ในเมื่อหัวหน้าพวกเขาพูดมางี้ งั้นพวกเขาก็คงไม่เป็นอะไรแล้วแหละ
หลินเจี๋ยถอนหายใจโล่งอก “ได้ยินแบบนั้นก็ยินดีครับ”
ซะที่ไหนกันเล่า!
คล็อดรู้ดีว่าสามคนนั้นเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว ไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะกลับมามีสุขภาพจิตปกติได้หลังพักฟื้นไม่กี่เดือนหรือต่อให้ผ่านไปทั้งชีวิตก็ตาม
แค่มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าตำรวจสองนายที่เขาน็อกจนสลบไปนั่นจะมีความกลัวหยั่งรากลึก เช่นเดียวกับที่ความปรารถนาทั้งหลายได้มลายหายไป
ส่วนอีกคนหนึ่ง แซนเดอร์ ลีออง จากตระกูลลีอองนั้น ดูจะมีสภาพดีขึ้นมาหน่อย แต่คล็อดก็ไม่แน่ใจว่าส่วนไหนของเขาถูกขโมยไปกันแน่อยู่ดี
นี่นับรวมการขัดจังหวะแบบพอดิบพอดีของคล็อดไปแล้วด้วย หากคล็อดมาช้าไปกว่านี้อีกนิดเดียวละก็ ป่านนี้คงมีซอมบี้สามตัวนอนกองกับพื้นแทนแล้ว
ส่วนเจ้ากุหลาบที่โดดเด่นเป็นสง่าบนเคาน์เตอร์นั่นคือสปีชีส์พืชพันธุ์สุดพิเศษที่เคยถูกปลูกในยุคอาณาจักรเอลฟ์โบราณ มันถูกเรียกว่า ‘เมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนา’
มันไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน และสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นพืชชนิดใดก็ได้ตามที่ผู้ปลูกต้องการ
แต่มันก็สืบทอดสัญชาตญาณการบุกรุกสิ่งมีชีวิตอื่นโดยการกลืนกินความปรารถนา ในเมื่อมันมีความชาญฉลาดใกล้เคียงกับสุนัขพันธุ์เล็ก นาน ๆ ครั้งจึงถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย
พืชพวกนี้จะแข็งแกร่งขึ้นตามความปรารถนาที่มันซึมซับเข้าไป อีกทั้งระดับของ ‘เมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนา’ เองก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการเลี้ยงดูเช่นกัน
เจ้าต้นที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เป็นพืชระดับสูงมากแน่นอน
ตัวคล็อดนั้นไม่ได้รู้เรื่องสปีชีส์ของพืชโบราณมากนัก มีนักวิชาการคนอื่นที่วิจัยและเชี่ยวชาญศาสตร์นี้เยอะ แต่น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องสายพันธุ์โบราณแบบนี้
นี่แหละคือข้อมูลสำคัญที่โจเซฟเจาะจงอธิบายแบบพอสังเขปให้คล็อดฟัง
เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปทำให้เจ้าของร้านหนังสือโกรธโดยไม่รู้ตัว หรือไปทำให้ตัวเองบาดเจ็บในร้านเข้า อดีตอัศวินแห่งแสงโจเซฟจึงทุ่มเทเรี่ยวแรงไปกับการอบรมเขา…
และในตอนนี้ ถึงคล็อดไม่ได้เป็นเหยื่อก็จริง แต่เพิ่งจะเป็นพยานรู้เห็นเมื่อกี้นี้เอง
ใจของเขาถึงกับร่วงลงไปตาตุ่ม เมื่อได้ยินว่าหน่วยตำรวจผู้ทรงเกียรติประจำเขตตอนกลางกำลังไล่สอบถามเป็นบริเวณกว้างจึงรีบรุดเข้ามาทันที ถึงเขาจะคิดไว้แล้วว่าคงสายไปอยู่ดีก็เถอะ
หอพิธีกรรมต้องห้ามไม่ได้ตั้งข้อจำกัดอะไรในย่านนี้เป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้ไป ‘รบกวน’ เจ้าของร้านหนังสือหรือทำให้เขาเสียใจ
จากคำสรุปของนักประเมินผู้เชี่ยวชาญแคโรไลน์ เจ้าของร้านหนังสือถือว่ามีนิสัยอ่อนโยนและแทบทุกคำถามก็ไม่ได้ส่งผลลบอะไรต่อเขาเลย
ทว่าคล็อดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนี้เลยรู้ดีว่าตำรวจหน่วยนี้ทำตัวเช่นไรกันบ้าง
ใช่แล้ว ในโลกของเรื่องเหนือธรรมชาติ คล็อดนั้นเป็นอัศวินระดับปีศาจของหอพิธีกรรมต้องห้าม ลูกศิษย์และผู้ช่วยของโจเซฟ เช่นเดียวกับรองหัวหน้าแผนกหน่วยข่าวกรอง
แต่ในโลกของคนปกตินั้น ตัวตนของเขาคือร้อยตำรวจเอกวัยหนุ่มผู้เพียบพร้อมของหน่วยตำรวจผู้ทรงเกียรติประจำเขตตอนกลาง ซึ่งพึ่งแต่ความสามารถของตัวเองจนไต่เต้าขึ้นสู่ระดับสูงได้
ตัวตนนี้สะดวกเสียจนทำให้เขาสามารถรวบรวมข่าวสารให้หอพิธีกรรมต้องห้ามได้ง่ายกว่าเดิมเสียอีก
ต่อให้ไม่รู้ว่าตำรวจสามนายนี้ไปทำให้เจ้าของร้านหนังสือโมโหได้อย่างไร แต่ก็โชคดีแล้วที่ฝั่งนั้นมองเจ้าพวกนี้เป็นแค่ของเล่นฆ่าเวลา
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นแค่เมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนาโขกสับความปรารถนาเฉย ๆ โดยไร้ซึ่งอันตรายอื่น
คล็อดกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง เสียงไซเรนในใจกำลังดังลั่น
ต่อให้เจ้าของร้านหนังสือจะถูกมองว่ามาดี แต่ระดับเหนือนภานั้นไม่อาจมองด้วยจริยธรรมและมาตรฐานของคนธรรมดาได้เลย
มุกตลกอันเป็นมิตร แบบเดียวกับเมื่อกี้ที่จงใจแค่ ‘ขู่นิด ๆ หน่อย ๆ’ นั่นน่ะ ก่อให้เกิดความเสียหายชนิดที่คนปกติกู่ไม่กลับได้เลยทีเดียว
เมื่อต้องรับมือกับตัวตนระดับสูงแบบนี้ การรับมือถือว่ามีข้อจำกัดสูงมาก
แต่ในฐานะอัศวินแห่งหอพิธีกรรมต้องห้าม มันถือว่าเป็นหน้าที่ในการช่วยเหลือพวกเขา ต่อให้จะเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมายก็ตาม
คล็อดมองไปยังเจ้าของร้านหนังสือพร้อมเอ่ย “ผมต้องขออภัยแทนพวกเขาด้วยนะครับถ้าพวกเขาทำอะไรเสียมารยาทไป”
หลินเจี๋ยยักไหล่ไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นครับ พวกเขาแค่มาไต่สวนกันเฉย ๆ เอง แค่ว่าตัวตนผู้ช่วยของผมกำลังอยู่ในช่วงดำเนินการ ก็เลยถามเพิ่มอีกนิดหน่อยน่ะครับ”
คล็อดหันไปผงกหัวแก่เด็กสาวซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง พร้อมบันทึกไว้ในใจว่าตอนนี้ร้านหนังสือมีผู้ช่วยแล้ว
ส่วนการไต่ถามอะไรเพิ่มเติมนั้น…
เจ้าของร้านหนังสือบอกชัดแล้วว่า ‘ตัวตนของเธอกำลังอยู่ในช่วงดำเนินการ’ ซึ่งสื่อความหมายชัดเจนว่าอย่าถามเพิ่ม
เขาไม่อยากจะตกอยู่ในชะตาเดียวกับเจ้าสามคนนั้นหรอกนะ
ปกติแล้ว หลินเจี๋ยจะไม่ทำอะไรลูกศิษย์ของโจเซฟอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียเขาก็มีโอกาสจะเป็นลูกค้าใหม่
แต่ลูกศิษย์ของโจเซฟเป็นร้อยตำรวจเอกระดับหนึ่งของหน่วยตำรวจผู้ทรงเกียรติประจำเขตตอนกลางนี่สิ มันทำให้หลินเจี๋ยประหลาดใจไม่น้อย
แต่พอคิดถึงดาบที่โจเซฟให้มานั้น หลินเจี๋ยก็พอรู้อยู่ว่าเขาไม่ใช่ทหารผ่านศึกธรรมดา และการมีลูกศิษย์ยศตำแหน่งสูงก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี
ขณะเดียวกัน มูเอนก็เริ่มถือโอกาสรินน้ำร้อนลงไปในถ้วย และดันถ้วยหนึ่งให้คล็อดซึ่งลงไปนั่งอีกด้านของเคาน์เตอร์แล้ว
หลินเจี๋ยเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้า ลอบคิดกับตัวเองว่าผู้ช่วยคนนี้คุ้มค่าในการเก็บมาสุด ๆ
พอไม่ต้องทำทุกอย่างเองก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าขึ้นมาจริง ๆ ก็คราวนี้
หลินเจี๋ยจิบชาแล้วกระแอม “จะว่าไป คุณคงมาหาผมด้วยสาเหตุอื่นใช่ไหมครับ ช่วงนี้โจเซฟเป็นยังไงบ้างเหรอครับ เขาดูจะโล่งใจกว่าแต่ก่อนอีกนะ หลังมอบดาบให้ผมแล้วน่ะ”
ในเมื่อลูกศิษย์ของโจเซฟพูดออกมาเองว่าอาจารย์ของเขาฝากความคิดถึงมาให้ นั่นแปลว่าโจเซฟส่งเขามาที่นี่
ทว่าหลินเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะมองว่าคล็อดเป็นเหมือนกับเด็กที่ถูกบังคับให้มาทำความเคารพผู้ใหญ่ในเทศกาลตรุษจีนอยู่ดี
คล็อดขอบคุณมูเอนพลางรับถ้วยชามาก่อนจะพยักหน้า “อาจารย์ส่งผมให้มาแสดงความขอบคุณน่ะครับ ช่วงนี้เขาดีขึ้นมาก แถมดูจะส่งสัญญาณการพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วยครับ”
หลินเจี๋ยเลิกคิ้วขึ้น “งั้นผมว่าผมต้องแสดงความยินดีแล้วสิ การก้าวหน้าในอายุเท่านั้นน่ะมันไม่ง่ายเลยนี่นา”
เฮ้อ… ไม่คิดเลยว่าปู่โจเซฟจะเห็นแสงสว่างได้รวดเร็วปานนั้น การยกระดับสภาพจิตใจคนโดยไม่มีประสบการณ์น่ะมันไม่ง่ายเลยน้า ท่าทางการทิ้งดาบเล่มนั้นไปจะทำให้เขาคิดได้จริง ๆ
คล็อดพูดต่อ “ทั้งหมดต้องขอบคุณคุณจริง ๆ ครับที่ทำให้ระดับความปลอดภัยของนอร์ซินพุ่งสูงขึ้นไปอีกขั้น”
ในเมื่อเจ้าของร้านหนังสือไม่คิดแม้แต่จะเผยตัวในวันนั้น ย่อมแปลว่าเขาอาจไม่อยากให้ใครรู้…
คล็อดถามเลียบเคียงอย่างระมัดระวัง แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้อยู่แล้วอย่างไรเสียก็มีแค่ดาบปีศาจแคนเดลาที่โจเซฟสละมันไปเท่านั้นที่จะสามารถเอามาโยงเข้ากับราชาเอลฟ์โบราณ
หลินเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ ไอ้ระดับความปลอดภัยของนอร์ซินมันเกี่ยวกับฉันตรงไหนเนี่ย?
แต่พอหลินเจี๋ยคิดย้อนกลับไปถึงความเกลียดชังสิ่งชั่วร้ายเข้ากระดูกดำตั้งแต่แรก และ ‘การพัฒนาอย่างก้าวกระโดด’ ที่ได้รับหลังการชี้แนะ หลินเจี๋ยก็มั่นใจแล้วว่าโจเซฟกลับมาผดุงความยุติธรรมได้อีกครั้ง
เพียงแค่ครั้งนี้ดูท่าทางจะไม่ได้มาจากภาระผูกพัน แต่เป็นความสนใจของเขาเอง
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมา “ไม่หรอกครับ คนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปคือโจเซฟต่างหาก ที่ผมทำก็มีแค่ช่วยชี้ทางเขาไปสู่ทางที่ถูกต้องก็เท่านั้นเอง”
เป็นงั้นจริงด้วย!
คล็อดได้รับคำตอบอันไร้ซึ่งความลังเล คนที่ลงมือตอนนั้นเป็นเจ้าของร้านหนังสือจริง ๆ
การใช้ดาบปีศาจที่โจเซฟมอบมาให้เขาในฐานะอุปกรณ์เวท เจ้าของร้านหนังสือได้ทำการอัญเชิญวิญญูชนโบราณเพื่อสังหารเทพเจ้าให้ลุล่วง ดังนั้นเขาจึงบอกว่าโจเซฟต่างหากที่ลงมือทำทุกอย่างนั่นเอง
‘เจ้าของร้านหนังสือนั้นอ่อนน้อม และกำลังถ่อมตนจริง ๆ ด้วย’ คล็อดลอบคิดในใจ
เขาจึงดึงเอกสารกองหนาเตอะ วางมันลงบนโต๊ะพร้อมแถลงจุดประสงค์หลักในการมาที่นี่ในวันนี้ “อาจารย์ผมไปหาเอกสารสำคัญพวกนี้ด้วยตัวเอง และเอาแหล่งที่มาของภาษาสาบสูญในยุคโบราณที่คุณเคยบอกว่าอยากได้มาแล้วครับ แต่ว่าเจ้าภาษาพวกนี้มันนานเกินไป กระบวนการการวิจัยของเอกสารนี่อาจจะดูบกพร่องไปหน่อย พอดีไม่ค่อยมีแหล่งอ้างอิงเท่าไร แถมยังมีแค่ตัวอักษรตั้งต้นจากศิลาจารึกน่ะครับ แต่ผมหวังว่าของเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับคุณ”