าค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนขอพบท่าน”
“นางเล่า?” มู่อวิ๋นซีลุกขึ้น
ไป่หลิงวิ่งเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ “คุณหนู! ท่านรีบไปช่วยคุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ”
“พี่สาวเป็นกระไรรึ?” มู่อวิ๋นซีรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“เมื่อวานคุณหนูใหญ่และท่านเขยบอกว่าจะมาเยี่ยมเยียนคุณหนูที่แปลงดอกไม้ แต่กลับพบแม่นางคนหนึ่งระหว่างทาง แม่นางคนนั้นบอกว่าท่านเขยเป็นสามีนาง หาว่าคุณหนูใหญ่ยั่วยวนสามีนาง ต่อมาไม่รู้เป็นเยี่ยงไรถึงลงมือตบตีกัน แม่นางผู้นั้นโดนผลักล้มลง สลบไสลไม่ได้สติจนถึงตอนนี้ ครอบครัวนางไปร้องเรียนคุณหนูใหญ่แล้ว ตอนนี้คุณหนูใหญ่โดนจับขังคุกอยู่”
“เป็นไปได้อย่างไร?” มู่อวิ๋นซีดูไม่เชื่อ มู่ซิ่วอ่อนโยนอ่อนแอ จะลงมือตบตีกับผู้อื่นได้อย่างไร?
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านเขย…” สีหน้าไป่หลิงดูลำบากใจ “เขาเห็นคุณหนูใหญ่โดนจับตัวไป ก็รีบไปหาท่านชายที่ลานหย่งเหอ เพื่อให้ท่านชายคิดหาวิธี แต่กลับมิทันระวัง ทำให้องค์หญิงทราบเรื่องเข้า องค์หญิงเลยเป็นลมเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นสีหน้ามู่อวิ๋นซีเปลี่ยนสี ไป่หลิงรีบพูดต่อ “คุณหนูสบายใจได้เจ้าค่ะ หมอหญิงโจวมาตรวจแล้ว บอกว่าองค์หญิงเป็นลมเพราะร้อนใจเกินไป แต่จะมีเรื่องร้อนใจอีกไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า หันมองเฟิ่งเชียนเย่
“ข้าไปสืบเอง เจ้าไปดูพี่สาวเจ้าที่คุก” เฟิ่งเชียนเย่เอ่ยปากก่อนทันที
ในคุกมืดที่อับชื้นและเยือกเย็น มู่จื่อหลันยกผ้าห่มขึ้นกางออกและห่อตัวมู่ซิ่วที่หัวมุดอยู่บนเข่า “เจ้าอย่ากลัวไปเลย ไป่หลิงไปหาคุณหนูรองแล้ว นางสนิทสนมกับใต้เท้าโจว ขอเพียงนางยอมช่วยเจ้า รับรองมิเป็นอะไรแน่”
มู่ซิ่วร่างสั่นเทาชั่วครู่ เหลือบตาขึ้นมองมู่จื่อหลัน “นาง…จะช่วยข้าหรอ? องค์หญิงใหญ่ดีกับนางขนาดนั้น แต่พอล้มป่วย นางกลับหายตัวไม่เห็นแม้แต่เงา ข้ากับนางพบเจอกันไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองนะ?”
นางจะยอมช่วยข้าไหม?
“บางที…” มู่จื่อหลันลังเลขึ้นมา “น่าจะช่วยกระมัง จะอย่างไรเจ้าก็เป็นพี่สาวแท้ๆของนางนะ”
มู่ซิ่วยิ้มเศร้า มือคว้าขับสร้อยข้อมือปะการังสีแดงที่ข้อมือแน่นขึ้นอย่างมิรู้ตัว พลันรู้สึกว่าสร้อยข้อมือแหลมคมยิ่ง
ชายที่นางรักมานานหลายปียังพึ่งพิงไม่ได้ในยามคับขัน น้องสาวที่พึ่งนับญาติไม่กี่วันจะพึ่งพิงได้อย่างไรกัน?
มู่จื่อหลันมองสีหน้ามู่ซิ่ว มุมปากนางเผยรอยยิ้มวูบหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจแผ่วเบา “อันที่จริง ต่อให้คุณหนูรองไม่ยอมออกหน้าพูดกับใต้เท้าโจวให้เจ้า ขอเพียงนางยอมมอบยาสร้างเนื้อให้เจ้าสองเม็ด ก็ใช้ได้เช่นกัน”
“ยาสร้างเนื้อ?” มู่ซิ่วมองมู่จื่อหลันอย่างสงสัย
มู่จื่อหลันผงกหัว “ร่างกายเจ้าพิเศษ ยาสร้างเนื้อไม่ได้ผลกับเจ้า แต่สำหรับผู้อื่นแล้วได้ผลมาก วันนี้ก่อนข้ามาเยี่ยมเจ้าไปที่บ้านนั้นมา คิดจะเลียบเคียงดูท่าทีพวกเขา ว่าจะตกลงกันได้ไหม พวกเขาบอกว่าขอเพียงใบหน้าแม่นางคนนั้นฟื้นฟูดุจเดิม พวกเขาจะไม่เอาเรื่องอีก มิเช่นนั้นจะให้เจ้าติดคุกตลอดชีวิต”

“แต่อวิ๋นซีบอกว่าไม่มียาสร้างเนื้อแล้วนี่นา?” มู่ซิ่วคิ้วขมวดแน่น วันนั้นมู่เซิ่งเรียกร้องเอายาสร้างเนื้อกับมู่อวิ๋นซี นางได้ยินชัดเจนเต็มสองหูเลย มู่อวิ๋นซีบอกว่าหมดแล้ว
มู่จื่อหลันลังเลเล็กน้อยก่อนขยับเข้าชิดมู่ซิ่ว “นางมี อยู่กับตัวนาง คงได้แต่ดูว่านางจะให้เจ้าหรือไม่เท่านั้นล่ะ”
มู่ซิ่วอึ้งตะลึง ดวงตากะพริบ ผ่านไปสักพักถึงมองมู่จื่อหลัน “เจ้ามียาสลบหรือไม่?”
มู่จื่อหลันหยิบห่อกระดาษออกมาจากชายเสื้อยัดใส่มือนาง “ระวังด้วย”
มู่จื่อหลันออกไปนานแล้ว มู่ซิ่วถึงตบประตูห้องจัง เรียกผู้คุมมาขอร้องสองสามคำ จากนั้นกลับไปนั่งบนพื้นหญ้าอีกครั้ง
“ท่านพี่!”
น้ำเสียงสดใสของมู่อวิ๋นซีขัดจังหวะความคิดของมู่ซิ่ว นางเหลือบตาขึ้นมองมู่อวิ๋นซี สีหน้ามึนงง สายตาดูสับสน
“รีบเปิดประตูคุกเร็วๆ!” มู่อวิ๋นซียัดเศษเบี้ยใส่มือผู้คุม “ข้าพูดคุยกับนางสองสามคำ อีกครู่ก็ไปแล้ว”
ผู้คุมเปิดประตูคุกออก และส่งน้ำชาเข้ามาหนึ่งกา
“ท่านพี่ มันเกิดอะไรขึ้น?”

มู่อวิ๋นซีบีบมือเย็นเฉียบของมู่ซิ่วด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย “ท่านลงไม้ลงมือกับผู้อื่นได้อย่างไรกัน? เจี่ยอี้ลงมือกระมัง?”
มู่ซิ่วดึงมือออกจากการเกาะกุมของมู่อวิ๋นซี ยกกาน้ำชามาเทสองจอก จอกหนึ่งยื่นให้มู่อวิ๋นซี อีกจอกตนเองถือไว้ “อากาศเย็น ดื่มชาสักหน่อยให้ร่างกายอบอุ่นเถิด”
มู่อวิ๋นซีรับมาวางไว้อีกด้าน “ท่านพี่ ท่านบอกข้าสิว่าเป็นเจี่ยอี้ใช่หรือไม่? เขาให้ร้ายใช่ไหม?”
“เจ้าเข้าใจเขาผิดแล้ว” มู่ซิ่วยกกาน้ำชาขึ้นอีก ยื่นให้มู่อวิ๋นซีอย่างดื้อรั้น “ปากเจ้าแห้งแตกหมดแล้ว ดื่มชาก่อนเถิด บางที…”
นางยิ้มมุมปากอย่างเศร้าหมอง เหลือบตามองน้ำชาในมือที่มีใบชาลอยอยู่สองใบ ยิ้มเศร้าว่า “ข้าลืมไป เจ้าจะดื่มชาเยี่ยงนี้ได้เยี่ยงไร วางลงเถิด”
จอกชาในมือมู่อวิ๋นซีหนักอึ้งทันที นิ้วมือที่กำรอบจอกซีดเผือดเล็กน้อย นางถอนหายใจแผ่วเบา ดื่มชาหมดจอก ก่อนหันมองมู่ซิ่ว “ท่านพี่ ต่อให้ท่านลงมือก็มิเป็นไร ท่านเล่าเรื่องราวตอนนั้นให้ข้าฟังโดยละเอียดที เจี่ยอี้กับแม่นางท่านนั้นรู้จักกันจริงหรือไม่?”
“เขาหรือ” มู่ซิ่ววางจอกชาในมือลง ดึงมือมู่อวิ๋นซีเข้ามากุมไว้ “ขี้ขลาด ตาขาว เจ้าชู้ แต่ว่าอ่อนโยนมาก ทำให้หญิงพอใจ หากเขาชอบเจ้า เขาจะดีกับเจ้ายิ่งนัก ประหนึ่งเจ้าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้านี้”
มู่ซิ่วถอดสร้อยข้อมือปะการังสีแดงที่ใส่อยู่สวมเข้ากับข้อมือมู่อวิ๋นซี
“นี่ท่านทำอะไร?” มู่อวิ๋นซีคิดจะผลักไสมือมู่ซิ่วออก พลันรู้สึกหนังตาหนักอึ้ง ประหนึ่งมีคนจับสองขานางไว้ และดึงนางเข้าสู่ความมืดมิดไร้หนทาง”
มู่ซิ่วให้มู่อวิ๋นซีที่สลบไปเอนพิงร่างนาง พลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หลายปีมานี้เจ้าลำบากแล้ว ข้ารู้ว่าท่านย่าอยากชดเชยให้เจ้ามาโดยตลอด หากนางยังมิทันได้ทำกระไรก็ล้มป่วยลง เยี่งนั้นให้ข้าชดเชยให้เจ้าเถิด”
มีเสียงฝีเท้าดังมา มู่ซิ่วเหลือบตามองไป คือเจี่ยอี้ที่รีบร้อนมา
“เจ้าเรียกหาข้าทำไม…”
คำพูดของเจี่ยอี้พลันชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง มองไปทางหญิงสาวที่เอนพิงอยู่ในอ้อมกอดมู่ซิ่ว น้ำเสียงเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “นาง…เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้ารู้ ท่านชอบนาง…” มู่ซิ่วสีหน้าเศร้าหมอง “นางเองก็ชอบท่าน ข้าเต็มใจทำเพื่อพวกท่าน แต่ท่านต้องรับปากข้าว่า จะดีต่อนาง ได้หรือไม่?”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset