มู่อวิ๋นซีเงยหน้ามองเฟิ่งเชียนเย่ที่มีสีหน้าเป็นห่วง ในใจปวดร้าว ขอบตาแดงก่ำ
“ท่านว่า ใช่ข้าที่ทำร้ายท่านย่าหรือไม่?”
อ้อมกอดอันอบอุ่นที่องค์หญิงใหญ่มอบให้นางยังฝังอยู่ที่หัวใจของนาง กล่องที่บรรจุขนมยังเก็บอยู่ในตู้ของนาง น้ำเสียงที่อ่อนโยนของนางยังคงดังก้องอยู่ในหู คนดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงได้จากนางไป
“ไม่ใช่เจ้า เป็นมู่จื่อหลัน” เฟิ่งเชียนเย่พูดเสียงหนักแน่น แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงหลังนาง และลูบมวยผมนุ่มๆ ของนาง “ยังมีเวลาอีกสามวันไม่ใช่หรือ?”
“แต่สามวันทำอะไรไม่ได้เลย” มู่อวิ๋นซีรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ
“ใครบอกล่ะ?”
เฟิ่งเชียนเย่กุมแขนมู่อวิ๋นซีแล้วลุกขึ้น มองไปยังเด็กที่น่าสงสารที่ถูกเขาประคองขึ้นมา “เมื่อวานไม่ใช่ข้าไปพบเพื่อนหรอกหรือ? นางเก่งเรื่องพิษ ตอนเย็นรอให้นางกลับมาเดี๋ยวข้าไปถามนาง บางทีอาจมีหนทาง”
มู่อวิ๋นซีพยักหน้าอย่างแรง
“อีกอย่าง ยังมีมู่จื่อหลัน เหาดำนางเป็นคนให้ บางทีนางอาจจะรู้วิธีถอนพิษก็ได้”
“อืม”
“คุณหนู!” ไป่หลิงเดินจากข้างนอกเข้ามาด้วยสีหน้าที่คล้ำเครียด มองมู่อวิ๋นซีแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “เจี่ยอี้มาแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าส่งหนังสือการหย่ามาให้คุณหนูใหญ่”
“คุณหนูรอง!”
เจี่ยอี้ยื่นหนังสือหย่าที่อยู่ในมือให้มู่อวิ๋นซี ขณะที่นางยื่นมือออกไปก็ถอนคืน “แล้วยาถอนพิษล่ะ?”
“วางใจเถิด นอกจากยาถอนพิษแล้ว ข้ายังมีของกำนัลชิ้นใหญ่ให้เจ้าด้วย แต่ไม่ใช่ที่นี่ อยู่ที่แดงดุจท้อ” มู่อวิ๋นซียื่นมือออกไป
เจี่ยอี้ลังเลเล็กน้อย และยื่นหนังสือการหย่าให้นาง
กระดาษบางๆ แผ่นนี้ แต่เหมือนมีภาระที่หนักมาก นับแต่นั้นมา มู่ซิ่วก็เป็นอิสระแล้ว
นางมองหนังสือการหย่าอย่างละเอียด ตั้งแต่ต้นจนจบดูไปหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงเงยหน้ามองมู่เซิ่ง ฮูหยินเล็กเติ้ง รวมทั้งมู่จื่อหลันที่ได้ยินข่าวแล้วรีบมา จากนั้นก็หันไปมองเจี่ยอี้ น้ำเสียงที่พูดออกมาราวกับน้ำแข็งที่แตกกระจาย
“เจี่ยอี้ หนังสือการหย่านี้ข้ารับแทนมู่ซิ่วแล้ว”
“จะได้เยี่ยงไร?” ฮูหยินเล็กเติ้งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน มองเจี่ยอี้อย่างเดือดดาล “ใต้เท้าเจี่ย ท่านว่า ซิ่วซิ่วทำไม่ดีต่อท่านตรงไหน? ท่านถึงคิดจะทอดทิ้งนางหรือ?”
“ฮูหยินเล็กเติ้ง!”
มู่อวิ๋นซีมองฮูหยินเล็กเติ้งด้วยแววตาที่สดใส “ไม่ใช่พี่สาวข้าทำไม่ดีต่อเขา แต่เป็นเขาที่ทำไม่ดีต่อพี่สาวข้า หรือว่าฮูหยินเล็กเติ้งลืมไปว่า พี่สาวข้าต่างหากที่เป็นเมียแต่งที่เชิดหน้าชูตาและมีเกี้ยวใหญ่แปดคนยกมารอรับเชิญกลับไปของเขา แต่เขากลับเปลี่ยนพี่สาวข้าจากฮูหยินเป็นสนม คนเช่นนี้ จะคู่ควรกับพี่สาวข้าได้เยี่ยงไร?”
“อีกอย่าง องค์หญิงตรัสว่า หลานสาวของนาง ต่อให้จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ก็จะต้องไม่เป็นสนมของใคร ก่อนที่องค์หญิงจะล้มป่วย สิ่งที่ข้าจำได้ก็คือให้พี่สาวออกจากจวนตระกูลเจี่ย ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่องค์หญิงจะได้สมดั่งใจปรารถนา หรือว่าฮูหยินเล็กเติ้งจะมาขัดขวาง ปล่อยให้องค์หญิงโกรธจนตายเช่นนั้นหรือ?”
ใบหน้าของฮูหยินเล็กเติ้งแดงขึ้น
“หากองค์หญิงได้รับผลกระทบจิตใจอีกครั้ง พวกท่านก็ต้องเชิญผู้ที่เฉลียวฉลาดมาอีกท่านแล้วล่ะเจ้าค่ะ” หมอโจวที่หิ้วกล่องยาพูดเสริมมาหนึ่งประโยค
ฮูหยินเล็กเติ้งกัดฟันแทบแหลกละเอียด จากนั้นจึงถอยออกไปอย่างอับอาย
มู่อวิ๋นซีก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีหน้าพลันเย็นชา น้ำเสียงที่พูดออกมาราวกับน้ำแข็งที่แตกเป็นเสี่ยงๆ “เจี่ยอี้! หนังสือการหย่านี้ข้ารับไว้แทนมู่ซิ่วแล้ว นับแต่บัดนี้ไป เจ้ากับมู่ซิ่วต่างแยกทางกันไปคนละทาง จากกันแล้วก็ให้ยินดีต่อกัน นับแต่ตอนนี้ไป การแต่งงานของชายหญิงล้วนไม่เกี่ยวข้องกัน เกิดแก่เจ็บตาย อย่าได้ไปมาหาสู่กันตลอดไป!”
“นายท่าน!”
มู่จื่อหลันหน้านิ่วคิ้วขมวดดึงแขนเสื้อของเจี่ยอี้ไว้ “ซิ่วซิ่ว…”
เจี่ยอี้ยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อออกจากมือของมู่จื่อหลัน แล้วก้าวยาวๆ ออกไป
มู่อวิ๋นซีกวาดสายตามองมู่เซิ่ง ฮูหยินเล็กเติ้ง และมู่จื่อหลันอย่างเย็นชา “นับแต่นี้ไป พี่สาวข้าเป็นเพียงคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลมู่ ไม่เกี่ยวอะไรกับแซ่เจี่ยอีกต่อไป ต้องมีมารยาทรู้จักที่ต่ำที่สูง พวกเจ้า……”
สายตาของนางตั้งใจหยุดอยู่ที่ใบหน้าของฮูหยินเล็กเติ้งและมู่จื่อหลัน “จำไว้ เรียกนางว่าคุณหนูใหญ่ คำว่าซิ่วซิ่ว สถานะของพวกเจ้า ไม่คู่ควร!”
สีหน้าของฮูหยินเล็กเติ้งกับมู่จื่อหลันดำคล้ำลง ดวงตาน้อยๆ ของมู่เซิ่งเบิกกว้าง “มู่……”
“ชู่!”
มู่อวิ๋นซีชู่เขาเบาๆ “ท่านย่าฟังคนโวยวายไม่ได้”
นางค่อยๆ หันกายเดินเข้าห้องรมตง นําหนังสือหย่าไปให้องค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ท่านดูสิเจ้าคะ นับแต่นี้ไปท่านพี่จะไม่ได้รับความลำบากใจอีกแล้ว”
“อ่า อ่า!” องค์หญิงใหญ่ยื่นมือออกไปด้วยความตื่นเต้น พยายามคว้าหนังสือการหย่านั้น แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ
มู่อวิ๋นซีรู้สึกขมขื่น จึงได้พับหนังสือการหย่าวางไว้ใต้หมอนขององค์หญิงใหญ่ “วางไว้ตรงนี้ ใครก็เอาไปไม่ได้ ข้าไปที่แดงดุจท้อสักครู่ แล้วจะกลับมาหาท่านย่าเจ้าคะ”
แดงดุจท้อ เจี่ยอี้เดินไปมาไม่รู้กี่รอบ แล้วกำลังจะกลับไปที่จวนตระกูลมู่ ก็เห็นมู่อวิ๋นซีเดินเข้ามาพอดี จากนั้นรีบเดินขึ้นไปข้างหน้าเหยียดมือออก “ยาถอนพิษ!”
“ใจเย็นๆ ตามข้ามา”
นางพาเจี่ยอี้เข้าไปในห้องข้างๆ ห้องหนึ่ง จึงหยิบขวดกระเบื้องขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วนำมาเล่นในมือ “ข้าจำได้ว่าเจ้าเขียนความผิดอันใหญ่หลวงของพี่สาวข้าไว้ในหนังสือการหย่าก็คือไม่มีลูกผู้สืบตระกูล?”
“นี่คือความจริง!” เจี่ยอี้จ้องขวดกระเบื้องที่อยู่ในมือมู่อวิ๋นซี
“ผิด!” มู่อวิ๋นซียื่นขวดกระเบื้องในมือให้เจี่ยอี้ “หากนางมีทายาท นั่นถึงไม่ปกติ ข้าได้ยินมาว่า เมื่อหลายปีก่อน ใต้เท้าเจี่ยถูกบิดาของเจ้าทุบตีเพราะเที่ยวเตร่ตามแหล่งกามารมณ์ ไม่ทันระวังจึงตีไปโดน……”
ดวงตาของนางเลื่อนลง และมองไปที่ตรงกลางร่างกายของเจี่ยอี้ “ตรงนั้น”
มู่อวิ๋นซีถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลง “หลังจากผ่านความเจ็บปวดแล้ว ดูเหมือนร่างกายเจ้าก็สบายดี แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถมีบุตรได้”
“เหลวไหล!” เจี่ยอี้หัวเราะเยาะ “หากไม่สามารถมีลูกได้อีก แล้วซานเอ๋อร์มาจากไหน?”
มู่อวิ๋นซีหัวเราะเยาะ “หลายปีมานี้ เจ้าพลิกเมฆคว่ำพิรุณกับสตรีไปแล้วกี่คน และมีบุตรกี่คนแล้ว? มีเพียงซานเอ๋อร์คนเดียวใช่หรือไม่?”
“เจ้าพูดเหลวไหล” เจี่ยอี้รู้สึกลนลานเล็กน้อย แววตาล่องลอย “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าพูดเช่นนี้ ก็แค่ต้องการยุแหย่ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับมู่จื่อหลันเท่านั้น”
มู่อวิ๋นซีไม่พูดอะไร เพียงตบฝ่ามือเบาๆ ปัง!
“หมอเฉียน?” เจี่ยอี้มองคนที่ถูกเฟิ่งเชียนเย่ผลักเข้ามาด้วยความสงสัย นั่นคือหมอประจำจวนของจวนพวกเขา
“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย!” หมอเฉียนคุกเข่าลงตรงหน้าเจี่ยอี้ “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฮูหยินบอกให้ข้าปิดบังนายท่าน นางบอกว่าหากนายท่านรู้อาการป่วยของตนเองแล้ว อาจจะทรุดลงแล้วยากที่ฟื้นขึ้นมาได้”
“โรคอะไร?” เจี่ยอี้ตื่นตระหนกสับสน แล้วคว้าคอเสื้อของหมอเฉียนเอาไว้
“ก็คือสุขภาพนายท่านได้รับความเสียหาย และในชีวิตนี้ก็ไม่อาจมีบุตรได้” หมอเฉียนพูดตามตรง
“โกหก!” เจ้าโกหก!” เจี่ยอี้ปล่อยมือ แล้วมองมู่อวิ๋นซี “ข้าไม่เชื่อ เป็นเจ้าบังคับให้เขาโกหกข้า?”
“เชื่อหรือไม่แล้วแต่เจ้า” มู่อวิ๋นซีลุกขึ้น มองเจี่ยอี้ด้วยแววตาที่เห็นอกเห็นใจ “สงสารบุรุษอกสามศอกที่องอาจเช่นเจ้า แต่กลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งเล่นงานให้อยู่ในกำมือ จนถูกคนยุยงปั่นหัวเล่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อวานทำไมนางต้องการให้เจ้าฆ่าข้า?”
สีหน้าของเจี่ยอี้แข็งทื่อ มู่อวิ๋นซีพูดต่อ “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถฆ่าข้าได้โดยไม่มีใครรู้ได้จริงๆ เช่นนั้นหรือ? หากข้าตาย มู่จื่อหลันจะเป็นคนแรกที่จะไปรายงานเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะถูกจำคุกในข้อหาฆ่าคน และถูกตัดหัว ส่วนนางจะได้พาลูกชายและชู้รักของนางอยู่ครองคู่ด้วยกันตราบนานเท่านาน……”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้!” เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของเจี่ยอี้ไหลออกมา เขาหมุนตัววิ่งหนีไปอย่างเหม่อลอย เขากำลังจะไปถามมู่จื่อหลันว่า ซานเอ๋อร์จริงๆ แล้วใช่ลูกของเขาหรือไม่?