“ได้”
เฟิ่งเชียนเย่กุมมือเล็กๆ ที่อยู่ในมือแน่น
ความกระตือรือร้นที่อบอุ่นได้ไหลผ่านแขนเข้าสู่หัวใจ ความหนาวเหน็บในใจของมู่อวิ๋นซีค่อยๆ คลายลง มองไปที่เฟิ่งเชียนเย่ “ต้องหาเจี่ยอี้ให้เจอก่อน””
ท้องฟ้าสีขาวเพิ่งปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก เจี่ยอี้ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยน้ำเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหญิงสาว
“แม่นางคนสวย” เจี่ยอี้ยังไม่ลืมตา จึงได้โอบหญิงสาวที่กระซิบข้างหูเขาไว้ในอ้อมแขน และลูบไล้ตัวนางพลางหยิกขึ้นมา “คิดถึงนายท่านแล้วหรือ?”
“ใต้เท้า…”
หญิงสาวเกือบจะพูดใต้เท้าออกมาแต่ก็ได้หยุดไว้แทน เพราะเมื่อคืนก็เรียกเขาว่าใต้เท้าเจี่ย ทำให้เขาโมโหจนลุกเป็นไฟ แขวนนางขึ้นแล้วตุบตีไปครึ่งค่อนคืน นางได้ซ่อนความขลาดกลัวและรังเกียจไว้ในดวงตา “นายท่าน ไม่ใช่ข้า แต่มีคนมาตามหาท่าน อยู่ด้านนอกหอมาลา”
หญิงสาวดึงเจี่ยอี้ขึ้นมา แล้วยื่นมือไปดึงผ้าคลุมหน้าที่ลื่นไถลอยู่บนแขน เพื่อปิดบังรอยแผลเป็นบนร่าง และปรนนิบัติเขาให้สวมเสื้อผ้าให้ดี
เจี่ยอี้คว้าจับก้นนางทีหนึ่ง ก่อนจะเดินลงบันไดไปอย่างใจจริง
พอเห็นมู่อวิ๋นซียืนตระหง่านอยู่หน้าประตู สีหน้าของเจี่ยอี้ก็เปลี่ยนไปทันที เขาหมุนตัวเตรียมจะกลับ ก็ได้ยินเสียงใสกังวานของมู่อวิ๋นซีดังมาจากด้านหลังเขา
“หากเจ้ากล้าไป ข้าจะไปร้องเรียนเจ้าที่จิงจ้าวอิ่น ถึงตอนนั้น เจ้าไม่เพียงแต่ถูกปลดชื่อออกจากผิงจุ่นซือเท่านั้น แต่ยังติดคุกและเนรเทศอีกด้วย”
เจี่ยอี้ชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมาบีบหน้ายิ้มเดินไปหามู่อวิ๋นซี กลิ่นแป้งชาดที่ฉุนพุ่งเข้าใส่เขาไปก่อน
มู่อวิ๋นซีขมวดคิ้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองใบหน้าที่ซีดเซียวของเจี่ยอี้แล้วพูดโดยไม่อ้อมค้อม “หนังสือการหย่า! เขียนหนังสือการหย่าให้มู่ซิ่วหนึ่งฉบับ ส่งไปที่ลานหย่งเหอแห่งจวนตระกูลมู่”
“ข้านึกว่าจะเป็นเรื่องอะไร ที่แท้ก็เป็นอันนี้นี่เอง” เจี่ยอี้ยืดตัวตรงทันที “เจ้ากลับไปบอกมู่ซิ่ว ให้นางวางใจ ถึงแม้นางจะใจร้ายต่อข้า แต่ข้าไม่อาจไม่เป็นธรรมต่อนางได้ เป็นสามีภรรยากันหนึ่งวันก็มีความรักที่ลึกซึ้งราวกับร้อยวัน ข้าคงจะไม่หย่ากับนาง”
มู่อวิ๋นซีกำหมัดแน่น กลัวว่าตัวเองจะอดตบหน้าเจี่ยอี้ไม่ได้ คำพูดที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้กลับพูดออกมาได้
นางพูดอย่างเย็นชา “เจี่ยอี้! หรือว่าเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่าหลังจากที่บาดแผลบนใบหน้าของเจ้าหายดี สีหน้าของเจ้าเป็นสีเหลืองขี้ผึ้งมาตลอด?”
“หมายความว่ายังไง?” เจี่ยอี้มองมู่อวิ๋นซีด้วยสายตาวาบขึ้นมา
“ยาสร้างเนื้อเป็นมู่จื่อหลันให้เจ้าใช่ไหม? นางไปเอายาสร้างเนื้อมาจากไหน หากไม่ใช่มาเอาที่ข้า ข้าวางยาพิษในยาสร้างเนื้อ คำนวณเวลาแล้ว ก็คงไม่กี่วันนี้อาการจะกำเริบ”
นางมองคางของเจี่ยอี้ที่เกือบจะตกลงไปที่พื้นด้วยความหวาดกลัว แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้นหนังสือการหย่านี้เจ้าจะเขียนหรือไม่มันก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เหตุผลที่ข้าต้องการหนังสือการหย่านี้ก็เพื่อปลอบใจท่านย่า แต่ก็ช่างเถิด!”
นางมองเจี่ยอี้อย่างรังเกียจ จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
เจี่ยอี้ยกมือขึ้นจะดึงมู่อวิ๋นซี แต่ถูกเฟิ่งเชียนเย่ที่อยู่ข้างๆ มู่อวิ๋นซีถลึงตาใส่ มือที่เกือบจะสัมผัสโดนเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนของมู่อวิ๋นซีก็ดึงกลับทันที และรีบเร่งฝีเท้าขวางทางนางไว้ “ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้าพูดจริงหรือเท็จ”
“ลองดูก็รู้แล้ว” มู่อวิ๋นซีสีหน้าเย็นชา “อีกไม่กี่วัน หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็พิสูจน์ได้ว่าที่ข้าพูดนั้นคือเรื่องโกหก”
เจี่ยอี้สำลัก ดวงตาเป็นประกายด้วยความไม่แน่นอน
มู่อวิ๋นซีไม่พูดกับเขาอีก จึงอ้อมเขาแล้วเดินไปด้านหน้า
“ตกลง ข้ารับปากเจ้า!” เจี่ยอี้มองแผ่นหลังสองร่างที่ใกล้จะหลุดพ้นจากสายตาแล้วตะโกนว่า “ก็ไม่ใช่หนังสือการหย่าหรอกหรือ ข้าเขียน! คนที่แข็งทื่อเยี่ยงไม้ประเภทนั้น ใครต้องการ?”
“ไม่ต้องการก็ดีแล้ว” มู่อวิ๋นซีหันกลับมามองเจี่ยอี้เบาๆ “หนังสือการหย่าเขียนเสร็จแล้วส่งไปที่ลานหย่งเหอ ข้าจะให้ยาถอนพิษแก่เจ้า”
ห้องรมตงของลานหย่งเหอ นอกจากท้ายตั่งขององค์หญิงใหญ่ที่นอนอยู่แล้ว ใต้หน้าต่างและประตูยังมีกระถางไฟสองอยู่กระถาง ทุกที่ในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น
กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอยู่ในอากาศอันอบอุ่น
มู่เซิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ มององค์หญิงใหญ่ที่ตาเบี้ยวแล้วยิ้ม “พี่สะใภ้นี่ดีมาก ที่สามารถทำให้คนสบายใจได้เสมอ ของกำนัลปีใหม่ของตระกูลฮั่วมาถึงแล้ว ตามจดหมายของย่านเอ๋อร์ นางให้ข้าทักทายพี่สะใภ้แทนนาง บอกว่าบิดาของนางเกรงว่าคงอีกเหลือไม่กี่วันแล้ว ปีนี้อาจจะอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ไม่ได้แล้ว”
องค์หญิงใหญ่รับคำ “อ่า อ่า” ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเผยให้เห็นถึงความโศกเศร้าที่ว่าในหมู่เพื่อนมนุษย์ย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน ที่หนังตาหลับลง น้ำตาสองเม็ดก็ไหลออกมา
“พี่สะใภ้อย่าเศร้าไปเลย” มู่เซิ่งมองหมอหญิงโจวที่เดินตามแม่นมโจวเข้ามา “หมอหญิงโจวบอกว่า ท่านไม่อาจที่ตื่นเต้นได้”
เขาลุกขึ้นหลีกทางให้ “พี่สะใภ้พักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมพี่สะใภ้อีกครั้ง”
หมอหญิงโจวพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นกางกระเป๋าเข็มออกไว้บนเตียง หยิบเข็มเงินขึ้นมาแล้วยิ้มบางๆ มององค์หญิงใหญ่ “องค์หญิง ข้าเตรียมจะฝัง……”
“หมอหญิงโจว!”
หมอหญิงโจวยกเข็มเงินมองย้อนกลับไปดู ก็เห็นมู่อวิ๋นซีที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลม
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” นางคว้าข้อมือของหมอหญิงโจว
หมอหญิงโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ต้องรอให้ข้าวางเข็มเงินลงก่อน”
มู่อวิ๋นซีปล่อยมือ ยิ้มๆ มององค์หญิงใหญ่ มือหนึ่งได้กุมไปที่ท้อง “ท่านย่า ท้องข้าไม่สบาย ขอยืมตัวหมอหญิงโจวมาดูข้าก่อนนะเจ้าคะ ไม่นานก็เสร็จ”
องค์หญิงใหญ่ยกมือขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าคิดว่าคงกินจนท้องเสียกระมัง” มู่อวิ๋นซีพูดพลางดึงหมอโจวที่เก็บเข็มเงินเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องรมตงอย่างรวดเร็ว ถึงได้ปล่อยข้อมือของนาง และมองนางพูดอย่างรีบร้อน “เจ้าเคยได้ยินเหาดำหรือไม่?”
หมอหญิงโจวตะลึงงัน ขมวดคิ้ว เหลือบมองไปที่ห้องรมตง แล้วหันไปมองมู่อวิ๋นซี “คุณหนูรองสงสัยว่าองค์หญิงท่านไม่ใช่โรคหลอดเลือดสมอง แต่ถูกเหาดำกัดหรือ?”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้าอย่างสุดชีวิต “ไม่ใช่สงสัย แต่แน่ใจ” สายตาของนางที่มองหมอหญิงโจวราวกับคนที่เดินอยู่ในทะเลทรายมาหลายวันเห็นแล้วได้เห็นแอ่งน้ำ “เจ้าสามารถถอนพิษเหาดำได้หรือไม่?”
“ข้าเคยเห็นตำรับยาโบราณสูตรหนึ่งในคัมภีร์โบราณ สมุนไพรของตำรับยานี้ธรรมดามาก สิ่งเดียวที่พิเศษคือเชื้อกระตุ้นของยา” นางขมวดคิ้วมองมู่อวิ๋นซี “เชื้อกระตุ้นของยานี้บางครั้งก็ง่าย บางครั้งก็ยาก คือการใช้เหาดำกัดคนตัวนั้นตากแห้งและนำมาบดเป็นผงเพื่อมาเป็นเชื้อกระตุ้นยา หากไม่มีเชื้อกระตุ้นยาตัวนี้ ยานี่ก็จะไม่มีผลอะไร”
เหาดำที่กัดองค์หญิงใหญ่ไม่รู้ว่าถูกหลิ่วเย่ทิ้งไปที่ไหนแล้ว คงไม่มีทางหาเจอ มู่อวิ๋นซีลองหยั่งเชิงว่า “เหาดำตัวอื่นไม่ได้เหรอ? หรือ……” ดวงตาของนางเป็นประกาย “หาเหาดำอีกตัวมากัดอีกรอบ?”
“แต่นั่นไม่สามารถที่จะกำจัดพิษของเหาดำตัวแรกได้”
หมอโจวเม้มปากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สีหน้าที่มองมู่อวิ๋นซีค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น ถึงขั้นกล่าวขอโทษ “หากองค์หญิงใหญ่ถูกเหาดำกัดจริงๆ เช่นนั้นข้าคงต้องขอโทษเจ้าแล้ว ที่ก่อนหน้านั้นข้าคาดเดาผิดไป ตามสถานการณ์ปัจจุบันขององค์หญิง ข้าเกรงว่า……”
หัวใจของมู่อวิ๋นซีก็หยุดเต้น
“เกรงว่าจะประคองได้ไม่เกินสามวัน”
ความสิ้นหวัง ได้คว้าเท้าของนางทั้งสองไว้ และดึงนางลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกเข้าถึงกระดูก มู่อวิ๋นซีค่อยๆ ย่อตัวลง แล้วกอดขาขดตัวกลม
สามวัน อย่าว่าแต่หุบสิ้นทุกข์ที่ยังไม่ได้ยกเลิกการปิดกั้นเลย แม้แต่ไปกลับก็มีเวลาไม่เพียงพอ
แล้วท่านย่าล่ะจะทำเยี่ยงไร?
“อวิ๋นซี? อวิ๋นซี?”