“ได้ ได้แน่นอน”
เจี่ยอี้รีบรับปาก หากสายตาพุ่งไปที่มู่อวิ๋นซีเท่านั้น แม้แต่หางตาก็ไม่ชายแลมู่ซิ่วเลยสักนิด
ดวงตามู่ซิ่วแดงเรื่อขึ้นมา นางสูดลมหายใจ กล้ำกลืนน้ำตาที่คลอเบ้านั่นลงไป หลุบตาลงมองมู่อวิ๋นซีที่เอนพิงตนอยู่ พลางดึงชายเสื้อตนปิดซ่อนสร้อยข้อมือปะการังสีแดงเส้นนั้นไว้ ก่อนเหลือบตาขึ้นมองเจี่ยอี้ที่ดวงตาเป็นประกาย
“พานางไปเถิด”
“ได้” เจี่ยอี้กลืนน้ำลาย ย่องตีนแมวเข้าห้องขัง เช็ดมือกับเสื้อตนสักครู่ อุ้มมู่อวิ๋นซีขึ้น แววตาจับจ้องไปที่ใบหน้าแน่งน้อยราวกับสายบัวของนาง เขายิ้มจนน้ำลายแทบไหลลงมาแล้ว
“จำไว้ สิ่งที่ท่านรับปากข้า ต้องดีกับนางนะ” มู่ซิ่วพูดไล่หลังเจี่ยอี้ที่จากไปอย่างอ้อนวอน
ตอนนี้ทั้งหัวใจ ดวงตา หูของเจี่ยอี้ล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างในอ้อมกอด มีหรือจะได้ยินว่ามู่ซิ่วพูดว่ากระไร
เขาอุ้มมู่อวิ๋นซีขึ้นรถม้า จากนั้นปลดสายรัดเอวตนเองอย่างเร่งรีบ และถอดเสื้อคลุมออก เขายื่นมือออกไปหวังจะปลดสายรัดเอวของมู่อวิ๋นซี “สาวน้อย ให้ข้าชื่นใจสักหน่อย…”
ยังพูดไม่ทันจบ ท้ายทอยเจี่ยอี้พลันเจ็บ ตัวเขาล้มไปด้านหน้า
ไม่รอเขาแตะต้องมู่อวิ๋นซี เขาพลันโดนดึงหัวกระชากออกนอกรถม้า “ถอดเสื้อผ้ามันให้หมด โยนทิ้งไปหอมาลา”
“ขอรับ!”
“อวิ๋นซี? อวิ๋นซี?” เฟิ่งเชียนเย่เรียกหญิงสาวที่นอนสลบไสล เมื่อเห็นนางยังคงไม่รับรู้อันใด เขาพลันอุ้มนางกระโดดลงรถม้า ทะยานพุ่งไปหยุดที่หน้าโรงหมอแห่งหนึ่ง “ท่านหมอ! ดูนางทีว่าเป็นกระไร?”
ท่านหมอรีบเข้ามาตรวจดู หลังจากนั้นมองเฟิ่งเชียนเย่ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ฮูหยินท่านนอนหลับ”
ฮูหยิน?
สีหน้าเฟิ่งเชียนเย่ชะงักค้าง “นางมิใช่…”
มิใช่ฮูหยินข้า คำพูดเหล่านี้ค้างอยู่ริมฝีปากและกล้ำกลืนลงไปในที่สุด “แล้วเหตุใดข้าจึงปลุกนางมิตื่น?”
“ยาสลบ รอนางตื่นเองก็มิเป็นอันใดแล้ว” ท่านหมอโบกมือไล่พวกเขา
เฟิ่งเชียนเย่อุ้มมู่อวิ๋นซีออกจากโรงหมอ เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนหารถม้าหนึ่งคันมุ่งหน้าไปยังแปลงดอกไม้
เมื่อถึงแปลงดอกไม้ ค่ำมืดมากแล้ว เขามิอยากให้อึกทึก จึงอุ้มมู่อวิ๋นซีมุ่งตรงไปยังลานซากุระ จากนั้นใช้ไหล่เบี่ยงตัวผลักประตูห้องที่เขาพำนักก่อนหน้านี้ออก
วินาทีที่ประตูเปิดออก เขาพลันตากระตุก
“ผู้ใด?”
เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นในเวลาเดียวกับที่ประตูเปิด
จากนั้นทุกอย่างพลันเงียบสงบลง
เฟิ่งเชียนเย่ที่อุ้มมู่อวิ๋นซียืนนิ่งหน้าประตู มิได้เข้าไป มิได้ขยับ อีกทั้งมิเอ่ยวาจาใด
มองผ่านแสงจันทร์ คนในห้องมองเห็นภาพหน้าประตูชัดเจน มือที่กำลังเร่งรีบสวมใส่เสื้อผ้าพลันชะงัก ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงแพรพรรณที่ห่มกายออก เหลือเพียงเอี๊ยมและกางเกงตัวใน พลางลุกขึ้น ถือหัวเชื้อจุดไฟตะเกียงขึ้นมา
“ท่านชายเย่?”
นางมองเฟิ่งเชียนเย่ด้วยสีหน้าตกใจระคนขวยเขิน “ท่านกลับมาได้อย่างไรเจ้าคะ? ข้า…ข้ามาทำความสะอาดที่นี่ เกิดง่วงขึ้นมาเลยเผลอหลับไป…”
นางยังพูดมิทันจบ เฟิ่งเชียนเย่ก็อุ้มมู่อวิ๋นซีหมุนตัวกลับเดินไปทางเรือนตะวันออก
ฉีอินอึ้งไป สีหน้าแดงก่ำ ดวงตาแดงเรื่อเช่นกัน นางทำถึงเพียงนี้แล้ว เขายังมิใคร่มองนาง?
หรือว่าเขาขวยเขิน?
ฉีอินครุ่นคิด พลางคว้าผ้าแพรบนตั่งมาคลุมร่าง และแทรกตัวเข้าไปในเรือนตะวันออกก่อนที่เฟิ่งเชียนเย่จะปิดประตูลง
“คุณหนูรองเป็นกระไรรึเจ้าคะ?” นางมองมู่อวิ๋นซีด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“นางนอนหลับ”
“เหตุใดจึงหลับลึกเยี่ยงนี้?” ฉีอินหาเรื่องคุย “จริงสิ วันนี้ไป่หลิงบอกว่าคุณหนูใหญ่เกิดเรื่องขึ้น เรื่องจัดการได้แล้วหรือยังเจ้าคะ? คุณหนูรองเหตุใดจึง…”
เฟิ่งเชียนเย่เหลือบตามองฉีอิน สายตานั้นเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
ฉีอินชะงัก พลันคลายปมเสื้อชุดสีแตงโมที่กำไว้ ทำใจกล้าพูดว่า “ท่านชายเย่ อันที่จริงข้ามิได้ง่วงงุนจึงเผลอหลับในห้องท่าน ข้าตั้งใจไปที่นั่นเอง”
“ข้าอยากนอนหลับบนตั่งที่ท่านเคยนอน รับรู้กลิ่นอายของท่าน สัมผัสของท่าน ข้า…ข้าชอบท่าน ท่านชายเย่ ข้าชอบท่าน”
“พูดจบแล้วรึ?”
เฟิ่งเชียนเย่พยักพเยิดไปทางประตู “ไสหัวไป!”
ใบหน้าที่เดิมแดงเรื่อด้วยความขวยเขินของฉีอินพลันแดงก่ำขึ้น ดวงตาแดงเรื่อวาวโรจน์ด้วยความโกรธพลางจ้องเขม็งไปที่มู่อวิ๋นซีที่นอนหลับบนตั่ง “เพราะนางรึ?”
“ท่านชายเย่ เชื่อข้านะเจ้าคะ” นางก้าวเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว มือวางทาบหัวใจตนพลางว่า “ข้าชอบท่านจริงๆ มู่อวิ๋นซีดื้อรั้นเอาแต่ใจ มีกระไรดี? มินานนางจะไร้ซึ่งทุกสิ่ง ซ้ำนางยังเป็นศัตรูกับจวนเจ้าพระยาหย่งชาง ถึงเวลานั้นหากทำให้ท่านเดือดร้อน…”
“ไสหัวไปซะ!”
นางเป็นศัตรูกับจวนเจ้าพระยาหย่งชาง ก็เพื่อเขาทั้งนั้น
นางคิดว่าจินเยว่เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาของจวนเจ้าพระยาหย่งชาง กลับมิรู้เลยว่า เป็นเพราะการใส่ร้ายของจินเยว่ ถึงทำให้ผู้บริสุทธิ์เช่นเขากลายเป็นฆาตกรที่วางยาพิษพี่ชายตนเอง
เขาแค้นพี่ชาย และแค้นสาวใช้ที่ช่วยคนชั่วผู้นี้ด้วย
สายตาที่เฟิ่งเชียนเย่มองฉีอินเย็นยะเยือกขึ้น จนทำให้ความอบอุ่นในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
ฉีอินโดนเฟิ่งเชียนเย่กดดันจนขาอ่อน ทรุดลงกับพื้น มิรอที่จะลุกขึ้น ทั้งมือเท้านางกระวีกระวาดคลานไปด้านนอก
นางมั่นใจ หากนางช้าไปอีกก้าวเดียว เฟิ่งเชียนเย่ต้องฆ่านางแน่
“นายท่าน!”
หนานเฟิงโผล่มาจากไหนมิทราบ พลันลอบเข้าห้อง “โยนคนผู้นั้นทิ้งไปหอมาลาแล้วขอรับ”
เฟิ่งเชียนเย่ผงกหัวรับคำ “ตลาดซีซื่อเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“เก้าในสิบตกอยู่ภายใต้ชื่อท่านชายตงหลีแล้วขอรับ ที่เหลือเป็นร้านค้าที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ เจ้าของร้านมิยอมขายให้ มาบัดนี้เขาโกรธแทบบ้าแล้ว ใช้เงินมหาศาลสืบหาตัวท่านชายตงหลี”
หนานเฟิงเหล่สายตาไปทางมู่อวิ๋นซีซึ่งหลับบนตั่ง พูดเสียงต่ำว่า “จินเยว่กลับไปแล้วขอรับ”
“เป็นเยี่ยงไร?” เฟิ่งเชียนเย่ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
“ร้องได้เพียงสองคำ ก็โดนเขาจับตัวเข้าจวนเจ้าพระยา บอกว่าเป็นบ้าไปแล้ว จากนั้นจับโยนทิ้งบ่อน้ำจนจมน้ำตายขอรับ”
“เป็นวิธีการของเขา” เฟิ่งเชียนเย่เหลือบตามองมู่อวิ๋นซี สายตาเย็นชาพลันมีประกายความอบอุ่นจางๆ “บอกกู้ตงหลี เก็บร่องรอยให้มิดชิด อย่าให้มันหาช่องโหว่ได้ล่ะ”
สีท้องฟ้ายามค่ำดุจน้ำ พลันไร้ซึ่งสีสันเมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาอ่อนโยนของเฟิ่งเชียนเย่
มู่อวิ๋นซีกะพริบตา พลางเปิดตาขึ้น และประสานเข้ากับสายตาดำขลับของเฟิ่งเชียนเย่ นางอึ้งตะลึงชั่วครู่ “เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่? นี่มัน…”
นางกลอกตามองรอบด้าน “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“เมื่อวานตอนข้าไปถึงคุก เห็นเจี่ยอี้อุ้มเจ้าขึ้นรถม้า”
สายตามู่อวิ๋นซีพลันหม่นหมองลง นางกัดปากแน่น ผ่านไปอยู่นานจึงมองเฟิ่งเชียนเย่ พลางยิ้มเศร้าว่า “ข้าโง่มากใช่หรือไม่?”
นางมองดูมู่ซิ่ว ประหนึ่งมองตนในชาติก่อน ดังนั้นจึงเป็นห่วงคิดแทนนางทุกอย่าง
เพื่อมู่ซิ่ว ตนกลั่นแกล้งมู่จื่อหลัน เพื่อมู่ซิ่ว ตนให้ยาสร้างเนื้อที่มีพิษกับเจี่ยอี้ เพื่อสะดวกแก่การบีบบังคับเจี่ยอี้ปล่อยตัวมู่ซิ่ว
ต่อมารู้ว่ามู่ซิ่วไม่อยากไปจากเจี่ยอี้ ตนจงใจล่อหลอกรับมือเจี่ยอี้ เพียงแค่หวังว่าเจี่ยอี้จะดีต่อนาง
หากมู่ซิ่วเล่า?
วางยานาง มอบนางให้กับเจี่ยอี้ หากมิใช่เฟิ่งเชียนเย่…มู่อวิ๋นซีไม่กล้าคิดต่อไป ปล่อยให้ความโกรธและเสียใจคลอเต็มสองตา
เฟิ่งเชียนเย่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หางตาของนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าบอกเองมิใช่รึ มิได้ทำผิดกระไรก็พอแล้ว”