เต๋อกงกงสีหน้าอึ้งทื่อ จ้องเขม็งไปที่สตรีตรงหน้า มุมปากของนางมีรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล แต่แววตากลับเย็นชา ดวงตากระจ่างใสราวกับสามารถมองตรงไปที่หัวใจของผู้คนได้ จากนั้นดวงตาของเขาวาบทันที
“เจ้าเด็กสารเลว!” มู่เซิ่งสีหน้าดูไม่ได้ ยังฝืนพูดขึ้น “ไทเฮาแล้วเยี่ยงไร นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิดเพ้อเจ้อได้งั้นหรือ?”
“ข้าเพ้อเจ้อหรือไม่?เต๋อกงกงน่าจะรู้ดี” มู่อวิ๋นซีเมินมู่เซิ่ง แล้วมองเต๋อกงกง “ขอเต๋อกงกงเป็นพยานด้วย นับแต่นี้ไป ท่านย่าข้าจะเป็นคนดูแลเอง คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง……”
นางชำเลืองมองมู่เซิ่งและฮูหยินเล็กเติ้ง แล้วหันไปมองเต๋อกงกง “ห้ามเข้ามาที่ลานหย่งเหอแม้แต่ครึ่งก้าว มิเช่นนั้นประหารทันที! ดังนั้น ข้าใช้ชีวิตเป็นประกันว่าหนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายขององค์หญิงจะสามารถฟื้นตัวได้”
“หรืออาจจะ” นางมองมู่เซิ่งและฮูหยินเล็กเติ้งอย่างยั่วยุ “พวกท่านก็ใช้ชีวิตมารับรองว่าจะรักษาองค์หญิงให้หายดีได้ เช่นนี้ข้าก็จะสาบานว่าจะไม่ก้าวย่างเข้ามาที่ลานหย่งเหอแม้แต่ก้าวเดียว เป็นเยี่ยงไร?”
พิษของเหาดำ ไม่มียารักษา องค์หญิงใหญ่จะรักษาให้หายขาดได้เยี่ยงไร แต่หากไม่หาย มู่อวิ๋นซีจะกล้าคุยโวต่อหน้าเต๋อกงกงได้เยี่ยงไร?
ดวงตาของฮูหยินเล็กเติ้งกับมู่เซิ่งวูบวาบไม่นิ่ง แต่ไม่มีใครกล้ารับคำท้าของมู่อวิ๋นซี
“ได้” เต๋อกงกงตัดสินใจแล้ว สะบัดแขนเสื้อออกไป “คุณหนูรองเป็นคนกตัญญูมาก ข้าก็ไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย จึงยอมรับสิ่งที่ท่านขอร้อง แต่มีแต่คำพูดนั้นเชื่อถือไม่ได้ ต้องเขียนเป็นรายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐาน เช่นนี้แล้วข้ากลับไปก็สามารถทูลรายงานต่อฝ่าบาทละไทเฮาได้”
“เช่นนี้ก็สมควรแล้วเจ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นซีไม่ได้ปฏิเสธ และได้เขียนหนังสือลายลักษณ์อักษร แล้วส่งให้กับเต๋อกงกง
เต๋อกงกงรับมาอย่างระมัดระวัง และตรงไปโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่บนตั่ง “หนึ่งเดือนให้หลัง ข้าจะมาเยี่ยมองค์หญิงอีกครั้ง!”
“เต๋อกงกง?” มู่เซิ่งหยุดเต๋อกงกงที่หันหลังเดินจากไป “แบบนี้เกรงว่าไม่เหมาะสมกระมัง?”
“ทำไม?” เต๋อกงกงมองมู่เซิ่งเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ท่านรองมู่ต้องการเอาชีวิตมาค้ำประกันสุขภาพขององค์หญิงใหญ่เช่นนั้นหรือ?”
มู่เซิ่งค้างชะงัก
เต๋อกงกงเดินอ้อมเขาไป
“ท่านรองมู่ ฮูหยินเล็กเติ้ง!” มู่อวิ๋นซีมองทั้งสองคน “เพื่อเลี่ยงที่อาจจะมีความเข้าใจผิดในอนาคต ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่า ที่ข้าพูดถึงคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปเมื่อครู่ได้รวมถึงพวกท่านด้วย ดังนั้นก่อนที่องค์หญิงจะหายดี ก็อย่ามารบกวนอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
มู่เซิ่งเอาหม้อดินที่ยังถืออยู่ในมือยัดให้ฮูหยินเล็กเติ้ง จากนั้นสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป ฮูหยินเล็กเติ้งกระทุ้งหม้อดินไปให้ไป่หลิงอย่างแรง หันไปมองมู่อวิ๋นซี ด้วยสีหน้าหมองหม่นไม่แน่นอน “คุณหนูรองมั่นใจว่าจะรักษาอาการหลอดเลือดสมองขององค์หญิงได้หรือ?”
มู่อวิ๋นซีจ้องฮูหยินเล็กเติ้ง แล้วพูดช้าๆ ว่า “โรคหลอดเลือดสมองทำไม่ได้ อย่างอื่นบางทีอาจทำได้”
สีหน้าของฮูหยิงเติ้งแข็งค้าง หลบตาลง “เช่นนั้นข้าก็ขออวยพรให้องค์หญิงใหญ่หายดีล่วงหน้า”
ยังสงบสติอารมณ์ได้จริงๆ
มู่อวิ๋นซีจ้องแผ่นหลังของฮูหยินเล็กเติ้งที่เดินจากไป ชามกระเบื้องขาวใบเล็กๆ ที่ใส่ยาต้มอยู่พลันปรากฏอยู่ด้านหน้าของนาง
“เช่นนั้น นางกลัวว่าจะลงมือกับเจ้า”
มู่อวิ๋นซีรับชามยามา มองอยู่นาน ก่อนจะเงยหน้ายิ้ม “กลัวว่านางจะไม่ลงมือ ขอเพียงนางกล้าลงมือ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
จู่ๆ นางก็ขยับเข้าไปใกล้เฟิ่งเชียนเย่ กลิ่นหอมหวานผสมกับกลิ่นหอมของยาพุ่งเข้าจมูกเขา “ท่านรู้จักเต๋อกงกงหรือ?”
สองครั้งแล้วที่ดูเหมือนเขาจะหลบหน้าเขา
เฟิ่งเชียนเย่เหมือนจะไม่ได้ยิน เพียงแค่ยาที่อยู่ในมือนาง “ยาเย็นแล้ว จะอุ่นมันสักหน่อยไหม?”
เป็นดังคาด เขายังไม่ยอมพูด ยังคงระแวดระวังต่อนางอยู่
แววตามู่อวิ๋นซีหม่นหมองเล็กน้อย จากนั้นหันตัวกลับ “ต้องอุ่นสักหน่อย ไม่งั้นคงขมเกินไป””
เฟิ่งเชียนเย่รีบก้าวไปหนึ่งก้าว และคว้าชามกระเบื้องขาวจากมือนางไป “มีโอกาสเจอหน้ากันอยู่หลายครั้ง”
มู่อวิ๋นซีมองเขาอย่างตะลึงงัน
เขาหลบตาลงมองยาที่แกว่งไปมาที่อยู่ในชาม “หากเขาพบข้าเข้า จะต้องบอกจวนเจ้าพระยาหย่งชางอย่างแน่นอน”
เขาถือยาต้มเดินไปที่เตา วางกาน้ำลงบนเตา จากนั้นวางชามกระเบื้องขาวลงในกาน้ำ ตัวเองนั่งอยู่บนม้านั่งเตี้ยๆ เฝ้า และขาที่เรียวยาว แต่แผ่นหลังกลับตั้งตรง
ผ่านไปนาน มู่อวิ๋นซีจึงถอนสายตากลับมาจากร่างของเฟิ่งเชียนเย่ นางหันกลับไปที่โต๊ะยาว ยกพู่กันขึ้น แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางพู่กันลง จากนั้นก็หยิบกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วเดินออกจากเรือนรมตง แล้วเรียกสาวใช้ที่กำลังก่อไฟอยู่ “ลู่เอ๋อร์!”
“คุณหนู!” ลู่เอ๋อร์วางที่คีมไฟในมือลง และวิ่งเหยาะๆ เข้ามา
มู่อวิ๋นซียกมือขึ้น เช็ดคราบถ่านที่เปื้อนแก้มนางออก แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ลู่เอ๋อร์ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องขอร้องเจ้า เรื่องนี้อันตรายมาก เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่กลัวเจ้าค่ะ หากมิใช่คุณหนู ข้าน้อยถึงไม่ถูกฆ่าในห้องดอกไม้ เกรงว่าตอนนั้นคงถูกฮูหยินหลิ่วทำร้ายไปแล้ว” ลู่เอ๋อร์มองไปที่นาง “คุณหนู ท่านสั่งข้ามาเถิดเจ้าค่ะ?”
“ถือนี่ไว้ ประเดี๋ยวค่อยออกจากจวนไปอย่างเงียบเชียบ”
มู่อวิ๋นซียื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้นาง กระซิบข้างหูนางเบาๆ ลู่เอ๋อร์พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วหันไปมองมู่อวิ๋นซี “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากองค์หญิงใหญ่ดื่มยาแล้วก็ไม่มีเสียงหายใจเลย หากมิใช่ชีพจรอ่อนๆ ที่ยังสัมผัสได้เป็นครั้งคราว เกรงว่าคงคิดว่านางตายไปแล้วจริงๆ
วันปีใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ทั้งเมืองหลวงและจวนตระกูลมู่คึกคักขึ้นทุกวัน มีเพียงลานหย่งเหอที่เงียบสงัดไม่ว่าเมื่อไรก็คงเงียบสงัด
พริบตาเดียวก็ถึงวันส่งท้ายปีเก่า มู่อวิ๋นซีที่เพิ่งส่งจดหมายถึงหุบสิ้นทุกข์ก็อารมณ์ดี จากนั้นคุกเข่าลงบนตั่งพิงที่หน้าต่าง พลางแอบมองเฟิ่งเชียนเย่ที่อยู่ด้านข้าง พลางแก้ไขภาพคนที่ตัดด้วยกระดาษสีแดงที่อยู่ในมือ
“ดวงตา อันหนึ่งใหญ่อันหนึ่งเล็กแล้ว” มู่ซิ่วจิ้มภาพวาดคน “เจ้าตัดตรงนี้อีกนิด ดวงตาก็เหมือนกันแล้ว”
มู่อวิ๋นซีตัดตามมู่ซิ่วบอกอย่างระมัดระวังด้วยขนาดเท่าเมล็ดงา พลางยิ้มกว้าง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านดูดอีกทีสิ……”
“คุณหนู!”
ในเวลานี้ ไป่หลิงก็เปิดม่านเรียกมู่อวิ๋นซี แต่คนกลับไม่เข้ามา เพียงใช้สายตาเรียกนางครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้าจะไปดูว่านางเป็นอะไร”
มู่อวิ๋นซีเลื่อนลงจากตั่ง สวมรองเท้าแล้วเดินออกจากเรือนรมตง จากนั้นมองไป่หลิงที่มีสีหน้าไม่ดี “เป็นอะไร?”
“แปลงดอกไม้เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินเล็กเติ้งตอนนี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย อู๋ฉางเสิ้งเชิญคุณหนูให้ไปที่นั่นทันที”
“เครื่องประทินโฉมล่ะ” เครื่องประทินโฉมที่จะต้องส่งไปพระราชวัง? “หัวใจของมู่อวิ๋นซีเต้นระรัว
“ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ไปดูกัน ขี่ม้า “เฟิ่งเชียนเย่ออกมาจากห้อง
มู่อวิ๋นซีพยักหน้า ทั้งสองควบม้ามุ่งตรงไปยังแปลงดอกไม้ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในแปลงดอกไม้ มู่อวิ๋นซีก็เกือบรู้สึกเหมือนตัวเองมาผิดที่
แม้ว่าแปลงดอกไม้จะยังอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อมองขึ้นไป จะเห็นแต่กิ่งไม้และใบไม้ที่เหี่ยวเฉา ราวกับฤดูหนาวที่หนาวเหน็บก็ได้มากวาดผ่านแปลงดอกไม้ทั้งหมดไป แดนมหัศจรรย์ที่เหมือนฝันนั้นได้หายไปแล้ว
“แล้วเครื่องประทินโฉมล่ะ?” มู่อวิ๋นซีมองอู๋ฉางเสิ้งที่เดินออกมา และใบหน้าก็มีรอยเลือดติดอยู่
“คุณหนูวางใจขอรับ การทำเครื่องประทินโฉมมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว แม้ว่าดอกท้อที่อยู่ในไร่ต้นท้อจะร่วงหล่นไปแล้ว แต่โชคดีที่ต้นท้อของลานดอกท้อรอดพ้นจากหายนะมาได้ แม้ว่าดอกท้อจะไม่มาก แต่เพียงแค่ใช้เฉพาะด้านหน้าเครื่องประทินโฉม ก็น่าจะพอใช้ขอรับ”
“เหลือแค่ต้นเดียวในลานดอกท้อ?”
มู่อวิ๋นซีจ้องเขม็ง สีหน้าไม่แน่นอน ในที่สุด ก็มีการถากถางแวบผ่านสายตาของนางเข้ามา นางจ้องอู๋ฉางเสิ้งด้วยสายตาที่สงสัย “หน้าของเจ้า ไปโดนอะไรมา?”