ตัวตนบนใบดาบฉายให้เห็นเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น
แสงเปล่งประกายทำให้ภาพสะท้อนของแคนเดลาหายไปโดยไร้ซึ่งร่องรอย
ทว่าหลินเจี๋ยมั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง
นั่นคือ…ผีเรอะ?
ชายหนุ่มเอนตัวพิง ควงดาบไปมาอย่างใจเย็น แล้วกลับมาเพ่งพินิจรอยสลักบนดาบอีกครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกไม่ได้หายไปเลยสักนิด
สายธารข้อมูลไหลทะลักเข้ามา ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาต้องรู้อยู่แล้ว
อย่างเช่นว่าดาบนี้ควรอยู่ใจกลางของห้องโถงขาวอันกว้างใหญ่ และดาบศักดิ์สิทธิ์ของอัลฟอร์ดพร้อมกับมงกุฎลอเรลกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์ได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ที่หลินเจี๋ยตื่นขึ้นมาจากฝัน ยามจ้องไปยังดาบเล่มนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนได้กอบกุมดาบเล่มนี้แล้วทะยานเข้าสู่สมรภูมิรบอันมากมาย…
ตอนนี้ เจ้าสิ่งนี้ดูไม่มีทางคิดไปเองได้ เนื่องจากหลินเจี๋ยถึงขั้นมีความรู้เรื่องภาษาไม่รู้ที่มาซึ่งตนไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
หลินเจี๋ยรู้ว่าบางทีอาจจะมีคำอธิบายสมเหตุสมผลกับเรื่องพวกนี้อยู่ ตัวอย่างเช่น กลุ่มอาการเมธี [1]
ทว่าหัวเขาไม่ได้ถูกกระทบกระเทือน และเชื่อว่าสมองของตัวเองยังคงทำงานได้ปกติดีอยู่
อีกทั้งการที่จู่ ๆ ก็เข้าใจภาษาหนึ่งได้ต้องมาจากการเรียนรู้ หรือได้พบภาษานี้มาก่อนในอดีต ดังนั้นเหตุผลแบบนี้ฟังไม่ค่อยจะขึ้นเท่าไรนัก
หลินเจี๋ยพลันจำขึ้นมาได้ว่าแคนเดลาได้มอบของอย่างหนึ่งให้เขาไว้…ลอเรลไง!
เขาจ้องมองข้อมือตนเอง แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
“นั่นสิ…ถ้ามันอยู่บนนี้จริงก็คงเห็นตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้วมั้ง”
หลินเจี๋ยถูข้อมือตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะถอนหายใจหรือเสียใจดี
“นี่ฉันเผลอไป ‘ถอดร่างเป็นเขา’ มาเรอะ
“แต่ดูจากที่แคนเดลาเป็น ก็อาจจะเป็นผีสิงดาบเพราะความหมกมุ่น งั้นก็ไม่ใช่ฝันธรรมดาแบบที่คิดน่ะสิ
“อืม…อาจจะแบบว่า หลังถูกสืบทอดกันมานาน ดาบศักดิ์สิทธิ์ของอัลฟอร์ดก็กลายเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวโจเซฟก็ได้ หรือตระกูลเขาอาจจะมีหน้าที่ปกป้องดาบเล่มนี้ ป้องกันไม่ให้เจ้าผีมายุ่งกับโลกมนุษย์ แค่ว่าโจเซฟลืมไปเฉย ๆ แล้วหลังจากเจ้านี่ถูกยื่นมาให้ฉัน แคนเดลาก็เลยมีพลังในการสร้างผลกระทบกับความฝันฉัน
“แต่เขาก็ดูเป็นมิตรดีนะ แล้วก็อะไรก็ตามที่ทำให้เขาอาฆาตพยาบาทก็หายไปตามกาลเวลา ที่เหลือก็แค่ฉันไปเยียวยาวิญญาณเขาเท่านั้นเอง”
หลินเจี๋ยมองไปยังดาบในมือ ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะต่อ “สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่แคนเดลาให้ฉันไม่ใช่ดาบศักดิ์สิทธิ์หรือมงกุฎลอเรลด้วยซ้ำ แต่เป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเขาในความฝันต่างหาก…”
ผีตนนี้ในกาลก่อนได้เลือกจะส่งผ่านทุกอย่างเกี่ยวกับราชอาณาจักรของเขาด้วยวิธีนี้
“คำถามเดียวที่มีคือ ความฝันนี่มันจริงมากแค่ไหนเนี่ย…”
หลินเจี๋ยนึกถึงวิธีที่แคนเดลาวัยหนุ่มเรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนงและเพลงดาบจากราชครู แต่ของอย่าง ‘พลังพิเศษ’ และช่วงเวลาที่เขาเผชิญหน้ากับ ‘เทพเจ้า’ นั้นถือว่าเลือนราง
นั่นอาจแปลว่าอาซีร์เคยมียุคสมัยที่เกี่ยวกับตำนาน แต่ทุกอย่างนั้นหายไปพร้อมกับการล่มสลายของอาณาจักรโบราณนั้น
หรือบางทีแล้ว ทุกอย่างนี่อาจถูกซุกซ่อนไว้ก็ได้
ท่าทางต้องไปขอยืมการรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ดแล้วสิ…หลินเจี๋ยคิดในใจพลางลูบคางตน
แค่ว่า…องค์กรวิชาการที่ฉันไม่ยักกะเคยได้ยินมันอยู่ไหนนี่สิ
—
คอลินค่อย ๆ หยิบขวดน้ำบรรจุ ‘น้ำมนต์’ แล้วสะบัดบางส่วนไปยังประตูและสี่มุมของบ้าน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กลิ่นเจือจางของน้ำมนต์แตะปลายจมูก เขาทวนคำร่ายซ้ำไปมาอย่างเงียบงันพลางยื่นมือขวาขึ้นไปแตะหน้าผากเพื่อสร้างเป็นเส้งโค้งสามจุดลงไปยังอก
นี่คือท่าสวดมนต์ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด เป็นการสื่อถึงการปกปักรักษาจากดวงจันทร์…
“โอ้พระจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอขอบคุณท่าน…”
เมื่อเอ่ยคำร่ายจบ คอลินก็ถอนหายใจยาว รู้สึกดีกว่าเดิมทั้งจากวิญญาณและจิตใจ
ต้องขอบคุณสูตรน้ำมนต์ของบาทหลวงวินเซนต์เลย ที่ทำให้คอลินรู้สึกกระวนกระวายน้อยลงจนนอนหลับได้ดีขึ้นในช่วงสองสามวันมานี้
ใบหน้าของคอลินกระตุกเล็กน้อย แย่อย่างเดียวคือราคามันออกจะแพงไปสักหน่อย
แต่ทุกอย่างก็คุ้มดี…
“น่าคิดจริง ๆ ว่าไอ้สามหน่อหัวแข็งนั่นทำอะไรกันอยู่ กล้าดียังไงมาเมินคำเตือนฉันแล้วมาเรียกฉันว่าไอ้งั่ง! เดี๋ยวได้เจอดีสักที…”
คอลินฮึดฮัดพลางแอบมองผ่านรอยแตกเล็ก ๆ ของหน้าต่างร้าน มีความรู้สึกอื่นปะปนมาน้อยมากจนแทบจับไม่ได้
ส่วนหนึ่งเขาก็หวังให้สามคนนั้นเจอของดีสักที แต่ในขณะเดียวกันเขาก็หวังเหลือเกินให้พวกเขาแก้ไขสถานการณ์นี้ไปได้
หากตำรวจสามนายจากเขตตอนกลางจะใช้ความจองหองของ ‘ข้าอยู่เหนือกว่าแก’ ในการขับไล่วิญญาณร้ายข้างบ้านละก็…คอลินก็ไม่ถือสาหรอกที่จะเป็นไอ้งั่งสักครั้ง
พวกเขาคงพกปืนมาแน่…ฆ่าพวกวิญญาณร้ายให้สิ้นซากไปเลย! อย่าให้มันมาขู่ฉันอีกเลยขอร้องละ!
คอลินแอบเลิกม่านมู่ลี่ขึ้นแล้วมองทางเข้าของร้านข้างบ้าน
ทว่า…เขากลับพบชายหนุ่มผมทองออกมาจากที่นั่นพร้อมร่างของตำรวจสามนายแบกอยู่บนไหล่
หัวของพวกเขาลู่ลงจนมองไม่ออกว่าสลบไปหรือถูกยาสลบกันแน่
ชายผมทองคนนั้นดูจะมีออร่าความเป็นธรรมอยู่ทุกการกระทำของเขา คอลินเคยเห็นคนประเภทนี้มาก่อนแล้ว แต่นั่นเป็นแค่ผ่านโทรทัศน์เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าชายคนนี้เองก็มาจากเขตตอนกลางแน่นอน
ทว่าชายหนุ่มคนนี้กลับเผยสีหน้าเคารพพลางอุ้มสามคนนั่นที่ถูกวิญญาณร้ายทรมานมาหน้าตาเฉย!
“พระเจ้าช่วย ไหงถึงมีคนจากตำรวจเขตตอนกลางเป็นแบบนี้ได้ล่ะ! นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย…คนของเขาบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับไม่ถงไม่ถามอะไรสักคำ? โดนสะกดจิตอยู่แหง ๆ!”
คอลินสั่นสะท้านแล้วรีบปิดมู่ลี่ทันที แล้วจึงวิ่งไปหยิบขวดน้ำมนต์มาสะบัดทั่วหน้าต่างอย่างร้อนรน
“โอ พระจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดปกป้องผมที! โปรดฟังคำภาวนา โปรดมอบ…บาทหลวงวินเซนต์ล่ะ เขาอยู่ไหนกัน!? รีบมาช่วยผมทีเถอะ!”
—
วินเซนต์กำลังรีบรุดเข้ามา
ชายหนุ่มกวาดตามองที่อยู่ซึ่งแสดงขึ้นบนอุปกรณ์สื่อสาร เมื่อมั่นใจแล้วว่าเขาจะถึงที่หมายในอีกประมาณหกกิโลเมตรก็ถอนหายใจออกมา
เรื่องมันเกิดขึ้นว่าสังฆมณฑลช่วงนี้มีนักบวชใหม่ นักบวชในโบสถ์ของตนจึงต้องวิ่งไปมาเพื่อรับคำสอนและคำอำนวยพรแก่สาวกทั้งหลาย ดังนั้น วินเซนต์จึงไม่อาจรับสายขอความช่วยเหลือได้ทั้งหมด และมอบได้เพียงคำชี้แนะพร้อมความช่วยเหลือผ่านข้อความเท่านั้น
โชคดีที่เขาวิ่งกลับมาทันจนสามารถทำพิธีไล่ผีได้อยู่ ในขณะเดียวกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ขอให้เป็นวิญญาณร้ายของจริงก็แล้วกันนะครั้งนี้…ไม่เอาพวกหลอนไปเองของพวกบ้าที่นอนไม่หลับแล้วนะ”
ในหนึ่งเดือน เขาจะได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากสาวกประมาณสี่ถึงห้าครั้ง แต่ในพวกนั้น เคสวิญญาณร้ายถือเป็นหนึ่งในสิบหรือน้อยกว่านั้น
ดังนั้นชายหนุ่มจึงสร้างขั้นตอนโดยการมอบสูตรทำน้ำมนต์แก่สาวกผู้ต้องการความช่วยเหลือก่อน
น้ำมนต์ช่วยไล่วิญญาณร้ายได้จริง แต่จุดประสงค์หลักคือการเป็นยาหลอกเพื่อช่วยให้คุณภาพการนอนหลับของคนคนนั้นดีขึ้น…
มันได้ผลดีมาก หลังผ่านการใช้ไปสองสามครั้ง ผู้ขอความช่วยเหลือหลายคนจะคิดว่าวิญญาณร้ายตามหลอกหลอนพวกเขาจากไปแล้ว ทำให้พวกเขายกย่องฝีมือการชำระล้างของบาทหลวงวินเซนต์พุ่งทะยานฟ้า
[1] ซาวองต์ ซินโดรม (Savant Syndrome) เรียกอีกอย่างว่าโรคนักปราชญ์หรือโรคเมธี เป็นกลุ่มผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความเป็นอัจฉริยะหรือความสามารถพิเศษเฉพาะด้านอยู่ในคนเดียวกัน เช่น จำหนังสือที่อ่านได้ทุกหน้า หรือ คำนวณเลขยาก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว