คอลินผู้เดือดดาล กระเหี้ยนกระหือรือที่จะพิสูจน์ความกล้า ทว่าเพิ่งก้าวออกจากร้านตัวเองได้เพียงก้าวเดียว ก็รีบร้อนเผ่นกลับเข้าไป
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาถูกความกลัวครอบงำกะทันหันหรอก
กลับกัน ชายอ้วนก็ตระหนักว่าเขาลืมหยิบอุปกรณ์ไล่ผีของเขา เขาไม่ได้จะพุ่งเข้าใส่ความตายของตัวเองอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนั้น
ต่อให้เขาต้องตาย เขาก็อยากจะเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าปีศาจนั่นก่อน!
ในเวลาแค่สองอาทิตย์ คอลินก็ได้เปลี่ยนเพื่อนบ้านของเขาจาก ‘คนซื่อ ๆ’ เป็น ‘ผีร้าย’ ก่อนจะยกระดับเขาเป็น ‘ปีศาจ’ ไปแล้ว
ร่างอวบอ้วนของคอลินกระเพื่อมไหวในขณะที่เขาคุ้ยหาตามตู้ต่าง ๆ
“อยู่ไหนฟะ?”
“น้ำมนต์ของตูอยู่ไหนเนี่ย?
“จำได้ว่ายังมีเหลืออยู่นิดหน่อยนี่นา…”
หลังจากคุณพ่อวินเซนต์จากไป คอลินนั้นทั้งโกรธและกลัว ในระหว่างที่เขากำลังระบายอารมณ์นั้น ก็ได้ทุบทำลายแทบทุกอย่างที่ไม่ใช่โทรทัศน์ที่รักของเขาจนทำให้สถานที่นี้กลายเป็น ‘กองขยะ’ ไป
น้ำมนต์ถูกกลบฝังไว้ที่ไหนสักที่ โชคดีที่คอลินค่อนข้างรอบคอบใช้ขวดแก้วหนาในการบรรจุน้ำมนต์ไว้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องปรุงน้ำมนต์ล็อตใหม่…หรือกลิ้งชุบตัวเองจากแอ่งน้ำมนต์บนพื้นเพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็นอุปกรณ์ไล่ผีอันศักดิ์สิทธิ์แทน
“อ๊ะ! เจอแล้ว!”
คอลินชูขวดในมือของเขาขึ้น ยังมีน้ำมนต์เหลืออยู่ในขวดแก้วโปร่งใสอีกหนึ่งในห้าส่วน
เจ้าของร้านสื่อวีดิทัศน์ผู้นี้มีอุปนิสัยที่ออกจะประสาทกลับสักหน่อย เขาจะพรมน้ำมนต์ในทุกซอกทุกมุมร้านอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสามครั้งต่อวัน และการใช้น้ำมนต์ของเขาก็ค่อนข้างมาก
คอลินพึมพำอย่างลังเลเล็กน้อย “เหลือแค่นี้ มันจะได้ผลพอไหมนะ… อย่างน้อยมันก็น่าจะสร้างความเสียหายทางร่างกายให้เจ้าปีศาจนี้ได้บ้างใช่ไหมนะ?”
การใช้จิตใจที่ปกติจะขี้เกียจอยู่เสมอในการคิดหนักนั้นพิสูจน์แล้วว่าค่อนข้างยาก
ในตอนนี้เอง ชายอ้วนก็พลันตระหนักว่ามีวัตถุที่สะท้อนแสงวาววับอยู่ใกล้เท้าของเขา
คอลินก้มตัวลงไปหยิบมันขึ้นมา
มันเป็นเหรียญบาง ๆ เหรียญหนึ่งที่มีขนาดประมาณเล็บมือสองเล็บได้
เขานึกได้ลาง ๆ ว่าเคยได้ยินเสียงเหมือนโลหะตกพื้นในตอนที่เขาเตะโซฟาด้วยโทสะเมื่อครู่นี้
บางทีเหรียญนี้อาจจะติดอยู่ระหว่างโซฟาและกำแพงอยู่ก่อนหน้านี้ไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว และตกลงมาในกองขยะจากลูกเตะของคอลิน
และตอนนี้ มันก็กลิ้งออกมาจากท่ามกลางกองขยะในระหว่างที่คอลินคุ้ยหาของอย่างบ้าคลั่ง…
ไม่ว่าเขาจะประสบปัญหาแค่ไหน แต่ในฐานะนักธุรกิจ คอลินก็รับรู้ได้ว่าเหรียญนี้ไม่ได้ถูกออกโดยธนาคารกลางของนอร์ซิน
เหรียญนอร์ซินโดยทั่วไปมีความหนาประมาณ 1 มิลลิเมตร มีรูปเมืองขนาดจิ๋วสลักไว้บนหน้าหนึ่งของมัน และหน่วยเงินที่เรียงตั้งแต่เซนต์จนถึงดอลล่าร์ที่ด้านหลัง
ในขณะที่เหรียญที่คอลินถืออยู่ตอนนี้นั้นบางยิ่งกว่าและเบามาก ๆ หน้าหนึ่งของมันมีภาพง่าย ๆ ของวงกลมสามวงที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกันที่มีแกนหมุนอันหนึ่งเชื่อมผ่าน ดูโบราณและลึกลับ
“เหรียญนี้ดูคุ้น ๆ แปลก ๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อนที่ไหน แปลกจัง…” คอลินพึมพำกับตนเองพลางศึกษาเหรียญนั้น
ไม่นาน เขาก็จำได้ว่าเขาเคยเห็นมันมาจากไหน
เหรียญนี้เป็นสมบัติตกทอดชิ้นหนึ่งของตระกูลเขา…
ในตอนที่เขายังเป็นเด็ก พ่อของเขาและเจ้าของเก่าของร้านนี้ คอลินซีเนียร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะโชว์เหรียญนี้ให้คอลินดูบ่อย ๆ แล้วเล่าเรื่องราวของมันให้เขาฟัง
ความทรงจำในตอนนั้นของคอลินเลือนรางไปแล้วในตอนนี้ สิ่งที่เขาจำได้คือมันเป็นเหรียญนำโชคบางอย่างที่ทำให้ตระกูลของเขาทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ
แต่คอลินตัวน้อยที่ซุกซนได้ทำเหรียญหายแล้วโดนคอลินซีเนียร์ตี
ทว่าในตอนนั้น ธุรกิจของตระกูลเขาก็หดเหลือแค่ร้านสื่อวีดิทัศน์ไปแล้ว และเหรียญก็เป็นแค่หลักฐานเชิงสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ในอดีตของตระกูลของคอลินเท่านั้นเอง
ส่วนอำนาจนำพาความโชคดีอันแสนวิเศษของมันนั้น…
ถ้ามันใช้งานได้จริง คอลินจะยังใช้ชีวิตอยู่ในร้านสื่อวีดิทัศน์ที่เหมือนที่ทิ้งขยะแบบนี้เหรอ?!
“แล้วยังมีปีศาจเป็นเพื่อนบ้านอีก!” เขาแผดเสียงอย่างโกรธเคืองเมื่อการนึกย้อนจบลง
เมื่อถือเหรียญด้วยมือหนึ่งและน้ำมนต์ด้วยอีกมือหนึ่ง ความกลัวเล็ก ๆ ของคอลินก็ถูกแทนที่ด้วยโทสะจากภายใจ
ในขณะที่ตำนานของเหรียญนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน คอลินก็คิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อ
แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย! ขอให้เหล่าบรรพชนของตระกูลอำนวยพรแก่ลูกหลานคนนี้ด้วยครับ!
“ยังไงก็ตาม ไม่ว่าฉันจะไปวันนี้หรือไม่ ปีศาจนั่นก็คงไม่ปล่อยฉันไปอยู่ดี”
“ดังนั้นไปจบมันกันสักตั้งเป็นไร!”
“ฉันทนมาพอแล้วกับการอยู่กับความกลัวทุกวัน!”
“ฉันไม่รอให้ถึงวันที่เจ้าปีศาจร้านข้าง ๆ รู้สึกอยากกินเนื้อคนแล้วโจมตีฉันหรอกนะ!”
“ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว!”
คอลินสบถอย่างต่อเนื่อง สุมเชื้อเพลิงให้โทสะของเขายิ่งขึ้น
ชายอ้วนรวบรวมความกล้า เดินออกจากร้านของตัวเองอีกครั้งแล้ววิ่งตรงไปที่ร้านข้าง ๆ ด้วยน้ำมนต์และเหรียญแห่งโชคดีในมือ จากนั้นเขาก็ถีบประตูร้านหนังสือให้เปิดออก
ในจินตนาการของคอลินในตอนนี้ เขาดูราวกับนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ยืดอกผ่าเผย แล้วตะโกนคำพูดที่เขาคิดไว้หมดแล้วออกมา “เจ้าปีศาจ อย่าบังอาจดูแคลนมนุษย์เชียวนะเฟ้ย!!!”
ทว่าภาพที่ต้อนรับเขาอยู่ที่หลังประตูนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้
ในตอนนี้มีลูกค้าในร้านหนังสืออยู่หรอมแหรม ทุกคนนั้นดูจะมาจากที่เดียวกัน คนประมาณห้าถึงหกคนยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ดูจะกำลังสนทนากับเจ้าของร้าน
เมื่อคอลินถีบประตูออกกว้างดังโครมดัง ๆ ทั้งเจ้าของร้านหนังสือและลูกค้าเหล่านั้นต่างหันไปมองทันที
“ง่ะ?!” คอลินผู้ผ่าเผยชะงักทันทีเมื่อเขาตระหนักรู้ถึงตัวตนของคนกลุ่มนี้ที่สวมเสื้อโค้ตสีเขียวเข้มที่มีตราพฤกษายักษ์ได้
องค์กรการค้าสินค้าและโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในนอร์ซิน…หอการค้าแอช
—
ครู่หนึ่งก่อนหน้านั้น
เอ็ดมันด์ดันแว่นขอบสีทองของตัวเองขึ้นไปบนดั้งในขณะที่เขาตรวจสอบร้านหนังสือทรุดโทรมที่ไม่มีป้ายร้านนี้
แล้วเขาก็หันไปสั่งการ “นี่คือที่พำนักของคุณหลิน ดำเนินการอย่างระแวดระวังที่สุด อย่ามองหรือแตะต้องอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาต ภารกิจของเราคือเติมเต็มทุกคำขอของคุณหลินให้ดีที่สุดที่เราทำได้ด้วยการทำเอกสารยืนยันตัวตน นั่นก็เป็นความปรารถนาของนายหญิงของเราด้วย”
คนทั้งห้าที่ติดตามอยู่เบื้องหลังเขาคือผู้ใต้บัญชาของเชอร์รี่จากหอการค้าแอช พวกเขาตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ครับท่าน”
ใช่แล้ว ผู้นำของทีมนี้คือบัตเลอร์จากบ้านของเชอร์รี่ และผู้เก็บความลับที่ได้รับความเชื่อใจเหมือนกับหัวหน้าสาวใช้เบลล่า
เขาดูอายุราวห้าสิบ มีเส้นผมที่เริ่มเป็นสีดอกเลาที่ขมับและหนวดเหนือริมฝีปากของเขา เขาสวมชุดสูทที่ดูทะมัดทะแมง ปิดท้ายด้วยถุงมือสีขาว ดูพึ่งพาได้มาก
เอ็ดมันด์เป็นคนแรกที่เข้าไปในร้าน
ร้านเพิ่งจะเปิดสำหรับวันนี้เมื่อไม่นานนี้เอง เจ้าของร้านหนังสือนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เคาน์เตอร์ ในขณะที่เด็กสาวคนหนึ่งทำอะไรยุกยิกอยู่กับกล่องทองเหลืองใบหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียง หลินเจี๋ยก็วางหนังสือของตัวเองลงแล้วสังเกตเห็นรูปแบบชุดของพวกเขา
“หอการค้าแอชใช่ไหมครับ? ผมรออยู่สักพักแล้วล่ะครับ”
เอ็ดมันด์วางแขนข้างหนึ่งไว้บนอกของเขาแล้วก้มตัวลง “สวัสดีครับ กระผมเป็นบัตเลอร์ของนายหญิงเชอร์รี่ เอ็ดมันด์ คาร์แมน ยินดีที่ได้รับใช้ครับ”