หลินเจี๋ยคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นปิดร้านสำหรับวันนี้ ในฉับพลัน ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นตราสีเงินที่บนเคาน์เตอร์
เขาสนทนาติดลมเสียจนลืมไปสนิทว่าตราศักดิ์สิทธิ์ยังวางอยู่บนโต๊ะ และบาทหลวงก็ไม่ได้พูดถึงมันเลยเช่นกัน…
ในตอนนี้เมื่อดอกไม้หายไปแล้ว ตราศักดิ์สิทธิ์นี้จึงเด่นชัดขึ้นและเปล่งประกายแสงที่ดูอบอุ่น
“อ๊ะ คุณพ่อวินเซนต์รีบร้อนออกไปจนลืมเอาตรานักบวชของเขาไปด้วยเลยแฮะ”
หลินเจี๋ยหยิบตราขึ้นมาเพ่งพินิจ ตรานักบวชของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนี้ค่อนข้างประณีตและให้ความรู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส ยิ่งไปกว่านั้น การออกแบบที่สะอาดสะอ้านและลวดลายโค้งเว้าสีดำนั้นให้ความรู้สึกที่ทำให้ใจสงบ…
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนี้เข้าใจทำเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงแท้ ศาสนาจึงเฟื่องฟูในนอร์ซินมาได้หลายปีดีดัก
“ถ้าเราเจอมันไวกว่านี้ เราคงไปหาคุณพ่อที่ร้านข้าง ๆ ได้ แต่เราก็ดันจบที่นั่งคุยกับคุณหนูจี้ซะได้”
“หลังจากผ่านไปนานขนาดนี้เขาก็ยังไม่กลับมา เขาน่าจะลืมมันไป จากนั้นก็กลับไปแล้วแหง ๆ”
“คิดว่าเราคงต้องคืนมันให้เขาในการมาเยือนครั้งถัดไปแล้วล่ะ ของแพงขนาดนี้ต้องไม่เที่ยวเอาไปวางผิดที่ผิดทางง่าย ๆ สิ เฮ้อ…”
หลินเจี๋ยศึกษาตรานักบวชในมือของตัวเองแล้วหันไปหามูเอน สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกล่องที่เธอกอดอยู่
บังเอิญจังแฮะ?
เราเพิ่งได้ ‘กล่องเซฟ’ ที่ใช้งานได้มาเมื่อกี้นี้เอง
เด็กคนนี้ดูจะรักษามันเหมือนสมบัติ คงไม่เอาไปวางมั่ว ๆ แน่…
หลินเจี๋ยวางตรานั้นลงบนกล่อง แล้วบอกให้มูเอนดูแลพวกมันให้ดีจนกว่าบาทหลวงจะกลับมาตามหามัน
“เหมือนที่ผมพูดก่อนหน้านี้นะ เราจะให้นี่เป็นการลงโทษของเธอ ดูแลพวกมันให้ดีซะล่ะ”
“อื้อ” มูเอนพยักหน้า วางตราไว้ในกล่องแล้วปิดมันอีกครั้ง ก่อนที่จะจ้องอักขระต่าง ๆ บนกล่องทองเหลืองด้วยสายตาว่างเปล่า
กว่าเธอจะเงยหน้าขึ้น หลินเจี๋ยก็ล็อกประตูหน้าแล้ว
เขาลูบศีรษะของมูเอนเมื่อเดินผ่านเธอ แล้วก็พูดว่า “ได้เวลาไปนอนแล้วนะ ตัวตนใหม่ของเธอจะได้รับการจัดการเมื่อคนจากหอการค้าแอชมาถึง โอ้ใช่…ผมต้องขอให้พวกเขาช่วยตกแต่งชั้นสองใหม่ด้วย เธอจะได้มีห้องนอนสักห้อง”
เมื่อเขาเดินขึ้นบันไดไป หลินเจี๋ยก็พูดหยอกเล่นกับมูเอน “ถ้ามีเวลา ลองคิดว่าเราควรมีเฟอร์นิเจอร์อะไรเพิ่มก็ได้นะ…ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราได้มาให้มากที่สุด ก็เหมือนกับการเก็บขนแกะคนอื่นไปขาย เจ้าของแกะรวยๆ คงไม่เห็นหรอก ”
หลินเจี๋ยพูดประโยคสุดท้ายเบา ๆ แต่มูเอนได้ยินมันชัดแจ๋ว
มนุษย์ประดิษฐ์ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
เฟอร์นิเจอร์…ขนสัตว์…เจ้านายอยากได้พรมขนสัตว์
เห็นชัด ๆ ว่าความเข้าใจของเธอต่อคำพูดที่พูดกันบ่อย ๆ นั้นยังไม่ดีพอ
หลินเจี๋ยนั้นอยากจะรีโนเวตชั้นสองจริง ๆ ตลอดมาเขาใช้การจัดวางแต่เดิมของร้านหนังสือและไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่ไหนเลย แต่เดิมแล้วมันค่อนข้างสะดวกสบายเมื่อชายหนุ่มอยู่คนเดียว แต่เรื่องก็ต่างออกไปเมื่อมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ที่ชั้นสองไม่มีพื้นที่มากนัก ด้วยห้องนอนควบห้องทำงานและห้องครัวกินพื้นที่ไปมากที่สุดแล้ว มันก็เหลือแค่พื้นที่เล็ก ๆ ที่หลินเจี๋ยใช้ออกกำลังกายในแต่ละวันเท่านั้น
ส่วนห้องนอนในตอนนี้กลายเป็นของมูเอน และเขาก็นอนได้แค่ในบริเวณออกกำลังกายที่เขาประกอบเตียงไม้ขึ้นมาอย่างลวก ๆ เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ดาบยักษ์ยังถูกเก็บไว้ที่นี่ด้วย
แต่การทำแบบนี้ต่อไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเลย อีกทั้งในช่วงนี้เขาก็บังเอิญได้ติดต่อเชอร์รี่ด้วย หลินเจี๋ยจึงรู้สึกว่าเขาควรใช้เรื่องนี้ให้คุ้ม
หลังจากมูเอนเดินตามขึ้นมา หลินเจี๋ยก็กล่าวฝันดีเธอแล้วเตือนให้เด็กสาวเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากที่หลินเจี๋ยมองเธอปิดประตูห้องนอนไป ชายหนุ่มจึงมุ่งหน้าไปที่เตียงชั่วคราวของตัวเอง
มูเอนปิดประตูแล้วยืนนิ่ง ๆ กับที่จนไม่มีเสียงกิจกรรมใด ๆ ข้างนอกแล้ว แล้วเธอจึงไปที่ข้างเตียงแล้ววางกล่องทองเหลืองลงที่หัวเตียง
กล่องปฐมพยาบาลถูกวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง มูเอนถอดเสื้อผ้าของเธอออก เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของร่างเพรียวบางขาวซีดที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล
ผ้าพันแผลกองเป็นวง ๆ ทับกันไปมาอยู่บนพื้น
มูเอนใช้ผ้าขนหนูเปียกเช็ดขี้ผึ้งที่ยังเหลืออยู่บนตัวของเธอออก ทำความสะอาดบาดแผลแล้วใส่ยาขี้ผึ้งใหม่ก่อนที่จะพันผ้าพันแผลกลับไปอีกครั้ง
บาดแผลหลัก ๆ คือรอยกรีดที่หลังของเธอและแผลที่เธอทำเองตรงหลังคอซึ่งเคยมีบาร์โค้ดสลักไว้ แผลเล็ก ๆ บางแผลตามแขนและใบหน้าของเธอหายดีแล้ว ดังนั้นครั้งนี้มูเอนจึงใช้ผ้าพันแผลน้อยลง
หลังจากสวมชุดของเธอกลับไป มูเอนก็บรรจงปีนขึ้นเตียงแล้วนอนตะแคง ขดตัวกอดกล่องทองเหลืองไว้แน่นในอ้อมแขน
เจ้านายบอกให้เราดูแลมันให้ดี…
มูเอนเหลือบมองอักขระปิดผนึกที่ไร้รูปร่างบนกล่อง
เรื่องที่เธอเปิดกล่องนี้ได้มีโชคเข้ามาช่วยอยู่บ้าง เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับตราส่วนใหญ่ที่อยู่บนกล่องนี้แล้ว ดังนั้นการทำความเข้าใจมันจึงไม่ได้ยากอะไร แต่ว่าพวกมันเชื่อมต่อกันในแบบที่มูเอนยังไม่เคยได้เรียน
ดังนั้น ที่เธอพูดว่า ‘แค่อยากลอง’ จึงเป็นความจริง
แต่ทว่าสมองที่ช่วงนี้อัดแน่นเกินพิกัดของมนุษย์ประดิษฐ์นี้ช่วยให้เธอเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ลึกซึ้งมากขึ้นในตอนที่มันอยู่ในสภาวะทำงานเกินพิกัด
ด้วยชั้นต่าง ๆ อันลึกลับของการไหลเวียนอีเธอร์ เธอจึงสามารถตรวจหาแก่นของอักขระผนึกแล้วเปิดกล่องได้ในทีเดียว
ในตอนนี้ มูเอนตัดสินใจจะนำทุกสิ่งที่เธอเรียนมาใช้ แล้วพยายามค้นหาวิธีการใช้อักขระผนึก
ในความเป็นจริงแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกับการพยายามแกะสมการสัมพันธภาพระหว่างสสารและพลังงานหลังจากรู้วิธีแก้สมการพื้นฐานทั้งหมดเลย
มูเอนทดลองอยู่สองสามครั้งแล้วจึงเข้าใจ แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าแล้วก็ตาม มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเชี่ยวชาญมันได้ในเวลาสั้น ๆ ขนาดนี้
มูเอนคู้ตัวอยู่มุมเตียง สมองของเธอเริ่มหยุดทำงาน ความคิดของเธอยุ่งเหยิงเพราะกำลังพยายามทำความเข้าใจอะไรที่ขั้นสูงเกินไป
ในสภาพมึนงงของเธอ มูเอนมองขึ้นไปเห็นขนนกที่แขวนอยู่ของตาข่ายดักฝันจากหางตา…ง่วงจัง…
เธอหลับตาลง และภายในกล่องทองเหลืองในอ้อมแขนของเธอ ตรานักบวชก็เรืองแสงจาง ๆ ราวแสงจันทร์
มนุษย์ประดิษฐ์ฝันได้ด้วยเหรอ?
ในตอนนี้ มูเอนรู้คำตอบแล้ว…ได้!
เธอกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำนิ่งสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้ายามค่ำคืนสะท้อนอยู่ในนั้น และคลื่นกระเพื่อมใต้เท้าของเธอขยายวงออกราวกับจะแยกหมู่ดาวที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำ
ความกว้างใหญ่ของท้องฟ้ามืด ๆ พร่างพราวบรรจบกับผืนน้ำทำให้ดูแยกกันแทบไม่ออก ทำให้มูเอนเหมือนเห็นภาพหลอนว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในท้องฟ้ายามราตรี
มูเอนเงนหน้าขึ้นอย่างเยือกเย็นแล้วเดินไปด้านหน้า ท้องฟ้ารัตติกาลนี้มีเพียงกลุ่มดาวอันโชติช่วง แต่ไร้วี่แววของดวงจันทร์
นี่เป็นเพราะดวงจันทร์อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว…
มูเอนหยุดลงแล้วสบสายตาเข้ากับหญิงสาวที่ยืนอยู่บนผิวน้ำ
หญิงสาวผู้นั้นมีผมสีดำที่ทอดลงไปราวน้ำตก ผ้าคลุมหน้าสีดำคลุมใบหน้าของเธอลงไปถึงบ่า และเธอก็สวมชุดกระโปรงสีดำที่กระโปรงถูกแบ่งเป็นชั้น ๆ ถุงมือลูกไม้สีดำคลุมนิ้วของเธอขึ้นไปถึงท่อนแขน
เธอดูราวกับผู้ไว้ทุกข์ และสิ่งเดียวที่ไม่ได้เป็นสีดำอันงดงามก็คือผิวสีขาวงาช้างอันมีน้ำมีนวล และริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบของเธอ
ดวงตาของเธอลึกล้ำ ดำมืด และเศร้าสร้อย
“สวัสดีผู้รับการเจิมจากหลายพันปีให้หลัง นามข้าคือวัลเพอร์กิส ยินดีต้อนรับสู่แดนนิมิตแห่งข้า”
หญิงสาวยกชายกระโปรงของเธอขึ้นอย่างสง่างาม แล้วแนะนำตัวเอง